ไม่ว่าจะคิดหากี่วิธี ก็เหมือนนางไม่อาจหลุดพ้นเงื้อมมือของเขาได้เลยจริงๆ
อีกอย่างตอนนี้มู่หรงอวี้กำลังโกรธ ยิ่งไม่มีพื้นที่เหลือให้นางได้ต่อรอง
ทว่า มู่หรงฉือไม่อยากจะััร่างกายหรือตกอยู่ในสภาพคลุมเครืออะไรกับเขาอีกแล้ว
“ท่านอ๋องยังไม่ได้บอกเลยว่าเข้าไปที่หลิงหลงเซวียนได้อย่างไร?”
นางแกะมือเขาออก โชคดีที่คำถามนี้ดึงความสนใจของเขาได้สำเร็จ เขาจึงยอมปล่อยมือ
หรงจ้านใช้เวลาไปตั้งมากมายถึงจะสืบหาความลับของหลิงหลงเซวียนได้ ใช้ความพยายามตั้งมากมายกว่าจะได้ความเชื่อใจจากผู้จัดการร้าน จนยอมให้พวกเขาเข้าไป ยังมีหยกสลักที่เป็สัญลักษณ์พิเศษนั่น หยกนั่นคงจะเป็การยืนยันตัวตนที่หลิงหลงเซวียนมีไว้ให้ลูกค้าประจำ หรงจ้านไปได้มาจากไหน?
เช่นนั้น มู่หรงอวี้ได้ความเชื่อใจจากผู้จัดการร้านมาได้อย่างไร?
“คนของเ้าตรวจสอบเจอห้องใต้ดินของหลิงหลงเซวียน เปิ่นหวางจะตรวจสอบไม่พบหรือ?” มู่หรงอวี้หัวเราะเสียงเย็น
“เช่นนั้นท่านอ๋องยังตรวจสอบพบอะไรอีกหรือไม่?” นางถามอย่างพินิจพิเคราะห์
“หลิงหลงเซวียนลึกลับยิ่งนัก เปิ่นหวางชักสนใจหลิงหลงเซวียนมากขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว” ลึกๆ ในแววดวงตาของเขาเย็นะเื
“เดิมทีเปิ่นกงจะออกจากหลิงหลงเซวียนแล้ว แต่พวกบ่าวรับใช้ชุดเขียวเหมือนจะมองอะไรออก ไม่ยอมให้เปิ่นกงออกไป ต่อมาเ้าของที่เป็คนอยู่เื้ั้าจะเจอกับเปิ่นกง...”
“คนที่อยู่เื้ัเป็คนอย่างไร?”
มู่หรงฉือบรรยายออกมาอย่างง่ายๆ “คนผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบปี เป็คนลึกลับมาก ทั้งยังทดสอบเปิ่นกงอย่างคาดไม่ถึง โชคดีที่เปิ่นกงฉลาดถึงรอดมาได้”
มู่หรงอวี้หัวเราะเสียงเย็น “แม้ว่าจะเป็เช่นนั้น เ้าของที่อยู่เื้ัก็ยังสงสัย แล้วส่งคนมาสังหารพวกเ้าทีหลัง”
น้ำเสียงของนางแ่เบาแต่ก็ซื่อสัตย์มาก “เปิ่นกงกลับรู้สึกว่า คนที่อยู่เื้ัผู้นั้นไม่ได้มีความคิดที่จะสังหารเปิ่นกง”
“เ้าพูดว่าอย่างไรนะ?”
“หากมีใจสังหารเปิ่นกงจริงๆ จะต้องส่งยอดฝีมือมาแล้ว แต่คนชุดดำพวกนั้นฝีมือธรรมดาเท่านั้น”
“หากเปิ่นหวางมาไม่ทันเวลา เกรงว่าหัวของเตี้ยนเซี่ยคงจะถูกส่งไปเบื้องหน้าคนที่อยู่เื้ัคนนั้นแล้ว”
นางถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห ไม่อยากจะเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเขาอีก
ตอนนั้นนางััได้ถึงความเคลื่อนไหวในบ้านหลังนั้น จึงเดาได้ว่าคงเป็เขาที่ตามออกมา นางจึงไม่ได้เปิดเผยความสามารถในการต่อสู้ของตัวเองออกไป
คิ้วเรียวของมู่หรงอวี้ขมวดเข้าหากันน้อยๆ พูดอย่างครุ่นคิด “หลิงหลงเซวียนทำกิจการบ่อนพนันกับหอนางโลมใต้ดิน มีเป้าหมายอะไรกันแน่?”
