เซี่ยเสี่ยวหลานเป็แฟนของโจวเฉิง?
เป็ไปได้อย่างไรกัน
ข่าวนี้ทำให้สมองของหวังเจี้ยนหัวหยุดประมวลผลในบัดดล
เขายอมเชื่อว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็แฟนกับนักศึกษาชายคนนั้นของหัวชิงยังดีเสียกว่า เนื่องจากอีกฝ่ายดูรวยมาก ตามความคิดของหวังเจี้ยนหัว มีเงินไม่เท่ากับมีอำนาจ อำนาจเป็ดั่งสุรามอมเมามนุษย์ คนที่เคยได้รับอภิสิทธิ์ย่อมไม่อยากตกเป็เบี้ยล่างของใครอย่างแน่นอน หากเซี่ยเสี่ยวหลานคบหากับโจวเฉิงจริง หวังเจี้ยนหัวคงรู้สึกเ็ป... ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเขากำลังร้องประท้วง หวังเจี้ยนหัวรู้ดีแก่ใจว่า ตอนนี้ตระกูลของเขานั้นห่างชั้นกับตระกูลโจวมากโข ตัวเขาที่เพิ่งเรียนอยู่ชั้นปีที่สอง ไม่มีทางเทียบเคียงโจวเฉิงได้เลยสักนิด
นี่เท่ากับกำลังบีบให้เขายอมรับว่า เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถหาคู่ครองที่เก่งกาจกว่าเขาได้ไม่ใช่หรือ
และยังเป็การบีบให้หวังเจี้ยนหัวยอมรับว่า ตอนนั้นที่ตนไม่เลือกเซี่ยเสี่ยวหลาน เพราะตนมีตาแต่หามีแววไม่น่ะสิ
ขณะเดียวกัน คุณน้าจานก็กระเซ้าต่อว่า
“เจี้ยนหัวเรียนอยู่ที่วิทยาลัยครูปักกิ่งสินะ แถมยังได้เพื่อนนักศึกษามาเป็แฟนอีก ช่างน่าอิจฉาจริงๆ... มีลูกชายกับลูกสะใภ้ที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ ทั้งยังเป็คนเก่งทั้งคู่ แถมชั้นเรียนกวดวิชาที่ก่อตั้งยังได้ลงหนังสือพิมพ์อีกด้วย”
จากเพื่อนร่วมชั้นกลายเป็คู่รัก เื่ราวเช่นนี้ย่อมเป็เื่ที่โรแมนติกในยุคสมัยนี้ ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน
คุณน้าจานทำงานที่ฝ่ายอุดมศึกษาเช่นกัน มีหรือที่เธอจะไม่รู้ว่าหวังเจี้ยนหัวเรียนอยู่ที่ไหน ครั้งก่อนที่ชั้นเรียนกวดวิชาเกิดเื่ ทำเอาหวังก่วงผิงแทบเข้าหน้าใครในหน่วยงานไม่ติด คุณน้าจานไม่อยากกีดกันหร่านซูอวี้อย่างเปิดเผย เธอเพียง้าทำให้หร่านซูอวี้รู้กาลเทศะแล้วถอยไปเอง
สีหน้าของหร่านซูอวี้เดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง เื่ชั้นเรียนกวดวิชาเป็ความเ็ปที่ตระกูลหวังไม่อยากกล่าวถึง เป็ที่ประจักษ์แล้วว่าคนแซ่จานจงใจ
โชคดีที่คนอื่นไม่รู้เื่นี้ หร่านซูอวี้จึงทำตัวหน้าหนาพูดคุยต่อได้
เซี่ยจื่ออวี้พอได้ยินคนพูดถึง ‘ชั้นเรียนกวดวิชา’ หัวใจก็หล่นไปอยู่ตาตุ่ม ตอนยอมแบกรับความผิดแทนหวังเจี้ยนหัวนั้น เธอนึกไม่ถึงเลยว่าในปี 1984 บทลงโทษของวิทยาลัยจะนำพาผลกระทบที่ร้ายแรงมาให้เธอเช่นนี้
เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว แน่นอนว่าเซี่ยจื่ออวี้ไม่อยากให้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สถานการณ์ของตัวเองมากที่สุด หากเป็เื่น่าโอ้อวดย่อมไม่เป็ไร เธอคงเดินไปอวดกับเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยตัวเอง แต่ถ้าเป็ข่าวร้าย เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่หัวเราะเยาะเธอหรอกหรือ?
