ผ่านพ้น่กลางวัน แสงอาทิตย์ร้อนแรง กระเบื้องหลิวหลีสีเหลืองสะท้อนแสงแสบตาออกมา จั๊กจั่นส่งเสียงร้องกันเซ็งแซ่ไม่มีทีท่าจะหยุดลง
แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วราวกับมีดแหลมทิ่มแทงมายังวังหลวง เรือนชุนอู๋เงียบสงบราวคนตาย ประหนึ่งเป็เรือนร้างว่างเปล่าไร้ผู้คน
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนเดินเข้าประตูเรือนไป ห้องโถงมีคนอยู่เพียงไม่กี่คน บ้างก็นอนอยู่ที่พื้น บ้างก็หยิบพัดอันเก่าขึ้นมาพัด คนมากมายคงจะอยู่ในห้องพักหรือไปที่สวนหลังเรือนอันเขียวชอุ่ม
หลี่มามาได้รับรายงานจากข้าหลวงก็รีบร้อนวิ่งมาจนเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว
“ถวายบังคมเตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่น ไม่ทราบว่าเตี้ยนเซี่ยมีคำสั่งอะไรหรือเพคะ?”
นางก้มหัวลงต่ำ โค้งตัวทำความเคารพ
องค์รัชทายาทมาที่เรือนชุนอู๋ทุกสองสามวันครั้ง เมื่อไหร่เื่เช่นนี้จะจบลงสักที หรือว่าเกิดเื่อะไรขึ้นอีก?
มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น “เปิ่นกงกับใต้เท้าเสิ่นจะเดินดูให้ทั่ว เ้ามีงานอะไรก็ไปทำเถิด”
หลี่มามาโค้งตัวแล้วถอยออกไป แต่นางมีหรือจะกล้าออกไปนั่งมีความสุขรับลมเย็นสบายที่สนามหญ้า?
มีคนใหญ่คนโตอยู่ที่นี่ นางย่อมต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หาที่ยืนคอยสอดส่องดูแล ไม่ให้องค์รัชทายาทเจอความผิดปกติใดๆ
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนมุ่งหน้าไปยังด้านหลังเรือน ในห้องพักห้องที่สามมีคนอยู่ไม่น้อย ส่วนที่ร่มรื่นเย็นสบายดังสายน้ำด้านหลังเรือนก็มีคนนอนพักอยู่ที่นั่นไม่น้อย
คนที่พวกเขากำลังตามหานั้นยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
อันกุ้ยเหรินนั่งอยู่บนเก้าอี้หยิบหนังสือเก่าๆ ที่หน้ากระดาษเหลืองแล้วมาอ่าน อากาศร้อนแรงยากจะทานทน แต่นางยังคงใช้ผ้าสีเทาดำคลุมศีรษะกับใบหน้าเอาไว้ หลิวเหมยยืนอยู่ด้านข้าง หวีผมให้นางด้วยท่าทางนิ่งสงบ คอยดูแลเ้านายด้วยความซื่อสัตย์
ที่บังเอิญก็คือใบหน้าด้านซ้ายของหลิวเหมยหันมาทางพวกเขาอย่างชัดเจน
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนสบตากัน แล้วก็มองภาพนั้นด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง
อันกุ้ยเหรินรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจึงหันไปมอง สีหน้าไม่ได้มีความใแม้แต่น้อย สีหน้ายังคงนิ่งเรียบราวบ่อน้ำที่แห้งเหือด
หลิวเหมยเองก็หันมามอง แต่เพียงครู่เดียวก็หันกลับไป
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนเห็นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าด้านซ้ายของหลิวเหมยไม่มีาแใดๆ