มู่หรงฉือครุ่นคิดร้อยพันเหตุผลก็ไม่เข้าใจ นายท่านหลี่ที่เพิ่งจะถูกสังหารไปก่อนหน้านี้ก็เคยไปที่หลิงหลงเซวียน เช่นนั้นหลิงหลงเซวียนแอบขายฝิ่นหรือไม่? แต่นางเห็นเองกับตาว่านอกจากบ่อนพนันกับสถานเริงรมณ์แล้ว กลับไม่มีร่องรอยของฝิ่นเลยสักนิดเดียว
อีกอย่าง ว่านฟางกับหวังเทาที่เป็คนของกองทัพตรวจสอบอาวุธเองก็เคยไปที่หลิงหลงเซวียน หรือแค่ไปเล่นพนันกับเสพสุข?
ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวายใจ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่พร้อมให้นางค้นพบ แต่นางกลับช้าไปหนึ่งก้าว
“เตี้ยนเซี่ยได้เดินรอบๆ หลิงหลงเซวียนรอบหนึ่งพบอะไรหรือไม่? แล้วเหตุใดถึงต้องไปที่หลิงหลงเซวียน?” เขาถามเสียงเย็น
“เ้าพนักงานของศาลต้าหลี่ไปจับตามองที่ตรอกชิงหยาง จับคนขายกับคนที่ซื้อฝิ่นมาได้” นางตอบอย่างรวบรัด “คนที่ขายฝิ่นยอมกัดลิ้นตัวเองตายไม่ยอมเปิดเผยความลับออกมา ดูเหมือนจะเป็ทหารที่ซื่อสัตย์ ต่อมา เปิ่นกงกับเสิ่นจือเหยียนก็ตรวจสอบพบจวนคหบดีสกุลหลี่ที่อยู่ในเมือง แต่ช้าไปก้าวหนึ่ง นายท่านหลี่ถูกสังหารไปเสียแล้ว”
“ตายอย่างไร?”
“คนร้ายโจมตีเข้าที่หน้าอกของเขาหนึ่งทีตอนที่เขาสติล่องลอยเพราะกำลังเสพฝิ่น ต่อมาเปิ่นกงก็สอบสวนบ่าวรับใช้สกุลหลี่ เขาบอกว่านายท่านหลี่เคยไปที่หลิงหลงเซวียน ทั้งยังเดินเล่นอยู่ที่หลิงหลงเซวียนสองชั่วยามเต็มๆ”
“เดินเล่นอยู่ที่หลิงหลงเซวียนสองชั่วยาม นั่นผิดปกติจริงๆ” สีหน้าของมู่หรงอวี้เ็า “เปิ่นหวางรู้สึกว่าความลับของหลิงหลงเซวียนไม่ได้มีเพียงเท่านี้”
“เปิ่นกงก็คิดเช่นนั้น” มู่หรงฉือคิดจนหัวแทบแตก
เงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ นางก็คิดขึ้นมาได้ คนขับรถจะพาพวกเขาไปที่ใด? นางมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ยังดี ยังดี เป็เส้นทางไปยังตำหนักบูรพา
เพิ่งจะหมุนตัวกลับมา นางก็สั่นสะท้านเมื่อพบว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น ในขณะเดียวกัน เหมือนจะมีของอุ่นนุ่มจรดลงที่แก้มของนางอย่างรวดเร็ว ลมหายใจร้อนแรงแผ่ซ่าน ล่อลวงิญญาผู้คน
เอวถูกรัดแน่นด้วยลำแขนแกร่งประหนึ่งถูกคีมเหล็กหนีบเอาไว้
ทั้งตัวของนางเย็นเฉียบจนเรียกได้ว่าแข็งทื่อ ราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง ในขณะเดียวกันก็ถูกหน้าอกอันร้อนรุ่มเผาไหม้ อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นทันที
นางทั้งขัดขืน ผลักไส ต่อต้าน คิดหาวิธีร้อยแปดพันเก้าเพื่อจะหนีออกจากอ้อมกอดที่ทั้งคุ้นเคยและร้อนแรงนี้
ฝ่ามือของมู่หรงอวี้ทาบลงบนแก้มของนาง นิ้วโป้งค่อยๆ ลูบไล้พวงแก้มนุ่ม ผิวขาวหิมะของนางขึ้นสีชมพูระเรื่อ ทำให้น่าหลงใหลขึ้นไปอีก
ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ ไม่เหลือพื้นที่ให้นางได้ต่อต้านแม้แต่นิด
ทว่าดวงตาของเขากลับแผ่ไอเย็นเยียบ “ครั้งหน้าไม่อนุญาตให้เ้าหาเื่ใส่ตัว ไม่เช่นนั้น เปิ่นหวางจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่”
ต้องให้เ้ามายุ่ง? ต้องให้เ้ามาอนุญาติหรือ?
