หนิงเทียนเดาะลิ้นด้วยความสงสัย ก่อนจะเดินวนรอบร่างชายวัยกลางคนสามรอบ แล้วถามว่า “ทำไมอยู่ดีๆ เ้าถึงเปลี่ยนไป?”
เยาเยากล่าวว่า “ข้าถูกกาลเวลาโจมตีลึกลงไปในใจกลางต้นไม้ พลังแห่งกาลเวลากระตุ้นวงแหวนการเติบโตที่เคยเหือดแห้งภายในร่างกายของข้า แล้วกลืนกินการบำเพ็ญนับพันปีของต้นไม้ั์ที่...”
“พันปี? เราผ่านเวลานับพันปีในคืนเดียวหรือ?”
หนิงเทียนทั้งใและประหลาดใจ และพบว่ามันเหลือเชื่อมาก
เยาเยากล่าวว่า “จิตสำนึกของเ้าผ่านเวลานับพันปี แต่ร่างกายของเ้าเติบโตเพียงหนึ่งปี เวลาที่เหลือถูกเพิ่มเข้าไปในร่างกายของข้า ทำให้ข้าเติบโตขึ้นหลายพันปี ทั้งยังพาข้ากลับคืนสู่ขอบเขตเปลี่ยนผ่าน”
“เื่ประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ผ่านเวลาพันปีในคืนเดียว ไม่น่าเชื่อ”
หนิงเทียนไม่อยากจะเชื่อเลย เขารู้สึกว่าจิติญญาของตนเป็ผู้ใหญ่ขึ้นมากแล้ว แต่มันไม่มีวันไปไกลถึงพันปีได้เลย
เื่นี้เป็เื่ยากที่จะตรวจสอบ ดังนั้นหนิงเทียนจึงทำได้เพียงเชื่อในเบื้องต้นเท่านั้น
“เ้ามีแผนจะติดตามข้าในรูปแบบใดในอนาคต”
เยาเยาหมุนตัวและกลับกลายเป็ต้นท้อไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ในทันที
“เป็การดีกว่าที่จะทำตนให้ดูต่ำต้อย เื่ประหลาดใจมักมาใน่เวลาสำคัญ”
หนิงเทียนหันกลับไปพร้อมรอยยิ้ม แล้วพุ่งตัวตรงไปยังปราสาท
ระหว่างทางหนิงเทียนมองไปทางทิศบูรพา แล้วหันไปทางทิศประจิม หมื่นสรรพสิ่งในใจทำให้เขาเข้าใจโลกใหม่
เพียงจ้องมองที่หญ้าต้นหนึ่ง หนิงเทียนก็สามารถเข้าใจรายละเอียดของหญ้าต้นน้อยนี้ได้เกือบจะในทันที เขารู้ถึงระดับของิญญาอสูร ทั้งยังรู้ด้วยว่ามันมีชีวิตอยู่กี่ปี เข้าใจถึงการทำงานของพลังิญญาและภาวะสุขภาพของมันอย่างชัดเจน
ในูเาและป่าไม้ ดอกไม้ ต้นไม้ หญ้า และเถาวัลย์ล้วนหลงเหลือความลับต่อหน้าหนิงเทียน แม้พวกมันจะเป็ิญญาอสูรระดับสี่ แต่ภายในใจของเขาก็ยังมองเห็นหกสิบถึงเจ็ดสิบจุดของทุกสิ่ง
ความเข้าใจของหมื่นสรรพสิ่งในใจยังมีผลกับอสูรด้วย เขาสามารถเห็นอสูรที่มีขอบเขตต่ำกว่าขอบเขตเปลี่ยนผ่านได้อย่างรวดเร็ว ส่วนอสูรในขอบเขตเปลี่ยนผ่านเขายังสามารถเห็นได้เป็ส่วนใหญ่ มีอสูรที่ทรงพลังเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ไม่สามารถมองพวกมันได้อย่างสมบูรณ์
“น่าทึ่งมาก นี่เทียบเท่ากับการใช้ทักษะเก้าเนตร์จนถึงสุดขีดตลอดเวลา แต่พลังกลับใช้ไปเพียงส่วนเดียวเท่านั้น”
หนิงเทียนมีความสุขมาก การได้เดินทางมายังต้นไม้ั์ทำให้เขาพึงพอใจอย่างยิ่ง
...
