ลำคออยู่ภายใต้ดาบของคน จะไม่ก้มหัวก็คงไม่ได้
เมื่อเทียบกับหน้าตาแล้วชีวิตย่อมสำคัญกว่า
เฉิงชิงก็คิดไม่ถึงว่าในสังคมที่สงบเรียบร้อยของราชวงศ์เว่ยจะเกิดเื่ขึ้น หากรู้ก่อนหน้าว่าจะเป็เช่นนี้ นางยอมกลับสถานศึกษาแต่โดยดี รอให้ถึงวันหยุดแล้วค่อยไปพบนายท่านห้าเฉิงก็ได้เหมือนกัน!
นายท้ายเทียบไม่ได้กับเฉิงชิง ใจนปัสสาวะรดกางเกง พอถูกคนยกคอขึ้นก็ตัวสั่นร้องขอความเมตตา
มีเสียงเอ่ยด้วยความสงสัยดังจากบนเรือใหญ่
“หรือว่าจะเป็ศิษย์น้องเฉิง?”
น้ำเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหู!
เฉิงชิงโล่งใจ “เป็ข้าเอง เฉิงชิง!”
นางไม่ได้ถามว่าเป็ศิษย์พี่ท่านใด การที่การป้องกันเข้มงวดทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ฝ่ายตรงข้ามอาจจะไม่้าที่จะเปิดเผยตัวตน ยิ่งรู้เยอะเท่าไรก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้น ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของเฉิงชิงอยู่เหนือความอยากรู้อยากเห็น
มีคนผู้หนึ่งเดินมาถึงบนกราบเรือ แสงจันทร์ยิ่งเพิ่มพูนความชวนฝันให้กับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอีกหลายส่วน ผู้ที่ชวนสะดุดตาผู้นี้คือเมิ่งไหวจิ่น
เมิ่งไหวจิ่นไม่ควรอยู่ในงานชุมนุมวรรณกรรมเป็เป้าหมายให้ผู้คนไล่ตามหรอกหรือ เหตุใดถึงได้มาปรากฏตัวอยู่บนเรือใหญ่สีดำมืดนี่ได้?
ความสงสัยนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉิงชิงรู้สึกยินดีและกังวลผสมปนเปกัน
“ศิษย์พี่เมิ่ง…”
เมิ่งไหวจิ่นมีท่าทีน่าสงสัยและดันถูกนางเห็นเข้าเสียแล้ว ์จะให้นางอยู่หรือตายก็ล้วนต้องดูอารมณ์ของเมิ่งไหวจิ่นแล้ว
เฉิงชิงได้แต่เพียงหวังว่าเมิ่งไหวจิ่นจะเป็สุภาพชนทั้งภายในและภายนอกอย่างแท้จริง
“เ้าออกไปจากงานชุมนุมวรรณกรรมตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงไม่กลับไปยังสถานศึกษา”
“ข้ามีเื่ต้องหารือกับท่านปู่ห้า จึงมารอที่ด้านนอกขอรับ”
เมิ่งไหวจิ่นกล่าวพึมพำ “นายท่านห้าเฉิงจากไปั้แ่เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนแล้ว”
ยามนี้เฉิงชิงรู้สึกตระหนกบ้างจริงๆ แล้ว
“ข้าไม่รู้เลยจริงๆ งั้นข้ากลับบ้านไปส่งโคมไฟแล้วนะ!”
เมิ่งไหวจิ่นพยักหน้า “ดึกมากแล้ว ศิษย์น้องเฉิงไม่ควรเถลไถลอยู่ด้านนอก งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูมักจะเกิดเหตุปล้นชิงทรัพย์สินทุกปี”
ถึงแม้นายท่านห้าเฉิงจะยังอยู่ที่งานชุมนุมวรรณกรรม แต่ในเมื่อเกิดเื่ขนาดนี้แล้วนางก็คิดอยากจะรีบกลับไปสถานศึกษาเร็วหน่อย ยามนี้เมิ่งไหวจิ่นกล่าวอะไรก็ล้วนถูกต้องทั้งนั้น
“ขอบคุณศิษย์พี่เมิ่งที่เตือนสติ ลมแม่น้ำพัดจนทำเอาข้ามึนหัวเล็กน้อย ข้าต้องรีบกลับไปนอนที่สถานศึกษาจริงๆ แล้ว พรุ่งนี้ก็จะเป็วันใหม่อีกวันหนึ่ง”
มึนหัวแล้ว เื่ในค่ำคืนนี้เกิดอะไรล้วนจำไม่ได้ทั้งสิ้น เห็นอะไรแล้วก็ได้แต่ทำเป็ไม่เห็น!