ในใจของนางเต็มไปด้วยโทสะ แต่สิ่งที่พูดออกมาจากปากกลับเป็ “เปิ่นกงเข้าใจแล้ว ปล่อยได้หรือยัง”
รถม้าค่อยๆ หยุดลง เขากดจูบลงมาทันทีอย่างไม่รอช้า แต่นางกลับหลบได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ก่อนจะตาลีตาเหลือกหนีลงจากรถอย่างหวาดหวั่น แล้ววิ่งจากไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับ
เขามองนางค่อยๆ เลือนหายไปในความมืด ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าในรอยยิ้มนั้นมีความอ่อนโยนแผ่ออกมา
...
่สายของวันต่อมา มู่หรงฉือกับฉินรั่วรีบไปที่ศาลต้าหลี่
เมื่อวานเสิ่นจือเหยียนไปที่จวนสกุลจวงกับสกุลกาน สอบถามบ่าวรับใช้ไม่กี่คนก็ได้ข้อสรุป : จวงฉินได้ไปที่หลิงหลงเซวียนหรือไม่ คนในครอบครัวกับบ่าวรับใช้ต่างไม่รู้ ส่วนคนใช้ผู้ซื่อสัตย์ของกานไท่จู่บอกว่า เคยมีครั้งหนึ่งได้ยินนายท่านพูดถึงหลิงหลงเซวียน แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเ้านายเคยไปหรือไม่
นางขมวดคิ้ว “ไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าจวงฉินกับกานไท่จู่เคยไปที่หลิงหลงเซวียนหรือไม่ บางทีพวกเขาอาจจะเคยไปมา แต่คงเดินทางไปอย่างลับๆ ไม่ให้คนในครอบครัวกับบ่าวรับใช้รู้”
“ตอนนี้ที่สามารถยืนยันได้ก็คือนายท่านหลี่เคยไปที่หลิงหลงเซวียน ที่นั่นลอบขายฝิ่นหรือ?” เขาลูบคางอย่างครุ่นคิด
“เตี้ยนเซี่ย...” ฉินรั่วเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูด เหมือนอยากจะเตือนเตี้ยนเซี่ยให้พูดเื่หลิงหลงเซวียนเมื่อคืน
เมื่อคืน มู่หรงฉือกับหรงจ้านเข้าไปในหลิงหลงเซวียน แต่กลับออกมาทางตรอกเล็ก ต่อมาพอหรงจ้านแยกตัวออกมาก็ไปหาฉินรั่วที่ถนน บอกฉินรั่วว่าเ้าสำนักกลับไปแล้ว ดังนั้นฉินรั่วจึงได้ขับรถม้ากลับตำหนักบูรพา
มู่หรงฉือเล่าเื่เมื่อวานให้ฟัง เสิ่นจือเหยียนใมาก ก่อนจะพูดออกมาด้วยความโกรธ “เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงได้ทำเื่ไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้? หากเกิดเื่อะไรขึ้นมาย่อมไม่เป็การดี”
นางยิ้มน้อยๆ “เปิ่นกงก็ออกมาได้อย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือ?”