และเซี่ยจื่ออวี้ไม่รู้ว่ากวนฮุ่ยเอ๋อเป็ใคร
หร่านซูอวี้ไม่เคยอบรมสั่งสอนเธอ ดังนั้นเซี่ยจื่ออวี้จึงแทบไม่รู้เื่ราวในแวดวงสังคมของปักกิ่งเลยสักนิด
ตำแหน่งหน้าที่ของหวังก่วงผิงคือข้าราชการระดับสูงในสายตาเซี่ยจื่ออวี้ พอรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้จ่ายเงินซื้อบัตรเข้างานมา เซี่ยจื่ออวี้จึงคิดว่า ‘โจวเฉิง’ ที่หลายคนกล่าวถึง คือคนเดียวกับนักศึกษาผู้ร่ำรวยที่หวังเจี้ยนหัวเคยเจออยู่ที่หน้าหัวชิง
ชาวจีนโพ้นทะเล?
ดูท่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายชายแล้ว
แต่ครอบครัวของฝ่ายชายอาจจะมองเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานแค่ในฐานะนักศึกษาของหัวชิง และคงไม่รู้ชื่อเสียงเสื่อมเสียของเธอที่บ้านนอกสินะ
นักศึกษาผู้ร่ำรวยชอบเซี่ยเสี่ยวหลานมากจนยอมยกเงินให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปซื้อเรือนสี่ประสาน ท่าทางผู้ใหญ่ในครอบครัวก็คงจะไม่รู้เื่นี้ด้วยเช่นกัน!
ใบหน้าของเซี่ยจื่ออวี้แดงระเรื่อเพราะความตื่นเต้น
“ที่จริงฉันกับเสี่ยวหลานเป็พี่น้องกันค่ะ พ่อของพวกเราเป็พี่น้องท้องเดียวกัน”
คำพูดของเซี่ยจื่ออวี้ นอกจากหวังเจี้ยนหัวที่รู้เื่ดีแล้ว คนอื่นล้วนพากันใ
ไม่ใช่แค่แซ่เซี่ยเหมือนกันหรอกหรือ มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยไหม คุณน้าจานรู้สึกว่าเซี่ยจื่ออวี้กับเซี่ยเสี่ยวหลานหน้าตาไม่คล้ายกันเท่าไรจึงถามกลับว่า “จริงหรือ?”
คนหนึ่งหน้าเรียวผิวขาวเนียน สวยราวกับดาราภาพยนตร์ อีกคนหน้ารูปไข่ แม้หน้าตาจะไม่ได้แย่อะไร แต่เมื่อเทียบกับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วดูเชยกว่ามาก หากเซี่ยจื่ออวี้ไม่บอก ใครจะไปเดาออกว่าสองคนนี้เป็พี่น้องกัน เพราะทั้งสองไม่มีจุดไหนที่เหมือนกันเลยน่ะสิ
หร่านซูอวี้รู้สึกยินดีเป็เท่าตัว
เซี่ยจื่ออวี้เป็พี่น้องกับแฟนของโจวเฉิง นั่นก็เท่ากับตระกูลโจวได้เด็กบ้านนอกมาเป็ลูกสะใภ้ไม่ใช่หรือ?
รูปลักษณ์ของเซี่ยเสี่ยวหลานหลอกหร่านซูอวี้ได้เสียสนิท เธอดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมาจากชนบท
หากเป็เช่นนี้ ความแตกต่างระหว่างเจี้ยนหัวลูกชายเธอกับโจวเฉิงก็ไม่ได้มากเท่าไรไม่ใช่หรือ หลังรู้ว่าโจวเฉิงคบหากับเด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่งอยู่ หร่านซูอวี้ก็รู้สึกดีใจเหลือเกิน นี่คือเื่น่ายินดีเื่แรก
ส่วนเื่น่ายินดีเื่ที่สองก็คือ ถ้าเซี่ยจื่ออวี้เป็ลูกพี่ลูกน้องกับเซี่ยเสี่ยวหลาน เช่นนั้นตระกูลหวังกับตระกูลโจวจะไปมาหาสู่กันก็เป็เื่สมควรมิใช่หรือ?