นางรู้จักกาลเทศะอย่างยิ่ง เฉิงชิงหวังว่าเมิ่งไหวจิ่นจะไม่เรียนหนักจนสายตาย่ำแย่ สามารถเห็นความจริงใจที่อยู่เต็มใบหน้าของนางอย่างชัดเจน
เมิ่งไหวจิ่นจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปในท้องเรือ ดาบที่จ่อบนลำคอของเฉิงชิงหายไปแล้ว ส่วนนายท้ายก็ถูกปล่อยตัวด้วย คนเ่าั้ะโกลับไปตรงกราบเรือของเรือใหญ่อีกครั้ง หายตัวไปไม่เหลือแม้แต่เงาอย่างรวดเร็ว
ภายในเรือใหญ่มืดสนิทแม้แต่แสงตะเกียงสักนิดก็ไม่เห็น เมิ่งไหวจิ่นไม่ได้ออกมาอีก
เฉิงชิงรู้สึกว่าเื่ทั้งหมดเมื่อครู่นี้เป็เหมือนฝันไป
ถุย!
เมิ่งไหวจิ่นในความฝันจะหล่อเหลาขนาดไอดอลนั้นไม่แปลก แต่พอมาอยู่กับประกายดาบเงานั่นแล้ว…
“พวกเรารีบไปกัน!”
เฉิงชิงไปพยุงนายท้ายที่แข้งขาอ่อนแรง
นายท้ายใจนปัสสาวะรดกางเกง ทั้งตัวมีแต่กลิ่นปัสสาวะ เฉิงชิงไม่อาจหลีกเลี่ยงเขาได้ คว้าไม้ถ่อและพายเรือไปพร้อมกับนายท้าย
เมื่อกลับมาถึงยังท่าเรือที่มีไฟส่องสว่างอีกครั้งหนึ่งแล้ว เฉิงชิงถึงได้ถอนหายใจโล่งอกยาวๆ
ซือเยี่ยนรออยู่ที่ท่าเรือ “ข้าน้อยได้หาคนมาสอบถามเรียบร้อยแล้วขอรับ ที่แท้นายท่านห้าก็ได้กลับไปภายในตัวอำเภอนานแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”
เฉิงชิงจ่ายค่าเรือเอง นางกำชับนายท้ายไม่ให้กล่าววาจาเลอะเทอะ “อย่ายุ่งเื่ผู้อื่น ซุบซิบให้น้อยหน่อยแล้วจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน เข้าใจหรือไม่?”
นายท้ายพยักหน้าสุดแรง
ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของคนธรรมดาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉิงชิง ไม่ต้องให้นางมากำชับซ้ำ นายท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยเลอะเทอะอยู่แล้ว คนตัวเล็กตัวน้อยอย่างเขาไม่กล้าไปหาเื่ใครทั้งนั้น ตายแล้วก็ตายไปทั้งยังนั้น จมลงแม่น้ำไปก็เป็ได้แค่เพียงอาหารเลี้ยงปลา
ซือเยี่ยนรู้สึกว่าเกิดเื่อะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้
แต่ในเมื่อผู้เป็นายไม่ได้กล่าว เขาจึงไม่อาจถามได้
ซือเยี่ยนพาเฉิงชิงกลับมาส่งที่สถานศึกษาแล้วจึงค่อยลงเขาไป
เฉิงชิงปิดประตู ลูบหลังของตนเอง เหงื่อชุ่มไปทั้งแผ่นหลัง
ล้างหน้ากลั้วปากเปลี่ยนเสื้อผ้า พลิกตัวไปมาบนเตียงอยู่รอบหนึ่งแล้วก็ยังนอนไม่หลับ
เื่ของฉีเหยียนซงถูกนางโยนไปไว้ที่หลังสมอง ทั้งเมิ่งไหวจิ่นและเรือใหญ่สีดำมืดลำนั้น ทั้งคมดาบที่เยียบเย็นส่องประกายเ่าั้ เพียงหลับตาก็ปรากฏมาอยู่ต่อหน้านาง
ความสงสัยขนาดมหึมาปกคลุมเฉิงชิง
เป็ที่รู้กันทั่วไปว่าเมิ่งไหวจิ่นมีชาติกำเนิดยากจน ถึงขนาดต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากตระกูลเฉิงจึงสามารถศึกษาจนสอบผ่านจวี่เหรินได้... แต่เมื่อเห็นท่าทีเมื่อครู่แล้วช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้คุ้มกันที่มีรูปร่างกำยำแข็งแรงเ่าั้ย่อมไม่อาจฝึกออกมาได้ภายใน่ระยะเวลาสั้นๆ แน่!
