เมืองเสียเยว่ก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยปีก่อน มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า เป็เมืองหลักในเขตตะวันออกของแคว้นชิงหยุน ซึ่งมีอิทธิพลต่อเขตตะวันออกเป็อย่างมาก
บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองเสียเยว่ในตอนนี้ พวกของเสิ่นเสวียนกำลังควบม้าวิ่งตรงไปยังเมืองเสียเยว่อย่างรวดเร็ว
ไปถึงสถาบันิญญาเร็วขึ้นหนึ่งวัน นับว่าบรรลุเป้าหมายเร็วขึ้นหนึ่งวัน
ระหว่างทาง เริ่นเสี้ยวเทียนคุ้นเคยและสนิทสนมกับพวกของเสิ่นเสวียนแล้ว รวมเข้ากับความช่างพูดของเขาและมีอายุมากที่สุด ทำให้เขากลายเป็สหายสนิทของพวกเสิ่นเสวียนอย่างสมบูรณ์
“เมืองเสียเยว่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ชื่อเมืองเสียเยว่ แต่ชื่อว่าเมืองเสวี้ยเยว่ หลังจากที่แคว้นชิงหยุนก่อตั้งขึ้นก็คิดว่าชื่อเสวี้ยเยว่ไม่ไพเราะ จึงเปลี่ยนเป็เสียเยว่”
เริ่นเสี้ยวเทียนกล่าวกับทั้งสามคนด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่อยู่ห่างจากเมืองเสียเยว่ไปอีกห้าลี้ พวกเขาค่อยๆ ลดความเร็วลง สิ่งที่เสิ่นเสวียนได้เรียนรู้มาตลอดทางนั่นคือเริ่นเสี้ยวเทียนผู้นี้มีความรู้รอบตัวมากมาย หลายอย่างที่เขาบอกเล่าออกมาไม่มีในความทรงจำของร่างนี้เลย มีเริ่นเสี้ยวเทียนอยู่ด้วย เขาสามารถทำความเข้าใจที่นี่ได้ดียิ่งขึ้น
“ทำไมเมืองนี้ถึงแยกออกจากดวงจันทร์ไม่ได้หรือ”
เสิ่นเสวียนถามเริ่นเสี้ยวเทียน
“ถามได้ดี แค่ดูก็รู้แล้วว่าพวกเ้าไม่เคยได้ออกมาท่องโลกภายนอกมาก่อน เมืองนี้มีเื่เล่าอยู่หนึ่งเื่”
เริ่นเสี้ยวเทียนขี่ม้าพลางมองเมืองเสียเยว่ที่อยู่ไกลๆ เขาครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วจึงกล่าวออกมา
“ความจริงแล้วมันเป็เื่เล่าที่ค่อนข้างเศร้า คล้ายกับที่พวกเ้าได้เจอในหมู่บ้านชิงซานก่อนหน้านี้ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้มีพลังเหมือนอย่างพวกเ้า จึงกลายเป็เื่เศร้าไป”
หนึ่งพันกว่าปีก่อน เมืองเสียเยว่เป็เพียงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ห่างไกลจากความรุ่งเรืองในตอนนี้มาก ที่นอกเมืองมีหมู่บ้านเล็กๆ บนูเาที่ไม่เป็ที่รู้จักอยู่แห่งหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่ามันมีชื่อว่าอะไร จุดเริ่มต้นมาจากสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เติบโตด้วยกันมาั้แ่เด็กในหมู่บ้านบนูเาแห่งนั้น
อยู่มาวันหนึ่ง มีแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งเดินทางมายังหมู่บ้านบนูเาแห่งนั้น ซึ่งหัวหน้ากลุ่มคือลูกชายของประมุขเมือง พวกเขามาที่นี่เพื่อล่าสัตว์แต่กลับได้เห็นผู้เป็ภรรยาเข้า ลูกชายประมุขเมืองผู้นั้นเป็บุรุษใจโหด บีบบังคับแม่นางผู้นั้นไปด้วยกำลัง สามีของนางเข้าไปช่วยแต่กลับโดนลูกชายประมุขเมืองโจมตีจนเกือบตายและโยนทิ้งไว้บนูเา
แล้วภรรยาของเขาจึงโดนพาตัวไป โดนขังอยู่ภายในจวนประมุขเมืองเหมือนตายทั้งเป็ สามีของนางประคองร่างบอบช้ำมุ่งหน้าไปยังจวนประมุขเมืองเพื่อเรียกร้องความเป็ธรรม ทว่าสิ่งที่ได้มากลับกลายเป็การทุบตีอย่างโเี้ทารุณ และคนที่สั่งการก็คือประมุขเมือง
แต่สามีหาได้ยอมแพ้ไม่ เขาเข้าไปเรียกร้องความเป็ธรรมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ส่วนภรรยาของเขาเลือกสังหารตนเองเพราะทนความอัปยศอดสูภายในจวนประมุขเมืองไม่ได้
ลูกชายประมุขเมืองหมดสนุกแล้วจึงนำร่างไร้ิญญาของภรรยาโยนออกไปให้สามีของนาง และสั่งให้ขับไล่เขาออกไป