สายลมเย็นๆ ยามเช้าปลุกอารมณ์อำลา
ชิวอีเซี่ยนมองไปยังทิศทางของต้นไม้ั์แล้วถอนหายใจ ก่อนจะหันหลังกลับเตรียมจากไป
หนิงเทียนเอามือไพล่หลัง และมองไปที่แม่น้ำไหลเชี่ยวซึ่งอยู่ด้านนอกปราสาท แผ่นหลังของเขาในยามนี้ดูลึกลับเล็กน้อย
“หนิงเทียน เ้ายังไม่ตายหรือ?”
ชิวอีเซี่ยนที่เพิ่งเดินออกจากปราสาทต้องใเมื่อเห็นร่างของเขา
ในยามความมืดมาเยือนเมื่อคืนนี้ หนิงเทียนรอดพ้นจากภัยพิบัติมาได้จริงๆ นี่มันไม่น่าเชื่อเลย
“ข้าหล่อขนาดนี้ จะตายได้อย่างไร?”
หนิงเทียนหัวเราะเบาๆ โบกมือให้ชิวอีเซี่ยนแล้วพูดว่า “เร็วเข้า อย่ารอช้า ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถไปถึงเจดีย์โบราณได้ก่อนมืด”
ชิวอีเซี่ยนรีบเดินเข้ามาหยุดข้างกายของหนิงเทียน มองซ้ายแล้วจับแขน มองขวาแล้วลองบีบนั่นนี่อยู่สักพัก
“ร่างกายไม่แข็งทื่อ ดูไม่เหมือนศพเลย...อุ๊ย...ตีข้าทำไม”
“ปากอีกา[1] เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทุบตีเ้าให้ตาย”
หนิงเทียนยกมือขึ้น ซึ่งทำให้ชิวอีเซี่ยนใมากจนรีบหนี ทั้งสองวิ่งไล่ตามกัน หัวเราะและหยอกล้อ ในไม่ช้าก็ออกจากพื้นทีู่เาแห่งนี้
ตามแผนที่ ระยะทางจากปราสาทถึงเจดีย์โบราณมีระยะทางยาว เพื่อที่จะไปถึงที่นั่นก่อนฟ้ามืด หนิงเทียนและชิวอีเซี่ยนจึงเหาะเหนือขุนเขาและสันเขาไปตลอดทาง และต้องพบกับการโจมตีหลายครั้งจากอสูรและนกที่ดุร้าย
หมื่นสรรพสิ่งในใจของหนิงเทียนมีบทบาทในการหยั่งรู้ถึงโอกาสและคอยช่วยแจ้งเตือนล่วงหน้า พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงอันตรายมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า และลอยขึ้นไปบนูเาลูกแล้วลูกเล่า
“หนิงเทียน ดูนั่น!”
ชิวอีเซี่ยนชี้หน้าผาทางซ้ายมือตรงหน้าเขา ที่นั่นมีต้นไม้แห้งเหี่ยว และมีศพห้อยอยู่บนนั้น
“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็ซิงซิวที่แข็งแกร่งซึ่งอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่าน”
ดวงตาของหนิงเทียนเหมือนคบเพลิง และเขาก็แอบหวาดกลัว
ศพเต็มไปด้วยาแ เขาต่อต้านอย่างดุเดือดก่อนเสียชีวิต แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมได้
“สถานที่แห่งนี้...รีบหลบ...”
หนิงเทียนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงภัยคุกคามครั้งใหญ่ จึงรีบดึงชิวอีเซี่ยนให้ถลาลงไป
ทันใดนั้นท้องฟ้าที่เคยสดใสก็มืดลง นกั์ตัวหนึ่งสยายปีกปกคลุมท้องฟ้า พร้อมเปล่งรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ชิวอีเซี่ยนโพล่งออกมาอย่างหวาดกลัว “อสูรระดับห้าในระดับจิติญญา เราตายแน่แล้ว”
“หุบปากอีกาของเ้าซะ!” หนิงเทียนดุ
“โหมวาโยคุมเทวัญ!”