คนพวกนั้นคือผู้คุ้มกันของเมิ่งไหวจิ่น?
ท่านปู่ห้าทราบหรือไม่ว่าเมิ่งไหวจิ่นยังมีอีกโฉมหน้าหนึ่ง
เมิ่งไหวจิ่นไม่ได้ฆ่าปิดปากนาง อย่างน้อยก็ไม่กลัวจะถูกนางเห็น
“บนเรือยังมีผู้อื่นอีก!”
หากเรือและผู้คุ้มกันไม่ใช่ของเมิ่งไหวจิ่น แสดงว่าต้องมีเ้านายคนอื่นอีก
เมิ่งไหวจิ่นฉวยโอกาสในงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูไปพบกับบุคคลปริศนาผู้หนึ่ง
ลับๆ ล่อๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็ใคร
เฉิงชิงดึงผ้าห่มมาคลุมถึงใบหน้า ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย[1] นางก็มีความลับของตนเอง เมิ่งไหวจิ่นก็ย่อมมีความลับของตนเอง ทางที่ดีที่สุดคือต่างฝ่ายต่างไม่สอดรู้สอดเห็นซึ่งกันและกัน เป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่อย่างสงบไร้เื่ไร้ราวต่อไป
นอนหลับไปตื่นหนึ่งนางก็จะสามารถลืมเื่ในคืนนี้ได้ทั้งหมด!
หลังจากงานชุมนุมวรรณกรรมวันที่สอง สถานศึกษาก็เปิดสอนตามปกติ แต่วันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่มาสายขาดเรียน นี่คือผลที่ตามมาของความคึกคะนอง
งานชุมนุมวรรณกรรมทำให้ชีวิตของเฉิงชิงเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย ไม่เพียงเ้าอ้วนชุยจะกล้าพูดคุยกับนางต่อหน้าผู้คน สหายร่วมเรียนของห้องติงเก้าก็ไม่ทำเหมือนนางเป็อากาศธาตุอีก— ที่แท้เหล่าสหายร่วมเรียนก็รู้เื่ที่นางแก้ปัญหาสามสิบข้อ ขายโคมไฟบริจาคเงิน และถูกราชบัณฑิตเสิ่นเรียกเข้าพบหมดแล้ว
การกระทำทั้งหมดนี้เดิมก็ทำเพื่อให้นายท่านห้าเฉิงประทับใจ แม้ไม่อาจพูดคุยกับนายท่านห้าเฉิงเป็การส่วนตัว แต่กลับจับพลัดจับผลูเปลี่ยนความคิดของเหล่าสหายร่วมเรียนห้องติงเก้าที่มีต่อนางแทน!
เดิมการอดกลั้นจนถึงขีดสุดก็เป็การง่ายที่จะเด้งกลับมาจากจุดต่ำสุด เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว เดิมเฉิงชิงก็ไม่ได้ทำผิดอะไรนอกเหนือจากการเป็บุตรชายของเฉิงจือหย่วน
ส่วนเฉิงจือหย่วนจะมีความผิดหรือไม่ ราชสำนักก็ยังไม่ได้ตัดสิน
เหตุผลที่แม้แต่ดาวเด่นหอโคมเขียวในงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูก็รู้ อย่าบอกนะว่าพวกเขาเทียบไม่ได้แม้กระทั่งนางคณิกาผู้หนึ่ง?