กล่าวได้ว่าหลิวเหมยที่อายุห้าสิบปีย่อมมีริ้วรอยเหี่ยวย่นไปตามวัย แต่กลับไม่มีาแบนหน้าแต่อย่างใด
ในเมื่อพวกนางเห็นตนแล้ว มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนก็เดินเข้าไปหา
“องค์รัชทายาทอยากจะมาซ่อมแซมเรือนชุนอู๋เสียหน่อย จึงสั่งให้ข้ามาดูว่ามีตรงไหนจำเป็ต้องซ่อมบ้าง” มู่หรงฉือประกาศเสียงก้อง
“เตี้ยนเซี่ยยังบอกอีกว่า วันหลังจะส่งข้าวสารอาหารผักสดมาให้” เสิ่นจือเหยียนพูดยิ้มๆ สายตามองไปทางหลิวเหมยอย่างแยบยล
เมื่อครู่ เตี้ยนเซี่ยเล่าเื่ที่ใบหน้าหลิวเหมยถูกทำร้ายไปแล้ว เขาสามารถตัดสินได้ว่า หลิวเหมยผู้นี้มีปัญหา
อันกุ้ยเหรินพูดเสียงเรียบ “ความเมตตาของเตี้ยนเซี่ยช่างมากล้น เป็โชคดีของไพร่ฟ้าประชาชนแล้ว”
สายตาของมู่หรงฉือมองไป กวาดตาผ่านใบหน้าของหลิวเหมยอย่างไม่ได้ตั้งใจ “เช่นนั้นพวกเราจะไปดูที่อื่นต่อ”
อันกุ้ยเหรินพยักหน้า ถือว่าเป็การส่งแขก
รอจนกระทั่งพวกเขาออกจากเรือนหลังไป อันกุ้ยเหรินก็มองไปทางหลิวเหมย สายตาเศร้าสร้อยทอประกายเ็าออกมาวูบหนึ่ง
หลิวเหมยไม่เข้าใจ “เหตุใดพวกเขาถึงได้มาที่เรือนชุนอู๋อีกเ้าคะ?”
สายตาของอันกุ้ยเหรินกลับไปอยู่ที่หน้ากระดาษเก่าจนเหลืองอีกครั้ง ไม่ได้ตอบกลับ
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนออกจากเรือนชุนอู๋ จู่ๆ นางก็หยุดฝีเท้าลง พูดอย่างครุ่นคิด “เฉียวเฟยไม่มีทางจำผิด แล้วก็ไม่น่าจะหลอกลวงเปิ่นกง หากหลิวเหมยในตอนนี้เป็ตัวปลอม เช่นนั้นเหตุใดนางจะต้องปลอมตัวเป็หลิวเหมย? หลิวเหมยตัวจริงอยู่ที่ไหน?”
“ยังมีจุดที่สำคัญยิ่งกว่านั้น อันกุ้ยเหรินไม่มีทางจำสาวใช้ของตนเองผิด เช่นนั้นมีความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวคืออันกุ้ยเหรินเองก็มีปัญหา” เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างมั่นใจ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความชื่นชม จุดน่าสงสัยมากมายในคดีในที่สุดก็มีเบาะแสใหม่
“เปิ่นกงเองก็รู้สึกว่าอันกุ้ยเหรินมีปัญหา ่คิมหันต์อันร้อนระอุเช่นนี้ นางยังใช้ผ้ายาวมาคลุมศีรษะกับใบหน้า แปลกมากจริงๆ”
“ไปถามข้าหลวงที่ดูแลเรือนนี้กัน”
หลี่มามาได้ยินว่าพวกนางมีเื่จะถาม ก็รีบกุลีกุจอเชิญพวกนางเข้ามาที่ห้องของตนเอง ก่อนจะไปเอาแผ่นชาออกมาอย่างประจบสอพลอแล้วเรียกให้ข้าหลวงมาชงชา
เสิ่นจือเหยียนพูดเสียนุ่ม “เพียงแค่ถามเื่กฎระเบียบเท่านั้น หลี่มามาไม่จำเป็ต้องเกรงใจ”
ข้าหลวงนำแผ่นชาไปชง หลี่มามายืนอยู่พลางคลี่ยิ้มกล่าว “เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่นอยากจะถามอะไร หนูปี้จะตอบเท่าที่จะตอบได้เพคะ”
มู่หรงฉือรุกถามเข้าไปตรงๆ “เ้ารู้จักอันกุ้ยเหรินสินะ เหตุใดสามัญชนอันถึงได้สวมผ้าคลุมหัวและใบหน้าในอากาศที่ร้อนเพียงนี้หรือ?”