เขาพูดอย่างแฝงความนัยลึกซึ้ง “หลิงหลงเซวียนลึกลับถึงเพียงนี้ อำนาจเื้ัภายในนั้นจะต้องไม่ธรรมดา เตี้ยนเซี่ย ครั้งหน้าอย่าทำเื่ไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้อีก”
“ตรวจสอบได้ถึงตรงนี้ก็เหมือนจะเดินมาเจอทางตันอีกแล้ว ที่ยงสามารถตรวจสอบได้ก็มีแค่หลิงหลงเซวียนเท่านั้น”
“ใช่แล้ว เมื่อคืนเตี้ยนเซี่ยอยู่ที่หลิงหลงเซวียนเห็นขุนนางคนไหนบ้างหรือ? ว่านฟางกับหวังเทาที่เป็คนของกองทัพตรวจสอบอาวุธอยู่ด้วยหรือไม่?”
“ไม่เห็นสองคนนั้น ดูเหมือนเปิ่นกงจะประเมินว่านฟางกับหวังเทาต่ำเกินไป ไม่อาจดูแคลนเล่ห์เหลี่ยมกับสมองของพวกเขาได้เลย” นางกล่าวด้วยสายตาเ็า
เสิ่นจือเหยียนมีความคิดที่จะบุกไปตรวจสอบหลิงหลงเซวียน แต่ก็กังวลว่าเตี้ยนเซี่ยจะตามไปด้วย จึงไม่ได้เอ่ยปากออกไป
ฉินรั่วพอจะเดาความคิดของเขาได้พอสมควรจึงเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าเสิ่นเองก็อยากจะไปดูที่หลิงหลงเซวียนหรือ?
เขาหันมาจ้องตานางก่อนจะพูดว่า “เื่นี้ค่อยว่ากันทีหลัง”
นางเข้าใจความหมายของเขา จึงเพียงคลี่ยิ้มไม่พูดอะไรอีก
มู่หรงฉือทำเป็มองไม่เห็น ความจริงแล้วนางเองก็ไม่อยากให้เขาไปที่หลิงหลงเซวียน ถึงอย่างไรฝีมือของเขาก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้ นอกจากนี้ที่นั่นก็อันตราย
ทั้งสามคนคุยกันเรื่อยเปื่อยอีกเล็กน้อย ก่อนจะบอกลา
มู่หรงฉือกับฉินรั่วมาถึงสวนสาธารณะซู่อวี้เซวียน หรงจ้านรออยู่นานแล้ว
“เมื่อคืนอวี้หวางจำข้าไม่ได้ใช่หรือไม่ขอรับ” เขายิ้มพลางเทน้ำชาก่อนจะดันถ้วยชามาให้นาง
“คงจะมองไม่ออก” มู่หรงฉือหลุบตาดื่มชา ครั้นคิดถึงคนที่อยู่บนรถม้าด้วยกันเมื่อคืนตอนเขาเข้ามาใกล้แล้วกอดนาง จู่ๆ ร่างกายก็สั่นน้อยๆ ราวถูกสะเก็ดไฟ
“คุณชายหรง เ้าไปได้หยกเม็ดนั้นมาได้อย่างไรหรือ?” ฉินรั่วมองออกว่าเตี้ยนเซี่ยกำลังกระอักกระอ่วน ถึงแม้ในใจจะสงสัยแต่ก็ยังเปลี่ยนเื่ออกไปได้อย่างเหมาะเจาะ
“ในเมื่อข้าสามารถเข้าไปอยู่ในบ้านสกุลหยางได้ ย่อมมีความสามารถที่คนอื่นไม่มี” หรงจ้านยิ้มซุกซนเป็อิสระ
“อย่าถ่วงเวลาเลย รีบพูดมาเร็วเข้า” ฉินรั่วกล่าวอย่างเอาแต่ใจ
“สำนักหนึ่งในใต้หล้าของพวกเรามีคนเก่งกาจมากมาย มีคนผู้หนึ่งเป็สหายสนิทในวงสุราของบุตรอนุสกุลหยาง บุตรอนุสกุลหยางผู้นั้นดื่มสุราไปหลายจอก ก่อนจะพูดถึงหลิงหลงเซวีย ถึงแม้จะเป็คำพูดไม่กี่คำ แต่ก็เพียงพอให้ข้าหาผลลัพธ์มาได้” เขาหันไปทางฉินรั่วแล้วขยิบตาอย่างมีเลศนัย