ใน่เวลาวิกฤติของชีวิตและความตาย หนิงเทียนใช้ทักษะคุมวาโยและลอยเข้าไปยังช่องว่างในหน้าผาหินตรงหน้า
นกดุร้ายคำรามกลางอากาศ กรงเล็บเล็งเป้ามายังพวกเขาทั้งสองและพยายามจับร่างของพวกเขาให้ได้
หนิงเทียนรู้สึกหนาวสั่นไปตามกระดูกสันหลัง นั่นคืออสูรระดับห้า ซึ่งเป็การดำรงอยู่ในระดับจิติญญามันเทียบเท่ากับปรมาจารย์เหนือเมฆาของมนุษย์เลยทีเดียว
เมื่อถูกจับได้ก็แทบจะไม่มีโอกาสรอด
แต่หนิงเทียนไม่คิดนั่งรอความตาย เขาปลดปล่อยวาโยพิโรธ และเพิ่มความเร็วจนถึงจุดสูงสุด
ชิวอีเซี่ยนสิ้นหวังและละทิ้งการขัดขืน เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าต่อหน้าเ้าแห่งจิติญญาระดับห้า เขาที่อยู่ในขอบเขตผนึกดาราย่อมไม่รอด
หนิงเทียนกระตุ้นหมื่นสรรพสิ่งในใจ เขาจึงตระหนักดีถึงสถานการณ์เื้ั และเขาพยายามคว้าความหวังอันริบหรี่นั้นไว้
มีคลื่นพลังรุนแรงอยู่ในช่องว่างหน้าผาหินข้างหน้า ดูเหมือนว่าที่นั่นจะมีอสูรระดับห้าอีกตัวอาศัยอยู่ และนี่เป็โอกาสเดียวของหนิงเทียนที่จะหลบหนี
เขาทำได้เพียงรอให้นกปากส้อมกับหอยทะเลาะกัน และเป็ชาวประมงที่ได้รับผลประโยชน์[2]
หนิงเทียนไม่สามารถรับมือกับนกดุร้ายได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ยืมมีดสังหารเท่านั้น
นกั์เหยียดกรงเล็บ พร้อมห้วงอากาศเื้ัที่พังทลายลง พลังแห่งการทำลายล้างถาโถมเข้ามาเร็วกว่าการเคลื่อนไหวของหนิงเทียน
โชคดีที่หนิงเทียนตอบสนองได้ทันเวลาและตัดสินใจได้ถูกต้อง เมื่อการโจมตีของนกั์ใกล้เข้ามา เขาได้เหาะออกไปนอกช่องว่างในหน้าผาหินแล้ว
เมื่อมองจากระยะไกลช่องว่างนี้เหมือนจะไม่ใหญ่นัก แต่เมื่อมองใกล้ๆ มันสูงมากกว่าสิบจั้ง
ลมแรงทำให้หนิงเทียนหายใจลำบาก แต่ความสนใจของเขามุ่งอยู่เพียงช่องในหน้าผาหิน
“รีบออกมาเถอะ เร็วเข้า”
หนิงเทียนะโ เขาแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป ยามนี้พลังทำลายล้างที่อยู่เื้ัเข้ามาใกล้ในระยะสิบจั้งแล้ว และมันสามารถฉีกร่างของเขาออกจากกันได้ในพริบตา
หนิงเทียนที่พุ่งไปข้างหน้า กำลังเข้าใกล้ช่องหน้าผาหินด้วยความเร็วสูง และเมื่อเขากำลังจะตายภายใต้กรงเล็บของนกั์ ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามต่ำดังออกมา แสงสีทองพุ่งออกมาจากหน้าผาหินพร้อมพลังอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งก่อให้เกิดการถ่วงดุลระหว่างพลังที่นกั์ปล่อยออกมา แต่มันสามารถแยกร่างของหนิงเทียนกับชิวอีเซี่ยนออกได้ในพริบตา
“เยาเยา!”
หนิงเทียนใช้ทางเลือกสุดท้ายใน่เวลาวิกฤติ ทหาริญญาหายไปในพริบตา มันใช้ทักษะเคลื่อนย้ายมวลสารเพื่อนำตัวของหนิงเทียนและชิวอีเซี่ยนออกจากใจกลางวังวนพลัง
ครู่ต่อมา พลังของอสูรระดับห้าสองตัวก็เข้าปะทะกัน ด้านหนึ่งเป็นกั์ อีกด้านเป็งูหลามสีทองขนาดั์ที่มีความยาวหลายพันจั้ง ทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกัน พลังแห่งการทำลายล้างฉีกกระชากูเาและป่าไม้โดยรอบในทันที
หนิงเทียนและชิวอีเซี่ยนเห็นฉากนี้จากกลางอากาศ ทั้งสองกลัวจนรู้สึกหนาวไปทั้งตัว แล้วพากันหลบหนีด้วยความเร็วสูงสุด
“สถานที่แห่งนี้น่ากลัวเกินไป ถ้ารู้คงไม่มาทางนี้หรอก...”