“เด็กคนนี้ ทำไมไม่บอกกันก่อนเลย ไม่อย่างนั้นครั้งก่อนที่ฉันไปบ้านน้ากวน คงพาเธอไปด้วยกันแล้ว...”
สิ่งเดียวที่เซี่ยจื่ออวี้ทำประโยชน์ได้ก็คือการนับญาติกับตระกูลโจว ั้แ่ถูกบังคับให้ต้องหมั้นหมายกับเซี่ยจื้ออวี้ หร่านซูอวี้เพิ่งรู้สึกถูกชะตากับเซี่ยจื่ออวี้เป็ครั้งแรก
ทุกคนต่างมองหน้ากัน นึกไม่ถึงว่าจะมีเื่บังเอิญเช่นนี้ อีกทั้งยังใในสิ่งที่หร่านซูอวี้กล่าว หร่านซูอวี้เคยไปบ้านตระกูลโจวคนเดียวด้วยอย่างนั้นหรือ? เธอกับกวนฮุ่ยเอ๋อสนิทกันขนาดนั้นั้แ่เมื่อไร!
อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร แต่หูของกวนฮุ่ยเอ๋อกับเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้หนวก ดังนั้นพวกเธอย่อมได้ยินคำพูดของเซี่ยจื่ออวี้กับหร่านซูอวี้อย่างแน่นอน
คงแสร้งทำเป็ไม่ได้ยินไม่ได้สินะ ถึงขนาดทำตัวนับญาติกันเช่นนี้
กวนฮุ่ยเอ๋อย่อมยืนข้างเซี่ยเสี่ยวหลาน เพราะอย่างไรเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่มีอะไรปิดบังตระกูลโจว เจอกันครั้งแรกก็บอกเล่าประวัติครอบครัวตามตรง แม้แต่เื่พ่อแม่หย่าร้างกันที่ไม่พูดก็ไม่เป็ไรก็ยังบอกให้คนตระกูลโจวทราบ หากเซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าไม่ค่อยถูกกับพี่สาว เช่นนั้นก็คงไม่ผิดแน่
พี่สาวคนนี้เป็ลูกสะใภ้ของหร่านซูอวี้ กวนฮุ่ยเอ๋อย่อมรู้สึกไม่ถูกชะตายิ่งขึ้น
ครั้งก่อนโจวกั๋วปินเคยบอกไว้ว่า ที่หร่านซูอวี้แต่งตัวโทรมอาจเป็หนึ่งในวิธีขอความเห็นใจ และก็เป็เช่นนั้นจริง ในตอนนั้นกวนฮุ่ยเอ๋อเองก็เผลอรู้สึกสงสารไปด้วย เธอช่างโง่เขลาเสียจริง
ตอนนี้พี่สาวของเซี่ยเสี่ยวหลานนับญาติกับหร่านซูอวี้ กวนฮุ่ยเอ๋อจึงรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองคนคงเป็คนประเภทเดียวกัน
ทั้งที่หน้าตาไม่ได้ดูอ่อนแอบอบบาง แต่เสแสร้งให้ใครดูกัน?
ลูกตากลอกไปมาตลอดเวลาเช่นนี้ คงไม่ใช่คนดีเป็แน่
กวนฮุ่ยเอ๋อทำหน้าประหลาดใจ
“เสี่ยวหลาน นี่คือพี่สาวของเธอจริงหรือ”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้าแล้วส่ายหน้า ทำท่าเหมือนอยากพูดแต่ก็ไม่พูดออะไรออกมา
กวนฮุ่ยเอ๋อไม่คิดว่าการที่พ่อแม่ของเซี่ยเสี่ยวหลานหย่าร้างกันเป็เื่น่าอาย เซี่ยเสี่ยวหลานพูดเองกับปากแสดงว่าไม่ถือสาในเื่นี้ เธอจึงจงใจกดเสียงต่ำลง ทว่าความจริงคือคนรอบข้างยังคงได้ยิน
“เธอเคยบอกใช่ไหมว่าพ่อแม่หย่าร้างกันแล้ว และไม่ได้ติดต่อกับญาติฝ่ายพ่อเลย แถมที่บ้านยังมีลูกพี่ลูกน้องที่คอยกลั่นแกล้งกันประจำ?”