“ต่อมาเ้าก็ตรวจสอบเบื้องลึกเื้ัของหลิงหลงเซวียนได้อย่างราบรื่น เริ่มจากขโมยหยกเม็ดนั้นจากสกุลหยาง ทั้งยังโกหกว่าเป็คนในตระกูลหยางที่เดินทางมาไกลจากเวยโจว” มู่หรงฉือหัวเราะ
“ไม่ว่าเื่อะไรก็ไม่สามารถปิดบังเ้าสำนักได้เลยจริงๆ” หรงจ้านพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเ้าสำนัก ข้ารู้สึกว่าความลับของหลิงหลงเซวียนไม่ได้มีเพียงเท่านี้”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย “หากมีโอกาสค่อยไปอีกครั้ง”
…
วันนี้ไม่มีเื่อะไร พวกนางจึงนั่งเล่นอยู่ที่ซู่อวี้เซวียนอย่างสบายอารมณ์จนพระอาทิตย์ตกดิน ครั้นอากาศร้อนเบาบางลงบ้างแล้วถึงกลับตำหนักบูรพา
รถม้าแล่นผ่านตลาดอันครึกครื้น แต่ว่าจู่ๆ ก็หยุดลง
ฉินรั่วขมวดคิ้ว เปิดผ้าม่านไปถามคนขับรถ “เกิดอะไรขึ้น?”
กลับเห็นบุรุษชุดดำใบหน้าไร้อารมณ์ แต่งตัวปกติทั่วไปคนหนึ่งมายืนหยุดอยู่หน้ารถม้า นางพูดกับเตี้ยนเซี่ย “ด้านหน้ามีบุรุษอยู่คนหนึ่งเพคะ”
มู่หรงฉือรู้สึกแปลกๆ จึงเอ่ยว่า “ลองไปสอบถามดู”
บุรุษชุดดำเดินมาด้านข้างรถม้า แล้วพูดขึ้นว่า “คุณชาย เ้านายของข้าขอเชิญท่านเข้าพบ”
ฉินรั่วเอ่ยปากถาม “เ้านายของเ้าเป็ใคร? เหตุใดถึงได้อยากเจอเ้านายของข้า?”
“คุณชายไปแล้วก็จะรู้เองขอรับ”
“เ้านายของเ้าอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ที่หอเต๋อเยว่ด้านหน้านี้”
ถึงอย่างไรกลับไปก็ไม่ได้มีเื่อะไร มู่หรงฉือจึงลงจากรถแล้วตามบุรุษชุดดำไปที่หอเต๋อเยว่
หากนางรู้ว่าคนที่รอนางอยู่บนชั้นสามของหอคือมู่หรงอวี้ ถึงจะต้องต่อยคนชุดดำสักหมัดกลางถนนนางก็จะไม่มีทางมาที่นี่
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป นางก็เห็นมู่หรงอวี้นั่งอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ นางพลันมีความคิดที่จะหมุนตัวออกไปทันที เพียงแต่หากนางหนีก็คงจะดูไม่ค่อยผ่าเผยเท่าไหร่ นางเป็ถึงองค์รัชทายาท เหตุใดจะต้องทำเื่เช่นนั้นด้วย?
ดังนั้นนางจึงเดินเข้ามาในห้องอย่างสง่า ราวกับกำลังเดินขึ้นไปบนแท่นพิพากษา รอให้นางตัดสินโทษปะาคนผู้นี้เสีย
บุรุษชุดดำคนนั้นไม่ให้ฉินรั่วเข้าไปแล้วปิดประตูลงอย่างมิดชิด
“เปิ่นหวางยังคิดว่าเตี้ยนเซี่ยจะหนีไปเสียอีก”
มู่หรงอวี้ตั้งใจรินชา น้ำชาที่เพิ่งต้มเสร็จมีไอร้อนลอยกรุ่น ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาพร่าเลือนอยู่บ้าง
มู่หรงฉือฉีกยิ้มเสแสร้ง “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ท่านอ๋องเชิญมาพบทั้งที จะต้องมีธุระแน่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้