ชิวอีเซี่ยนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย การบุกรุกของความมืดในเวลากลางคืนนั้นน่าสะพรึงกลัว ทว่าการโจมตีของอสูรในตอนกลางวันก็น่ากลัวไม่ต่างกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะหนิงเทียน เมื่อครู่ชิวอีเซี่ยนคงกลายเป็อาหารอันโอชะอยู่ในท้องของนกั์ไปแล้ว
“ขอบคุณนะหนิงเทียน”
“ออกไปได้แล้วค่อยขอบคุณอีกครั้งก็ยังไม่สาย ตอนนี้ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน”
ท่าทางของหนิงเทียนดูเคร่งขรึม ทักษะยุทธศาสตร์ครอง์ผสมผสานกับหมื่นสรรพสิ่งในใจ ทำให้ขอบเขตการรับรู้ของเขาขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง และูเาข้างหน้าก็ส่งแรงกดดันอย่างมากต่อเขา
หากอยากเหาะข้ามบริเวณนี้ จะถูกโจมตีโดยอสูรอย่างแน่นอน
หนิงเทียนและชิวอีเซี่ยนต่างก็เป็จื๋อซิว ดังนั้นความเป็ไปได้ที่จะถูกิญญาอสูรโจมตีจึงค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอสูรระดับห้าอีกหลายครั้ง พวกเขาคงไม่โชคดีทุกครั้ง
ชิวอีเซี่ยนก็เห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน จึงแนะนำว่า “เราอ้อมไปที่ซากปรักหักพังนั้นก่อน แล้วค่อยเร่งรีบเดินทางไปยังเจดีย์โบราณเพื่อหลีกเลี่ยงสถานที่อันตรายเหล่านี้ดีหรือไม่?”
หนิงเทียนขมวดคิ้ว การเคลื่อนไหวเช่นนั้นจะล่าช้าไปอีกหนึ่งวัน แต่ถ้าเขายังยืนกรานที่จะฝืนผ่านทางนี้ไป มีแนวโน้มว่าเขาจะไม่รอดพ้นจากความตาย
“ไปกันเถอะ เปลี่ยนเส้นทาง”
เนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับ หนิงเทียนจึงยอมรับคำแนะนำจากชิวอีเซี่ยน
แม้ว่าในแง่ของระยะทาง การไปยังซากปรักหักพังนั้นไกลกว่าการไปเจดีย์โบราณ แต่เส้นทางนี้หลีกเลี่ยงูเาอันตรายได้มากมาย
ในเวลาพลบค่ำ หนิงเทียนและชิวอีเซี่ยนกำลังหอบหายใจ ในที่สุดก็เห็นซากปรักหักพังที่ตั้งอยู่กลางอ้อมแขนของหุบเขา
มองจากระยะไกลดูเหมือนเป็ซากปรักหักพัง แต่เมื่อเข้าไปใกล้จะเห็นว่ายังมีซากสถาปัตยกรรมอยู่บ้าง
“เร็วเข้า เริ่มมืดแล้ว”
ชิวอีเซี่ยนมองไปรอบด้านอย่างไม่สบายใจ เขาเห็นหมอกดำลอยมาจากทุกทิศทางด้วยความเร็วที่น่าใ
“ข้างหน้ามีคนอยู่”
หมื่นสรรพสิ่งในใจช่วยให้หนิงเทียนมองเห็นผ่านฟ้าดินได้ เพียงมองแวบเดียว เขาก็สามารถเข้าใจการเคลื่อนไหวรอบๆ ซากปรักหักพังได้
บริเวณหน้าวังที่พังทลายแห่งหนึ่ง มีกำแพงหินที่มีแผนที่ที่วาดไว้บนนั้น ซึ่งเป็แบบเดียวกับแผนที่ด้านหลังของรูปปั้นหินลิงั์ในปราสาทก่อนหน้านี้
กำแพงหินส่องแสงระยิบระยับ เมื่อราตรีมาเยือน แสงก็เริ่มเข้มขึ้น
บริเวณหน้าวังมีเงาร่างกระจัดกระจายอย่างเป็ระเบียบจำนวนมากกว่าสิบคน พวกเขากำลังดูแผนที่บนกำแพงหินที่อาบไปด้วยแสงสว่างที่ช่วยปกป้องจากความมืดมิด
“มีคนมาอีกแล้ว”
เสียงทุ้มลึกเผยให้เห็นความไม่พอใจเล็กน้อย ราวกับเขาคิดว่าที่นี่มีคนมากเกินไป
หนิงเทียนและชิวอีเซี่ยนเข้าไปในซากปรักหักพัง โดยมีความมืดมิดปรากฏอยู่เื้ั และกำลังเข้าครอบคลุมสถานที่แห่งนี้
แสงและความมืดมากันกลางอากาศ เกิดเสียงแตกร้าวเช่นเดียวกับการปะทะระหว่างน้ำกับไฟ พร้อมกับโล่แสงชนิดหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชิวอีเซี่ยนพุ่งนำเข้ามาก่อน และเห็นผู้บำเพ็ญจากกลุ่มต่างๆ กระจายอยู่ใต้กำแพงหิน
หนิงเทียนตามหลังอย่างใกล้ชิด ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในโล่แสง เขาก็หันกลับมาและจ้องมองเงาอสูรก็สะท้อนอยู่ในดวงตา
่เวลาต่อมา โล่แสงได้ปิดกั้นจิตสำนึกของหนิงเทียน และหยุดการรุกคืบของความมืด
“หนิงเทียน เป็เ้านั่นเอง!”