หลี่มามาตอบ “เมื่อประมาณห้าหกปีก่อน สามัญชนอันก็เอาแต่คลุมหัวกับใบหน้าทั้งวัน นางบอกว่ามักจะรู้สึกปวดหัวบ่อยๆ ทั้งยังเย็นที่ด้านหลังศีรษะ เตี้ยนเซี่ย สามัญชนอันทำความผิดใดหรือเพคะ?”
“เ้าแค่ตอบคำถามก็พอ” ใบหน้าของเสิ่นจือเหยียนเ็าลงหลายส่วน
“เ้าค่ะๆๆๆ” นางก้มหน้าลง ตามองจมูก จมูกมองใจ
“หลิวเหมยคนดูแลของสามัญชนอันคอยติดตามเ้านายอยู่ตลอดเลยหรือ? ั้แ่สามัญชนอันเข้าเรือนมานางก็ติดตามมาด้วยหรือ?” เสิ่นจือเหยียนมององค์รัชทายาทครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามถาม
“หนูปี้คิดๆ ดูแล้ว...นี่เป็เื่เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว หนูปี้ความจำไม่ค่อยจะดีเพคะ”
หลี่มามาทั้งตื่นตระหนกทั้งตื่นเต้น หน้าตาบิดเบี้ยวเล็กน้อย มือทั้งสองข้างจับที่มุมเสื้อ เหงื่อออกที่แผ่นหลังไม่หยุด
แย่แล้ว เมื่อหลายสิบปีก่อนอันกุ้ยเหรินได้พาสาวใช้หลิวเหมยมาด้วยหรือไม่ นางเองก็จำไม่ได้แล้วจริงๆ
ในตอนนี้เอง ข้าหลวงอายุราวสามสิบปีคนหนึ่งก็ยกถ้วยชาเข้ามา ทำความเคารพก่อนจะวางลงบนโต๊ะ
หลี่มามาคิดได้จึงเอ่ยปากถาม “เสี่ยวเถา เ้าอยู่ที่เรือนชุนอู๋มายี่สิบกว่าปีแล้ว เ้าจำสามัญชนอันได้ใช่หรือไม่...ตอนที่อันกุ้ยเหรินเข้าเรือนชุนอู๋มาได้พาหลิวเหมยเข้ามาด้วยกันหรือไม่?”
เสี่ยวเถาเอียงหัวคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่น หนูปี้จำได้อย่างแม่นยำ สามัญชนอันเข้าเรือนชุนอู๋มาเพียงคนเดียวเพคะ”
“เหตุใดเ้าถึงจำได้แม่นยำเล่า?” เสิ่นจือเหยียนมองไปทางเตี้ยนเซี่ย เื่นี้ชักจะแปลกๆ เสียแล้ว
“เฟยผินที่ทำความผิดแล้วถูกถอดฐานันดรเข้ามาที่เรือนชุนอู๋ปกติแล้วจะพาข้ารับใช้ข้างกายมาด้วย แต่อันกุ้ยเหรินไม่ได้พามา ตอนนนั้นหนูปี้ยังรู้สึกว่าเื่นี้แปลกอยู่สักหน่อยจึงไปสอบถาม ที่แท้หลิวเหมยสาวใช้ข้างกายของสามัญชนอันถูกสามัญชนอันไล่ออกจากวังไปเพราะกระทำความผิดเพคะ” เสี่ยวเถาตอบ
“พวกเ้าเคยเจอหลิวเหมยมาก่อนหรือไม่?” มู่หรงฉือถามหน้านิ่ง
หลี่มามากับเสี่ยวเถาส่ายหน้า เป็การบอกว่าไม่เคยเจอมาก่อน
มู่หรงฉือถามอีกครั้ง “เช่นนั้นตอนนี้หลิวเหมยคนนี้ล่ะ?”