เฉิงชิงก็ไม่ได้ใจแคบถึงขนาดจดจำความแค้น เดิมตัวนางเองก็ยิ่งสบายหากได้ศึกษาในสภาพแวดล้อมที่เป็มิตร สหายร่วมเรียนล้วนเป็เด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีกลุ่มหนึ่ง เปลี่ยนจุดยืนอย่างรวดเร็วก็ถือเป็เื่ปกติ นางไม่คิดจุกจิกกับเด็กเมื่อวานซืนพวกนี้หรอก!
แต่เฉิงชิงก็ไม่ได้เจอเมิ่งไหวจิ่นเลยใน่หลายวันที่ผ่านมานี้ ได้ยินมาว่าหลังจากงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดู เมิ่งไหวจิ่นก็ได้ยื่นขอลาพักยาวต่อสถานศึกษา
คงจะเกี่ยวข้องกับเรือใหญ่สีดำสนิทลำนั้น... นางไม่ได้เอ่ยถึงเื่นี้กับใครเลย
ผ่านไปอีกหลายวัน ซือโม่ก็มาหานางเพื่อรายงาน
“ตระกูลฉีแห่งอำเภอหย่งหยางรุ่นนี้มีคุณชายอยู่สามท่าน คุณชายใหญ่แต่งงานมาแล้วเจ็ดปีมีทั้งภรรยาและบุตร คุณชายสามปีนี้อายุเพียงไม่กี่ปี ถูกเลี้ยงดูอยู่ภายในเรือนพบเห็นไม่ง่ายนัก ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมคือคุณชายรองแห่งตระกูลฉี ฉีเหยียนซง อายุสิบเก้าปี ยังไม่ได้ยินว่าแต่งงานแล้ว นายน้อยให้ข้าติดตามคุณชายรองฉี เขากับแม่นางซือซือแห่งหอิเยวี่ย พอออกจากงานชุมนุมวรรณกรรมแล้วก็แยกทางกัน หอิเยวี่ยอยู่ภายในตัวเมือง แต่คุณชายรองฉี่หลายวันนี้กลับอาศัยอยู่ในอำเภอหนานอี๋ ได้ยินเด็กรับใช้ข้างกายเขากล่าวว่าคุณชายรองฉีเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมเป็แค่เพียงทางผ่าน เป้าหมายที่แท้จริงคือสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋ขอรับ”
ตระกูลฉีแห่งอำเภอหย่งหยางก็คือตระกูลของลุงฝั่งมารดาของบุตรสาวคนโต
คนหนุ่มรุ่นนี้มีเพียงบุตรชายสามคน คนโตแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรแล้ว บุตรคนที่สามก็ยังเล็กเกินไป เช่นนั้นผู้ที่หมั้นหมายกับบุตรสาวคนโตได้ก็ยังคงมีเพียงฉีเหยียนซง
เช่นนั้นยามฉีเหยียนซงไปมั่วกับนางคณิกา รู้หรือไม่ว่าตนเองมีภรรยาที่ยังไม่แต่งงานด้วยอยู่?
ถึงไม่เอ่ยถึงเื่หมั้นหมาย บุตรสาวคนโตก็ยังเป็ญาติผู้น้องสายเืชิด บัดนี้กำพร้าบิดากลับมาไว้ทุกข์ที่หนานอี๋ อย่างน้อยฉีเหยียนซงซึ่งเป็ญาติผู้พี่ก็ควรมาเยี่ยมแสดงความเป็ห่วงสักหน่อยสิ!
แต่คนเขาไม่ได้อยู่เฉย ความคิดถูกดาวเด่นหอโคมเขียวขโมยไปเสียแล้ว
เฉิงชิงยิ้มอย่างแฝงนัย
“คนแบบไหนก็ล้วนสามารถมาสอบที่สถานศึกษาหนานอี๋ได้จริงๆ สินะ”
[1] ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย หมายถึงอยากรู้อยากเห็นจนเกิดปัญหา