เสียงประหลาดใจดังขึ้น เขาคือหยางวั่นอวิ๋นจากสำนักวั่นจื๋อ
“หนิงเทียน?”
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินชื่อนี้ พวกเขาทั้งหมดก็มองหนิงเทียนโดยไม่รู้ตัว บางคนประหลาดใจ บางคนก็อยากรู้อยากเห็น แต่ส่วนใหญ่กลับไม่เป็มิตร
ในหมู่พวกเขา คนที่เป็ศัตรูมากที่สุดคือชิวซานอวิ๋นจากสำนักอินทนิล
“ศิษย์พี่หยาง ข้าคิดถึงท่านมากจริงๆ”
หนิงเทียนมีรอยยิ้มบนใบหน้า ท่าทางราวกับมีความสุขที่ได้พบสหายในต่างแดน ก่อนจะรีบตรงเข้าหาหยางวั่นอวิ๋น
“ยังมีชีวิตก็ดีแล้ว โลกนี้อันตรายยิ่งนัก ต่อจากนี้ก็คอยติดตามข้าไว้ ข้าจะปกป้องเ้าเอง”
หยางวั่นอวิ๋นมองไปรอบๆ และบอกเป็นัยว่าหนิงเทียนควรระวังให้มากกว่านี้ ในเวลาเดียวกันเขายังเตือนคนอื่นๆ ด้วยว่าใครก็ตามที่้ามีปัญหากับหนิงเทียนจะต้องเป็ศัตรูของเขาหยางวั่นอวิ๋น
หนิงเทียนเหลือบมองฝูงชน ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ชิวซานอวิ๋นอยู่ครู่หนึ่ง สายตาซ่อนเจตนาฆ่าของพวกเขาสบกัน
ชิวซานอวิ๋นยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มอันน่ากลัว เขารอคอยที่จะพบกับหนิงเทียนมานานแล้ว และในที่สุดเขาก็มีโอกาส
ก่อนชิวอีเซี่ยนและหนิงเทียนจะมาถึง ที่นี่มีคนอยู่สิบสองคน ในหมู่พวกเขามีจื๋อซิวสองคน ซิงซิวสี่คน และหยวนซิวหกคน
“ศิษย์พี่อู...ฮือฮือ...ในที่สุดข้าก็พบท่าน”
ชิวอีเซี่ยนตื่นเต้นมาก เพราะในบรรดายอดฝีมือจื๋อซิวทั้งสองคน อีกคนคืออูเหรินเจี๋ยจากสำนักกายา ซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงในดินแดนหยวนซิง
“ศิษย์น้องชิวยังสบายดีสินะ”
“ข้าเกือบตายแล้วศิษย์พี่ ท่านต้องปกป้องข้านะ”
ชิวอีเซี่ยนคว้าแขนของอูเหรินเจี๋ยไว้ด้วยหน้าตาน่าสงสาร
---------------------------------------
[1] ปากอีกา (乌鸦嘴) คำอุปมา แปลว่าปากไม่ดี ปากเสีย
[2] นกปากส้อมกับหอยทะเลาะกัน และเป็ชาวประมงที่ได้รับผลประโยชน์ (鹬蚌相争,渔翁得利) หมายความว่าทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันและต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ปล่อยให้บุคคลที่สามฉกฉวยโอกาสคว้าเอาผลประโยชน์ไปแทน