หลี่มามารู้สึกว่าเื่นี้ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ องค์รัชทายาทถามละเอียดขนาดนี้ เื่นี้จะต้องสำคัญมากเป็แน่ ไม่แน่ว่าสามัญชนอันกับหลิวเหมยอาจไปทำความผิดใหญ่หลวงมา องค์รัชทายาทถึงได้ซักไซ้ไล่เรียงมากมายเช่นนี้ หลี่มามายิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งเต้นถี่รัว ไม่กล้าปกปิด “เมื่อห้าหกปีก่อนสามัญชนอันปวดศีรษะได้ไม่กี่วัน นางก็พาหลิวเหมยมาแล้วบอกกับหนูปี้ว่า หลิวเหมยจะอยู่ที่เรือนชุนอู๋กับนาง เรือนชุนอู๋ตัดขาดจากโลกภายนอก เป็สถานที่สำหรับข้าหลวงและเฟยผินที่ทำความผิด จะเพิ่มอีกสักคนก็ไม่ได้มากน้อยอะไร หนูปี้จึงไม่ได้ใส่ใจแล้วให้หลิวเหมยอยู่ดูแลสามัญชนอันเพคะ”
มู่หรงฉือถามอีกสองสามคำถาม จากนั้นก็ออกจากเรือนชุนอู๋ไป
ก่อนที่จะออกจากเรือนชุนอู๋ นางได้กำชับหลี่มามากับเสี่ยวเถาว่าหากนึกเื่แปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่เรือนชุนอู๋ได้ สามารถไปหานางที่ตำหนักบูรพาได้
ด้านหลังของพวกเขา จากเส้นทางวังหลวงอีกเส้นก็มีคนเลี้ยวออกมาคนหนึ่ง มองแผ่นหลังของพวกเขาด้วยแววตาดุร้าย
เดินอยู่ใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง มู่หรงฉือก็มีเหงื่อออกไปทั้งตัว แผ่นหลังเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ แต่ว่านางไม่ได้ใส่ใจ “ทั้งๆ ที่หลิวเหมยออกจากวังไปแล้ว เหตุใดสิบปีให้หลังถึงได้กลับมาที่วังหลวงอีก? ทั้งยังยินยอมเข้ามาดูแลสามัญชนที่ไม่มีความหวัง ชีวิตก็ใกล้จะจบลงในเรือนชุนอู๋ด้วย?”
เสิ่นจือเหยียนพยักหน้า “ที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ หลิวเหมยที่จู่ๆ ก็กลับมาไม่ได้เป็หลิวเหมยที่ใบหน้าถูกทำลาย อันกุ้ยเหรินกับหลิวเหมยสองนายบ่าวอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี ย่อมไม่มีทางจำคนผิด อีกอย่าง จู่ๆ อันกุ้ยเหรินก็ปวดหัวอย่างกะทันหัน และเพราะอาการป่วยนี้นางจึงคลุมศีรษะกับใบหน้าเอาไว้ตลอด ชัดเจนว่าไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าของนาง”
“หลิวเหมยไม่ใช่หลิวเหมยคนนั้น เช่นนั้นอันกุ้ยเหริน...” นางเค้นความคิด ก่อนจะมีแสงกระพริบวาบขึ้นในหัว “อันกุ้ยเหรินเองก็ไม่ใช่อันกุ้ยเหรินคนเดิม!”
“เช่นนี้ก็เข้าเค้าแล้ว แต่ว่า สองนายบ่าวคู่นี้เป็ใครกัน? เหตุใดถึงได้ปลอมตัวเป็อันกุ้ยเหรินกับหลิวเหมย? พวกนางแฝงตัวเข้ามาในเรือนชุนอู๋มีเจตนาอะไร?” เสิ่นจือเหยียนพูดไปพลางขมวดคิ้ว “มีเื่น่าสงสัยใหญ่กว่าเดิมปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว”
“ใช่สิ พวกนางเป็ใครกัน? การตายของสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่เกี่ยวข้องกับพวกนางหรือไม่?” คิ้วของมู่หรงฉือขมวดเข้าหากันมากขึ้นอีก “หากพวกเราถามออกไปตรงๆ ต้องไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาเป็แน่ รังแต่จะเป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“โชคดีที่หลายวันนี้ในวังถือว่าสงบสุขอยู่บ้าง เื่นี้พวกเราสามารถค่อยๆ ตรวจสอบได้” เสิ่นจือเหยียนพูดปลอบ
นางพยักหน้า ตอนนี้ก็คงทำได้เพียงเท่านี้
...