ความหมายของกวนฮุ่ยเอ๋อคือ นี่ใช่คนที่กลั่นแกล้งเธอหรือเปล่า?
ทำไมถึงกล้าทักทายกันต่อหน้าคนมากมาย และทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้!
เมื่อถึงเวลาต้องใช้ทักษะการแสดง ประธานเซี่ยย่อมไม่เคยกลัวใคร ได้ต่อบทกับกวนฮุ่ยเอ๋อเช่นนี้ช่างสาแก่ใจเธอยิ่งนัก เซี่ยเสี่ยวหลานทำท่ากระอักกระอ่วน เดิมทีเธอก็มีใบหน้าเรียวเล็กอยู่แล้ว พอขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อยก็เหมือนน้ำตากำลังจะไหล
“คุณน้ากวน ขอร้องล่ะค่ะ อย่าพูดอีกเลย... ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว พี่คงไม่ได้กลั่นแกล้งฉันหรอกค่ะ เธออาจจะกำลังกระตุ้นให้ฉันพัฒนาตัวเอง ฉันต้องขอบคุณพี่สาวด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้เธอเป็แบบอย่าง ฉันอาจจะไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนแบบนี้”
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดเหมือนมาจากใจจริง เซี่ยจื่ออวี้ได้ยินเช่นนั้นก็กัดฟันกรอดจนแทบหัก
‘ลูกพี่ลูกน้องที่คอยกลั่นแกล้ง’ ตามคำพูดของกวนฮุ่ยเอ๋อ ทำให้เซี่ยจื่ออวี้รับรู้ได้ถึงดวงตาหลายคู่ที่จ้องมองมา ทำเอาเธอไม่กล้าทำสีหน้าบิดเบี้ยวแม้แต่น้อย
แม้แต่ขยับตัวก็ไม่กล้า เซี่ยจื่ออวี้รับมือกับชื่อเสียงเสียหายมามากพอแล้ว นี่เป็งานเลี้ยงแรกที่หร่านซูอวี้พาเธอมาด้วย ทั้งยังเป็งานเชื่อมสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยเหล่าข้าราชการและเครือญาติ หากคืนนี้เธอทำเสียเื่ หร่านซูอวี้คงถลกหนังเธอเป็ชิ้นๆ แน่นอน
หัวใจของเซี่ยจื่ออวี้กรีดร้อง เธอรู้สึกเดือดดาลสุดขีด เซี่ยเสี่ยวหลานทำตัวเป็ปฏิปักษ์กับเธอไม่เลิกรา งานแบบนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังจะโผล่หน้ามาอีก
หาแฟนรวยๆ ได้คนหนึ่งแล้วคิดว่าตนมีสิทธิ์ร่วมงานเชื่อมสัมพันธ์อย่างนั้นหรือ?
เซี่ยจื่ออวี้ไม่รู้ประวัติความเป็มาของตระกูลโจว เธอรู้เพียงวันนี้เธอจะต้องเหยียบเซี่ยเสี่ยวหลานให้สยบแทบเท้าให้จงได้ คิดได้ดังนั้นเธอจึงทำหน้าประหลาดใจ
“เมื่อก่อนฉันทำไปเพราะ้ากระตุ้นความกระตือรือร้นของเธอจริงๆ นั่นแล เธอไม่โทษฉันก็ดีแล้ว เสี่ยวหลาน ที่จริงคนที่บ้านคิดถึงเธออยู่เสมอเลยนะ ครั้งก่อนเห็นเธอไปซื้อเรือนสี่ประสานกับคนอื่น ฉันเลยไม่กล้าทัก เสี่ยวหลาน ยินดีด้วยนะ ไม่ทันไรก็ลงหลักปักฐานที่ปักกิ่งได้แล้ว!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้