ตำหนักชิงหยวน
มู่หรงฉือมาคารวะพระบิดา “สองพ่อลูก” พูดคุยกันได้อยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากมู่หรงเฉิงเสวยโจ๊กรังนกและดื่มโอสถยาแล้ว นางก็พยุงให้พระบิดานอนพักผ่อน เตรียมจะทูลลา
ตอนนี้เองที่มีคนบุกเข้ามา นำพาสายลมกรรโชกวูบหนึ่งเข้ามาด้วย
เงาสีแดงสายหนึ่งเข้ามาตรงหน้าเตียงใหญ่ เรือนร่างบอบบาง เสียงใสออดอ้อนกล่าวออกมา “เสด็จพ่อ ลูกมาคารวะเสด็จพ่อเพคะ”
นั่นคือท่าทางของบุตรสาวเ้าของเรือน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจห้าถึงหกส่วน
หัวใจของมู่หรงฉือเ็ปเล็กน้อย ชาตินี้ทั้งชาตินางไม่มีโอกาสได้เป็เช่นนี้ ได้ใช้ท่าทางของบุตรสาวมาทำตัวน่ารักใส่เสด็จพ่อ
มู่หรงเฉิงตบฝ่ามือเรียวขาวราวหิมะของมู่หรงฉาง คลี่ยิ้มอย่างรักใคร่ “จาวฮวามีจิตใจกตัญญู หัวใจของเจิ้นได้รับการปลอบประโลมแล้ว”
“เสด็จพ่อ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปลูกจะมาคารวะเสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้ลูกออกจากวังไปครึ่งปี เสด็จพ่อป่วยหนักก็ไม่ได้มาดูแล ไม่ได้รีบกลับมาเฝ้าไข้ เป็ลูกเองที่ดื้อรั้น ลูกจะไม่ทำตัวเช่นนี้อีกแล้วเพคะ ต่อไปลูกจะมาอยู่กับเสด็จพ่อทุกวัน” มู่หรงฉางพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ใบหน้าเล็กแย้มยิ้มหยดย้อยราวบุปผา เพียงพอที่จะทำให้มดเป็พันตัวจมความหวานตาย
“ดีๆๆๆ” เขาหัวเราะ ท่าทางมีความสุขมาก
นางมองไปทางมู่หรงฉือแล้วส่งสายตา ปากก็เอ่ยชมมู่หรงเฉิง “เสด็จพ่อหล่อเหลายิ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะเพคะ”
มู่หรงฉือพูดสบายๆ “เสด็จพ่อ น้องสาวเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ถึงวัยที่จะได้รับพระราชทานสมรส เพียงแต่เสด็จพ่อยังต้องพักรักษาตัวอยู่อีกสักพัก มิสู้เลือกราชบุตรเขยเอาไว้ก่อน พระราชทานการแต่งงานให้น้องสาวไว้ล่วงหน้า รอร่างกายของเสด็จพ่อหายดีแล้วค่อยจัดพิธี เสด็จพ่อคิดว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
มู่หรงฉางกุมมือของเขา ทำท่าทางออดอ้อนน่ารักแบบที่บุตรสาวพึงมี “เสด็จพ่อ ลูกยังไม่อยากแต่งงาน ลูกอยากจะอยู่กับเสด็จพ่อไปอีกหลายปี แต่ว่าไม่รู้ทำไม ลูกเดินไปที่ไหนก็ได้ยินแต่คำพูดที่ว่าลูก...”
พูดไป นางก็ก้มหน้าลงด้วยความน้อยใจ น่าสงสารยิ่งนัก
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของมู่หรงเฉิงเปลี่ยนเป็ดุดันทันที “ใครกล้ามาพูดถึงจาวฮวาของเจิ้น? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้