เพื่อไม่ให้เื่ชั่วร้ายนี้แพร่งพรายออกไป หลังจากสามีฝังร่างของภรรยาเรียบร้อยแล้ว ลูกชายประมุขเมืองจึงส่งคนไปทำร้ายผู้เป็สามี ทว่าโอกาสและโชคทำให้เขารอดชีวิตมาได้ ทั้งยังได้รับสืบทอดวิชาจากผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่ถ้ำบนูเาแห่งหนึ่งด้วย
คืนนั้นดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า สายลมหนาวบาดลึก
เขาถือหอกยาวสีเงินกระจ่างไว้ด้วยมือข้างหนึ่งเข้ามายังจวนประมุขเมือง ไม่ว่าเจอใครเขาสังหารไม่มีเหลือ ก่อให้เกิดการเข่นฆ่าอย่างดุเดือด
ในคืนนั้นเืไหลนองเป็สายน้ำ คนในจวนประมุขเมืองทั้งหมดสี่ร้อยสามสิบเจ็ดคนต้องตายด้วยหอกเงินเล่มนั้น
และในคืนนั้น จันทราโลหิตปรากฏขึ้น สายลมเยียบเย็นพัดผ่าน
ต่อมาเื่เล่าเื่นี้ก็อัศจรรย์ขึ้นเรื่อยๆ บางคนบอกว่าผู้เป็สามีนั้นตายไปนานแล้ว มีคนไม่พอใจก็เลยมาแก้แค้นให้เขาเท่านั้น บางคนบอกว่าผู้เป็สามีฝึกฝนจนกลายเป็เทพ ออกจากที่นี่ไปแล้ว
เพราะคืนนั้นเสียงร้องไห้ระงมไปทุกที่ กลิ่นคาวเืคละคลุ้งไปทั่วทั้งเมือง จันทราโลหิตปรากฏขึ้น จึงได้ชื่อว่าเมืองเสวี้ยเยว่
“ก็สมควรแล้ว”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยขี่ม้าอยู่ข้างๆ นางฟังเริ่นเสี้ยวเทียนเล่าจบแล้วจึงกล่าวออกมา ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะพวกนางเหนือกว่า คงโดนพวกของเหลยก่วนจัดการไปแล้ว
“เฮ้อ! เื่แบบนี้เกิดขึ้นอยู่ทุกแห่งหน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถแก้แค้นได้เหมือนกับคนผู้นั้น”
เสิ่นเสวียนถอนหายใจออกมาก่อนจะส่ายหัว ในโลกที่ผู้อ่อนแอเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ กฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นทั้งหลายก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนที่ตั้งกฎเ่าั้อยู่แล้ว
“แม้พวกเ้าจะทำให้คุณชายใหญ่ตระกูลเหลยหนีไปได้ แต่อย่าได้วางใจเด็ดขาด อำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองเสียเยว่ก็คือตระกูลเหลย ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินมาว่าเหลยป้าเทียนผู้นำตระกูลเหลยมีพลังยุทธ์ถึงขั้นราชันแล้วด้วย เป็บุคคลยิ่งใหญ่มากในสามแคว้นเขตตะวันออก”
เริ่นเสี้ยวเทียนกล่าวเตือนทั้งสามคน
“ครั้งนี้พวกเราโดยสารเรือเสวียนอู่ออกไปอย่างเงียบๆ ก็แล้วกัน”
“รู้แล้ว นี่ไม่เหมือนนิสัยของเ้าเลย”
เสิ่นเสวียนตอบกลับเริ่นเสี้ยวเทียนอย่างมีความหมายแฝง คนอื่นไม่รู้ แต่เขาหรือจะไม่รู้
ประตูเมืองเสียเยว่ในตอนนี้มีทหารหกนายเฝ้าอยู่ ทหารแต่ละนายมีพลังยุทธ์ขั้นนักรบ กองกำลังเช่นนี้เหนือกว่าเมืองอวี่ฮว่าอยู่มาก
ตอนนี้เป็่เวลาเที่ยงวัน ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด พวกของเสิ่นเสวียนขี่ม้าผ่านประตูเมืองเข้าไปแล้ว ถนนหนทางถูกจัดวางเป็แบบแผนและสร้างอย่างประณีต บนถนนทุกสายเต็มไปด้วยผู้คน และที่สำคัญที่สุดคือที่นี่มีผู้ฝึกตนอยู่มากมาย และผู้ฝึกตนบางส่วนยังนั่งอยู่บนพาหนะพิเศษของตนเองอีกด้วย
ม้าเทียนอั้นที่เลี้ยงไว้จะมีปีกคู่หนึ่งบนหลัง สง่างามกว่าม้าของพวกเสิ่นเสวียนอยู่มาก
ยังมีศาสตราวิเศษและพรมวิเศษ รวมไปถึงพาหนะหลากสีสัน สิ่งของละลานตาจนยากที่จะควบคุมจิตใจได้ พาหนะเช่นนี้ในเมืองอวี่ฮว่าก็มีเช่นกัน แต่ผู้ที่มีพาหนะเช่นนี้มีจำนวนน้อยมาก แถมส่วนใหญ่มักจะซ่อนเอาไว้ จึงไม่ค่อยได้เห็นพาหนะเช่นนี้มากนัก
เสิ่นเสวียนมองสัตว์พาหนะเ่าั้ พลางนึกย้อนไปถึงของรักของตนเมื่อนานมาแล้ว
สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรเชี่ยวชาญที่สุดคือการควบคุมกระบี่ แต่การควบคุมกระบี่ที่แท้จริงอย่างน้อยต้องบำเพ็ญเพียรถึงขั้นหยวนก่อกำเนิดเสียก่อน เปรียบเสมือนการไขว่คว้าดวงจันทร์บนท้องฟ้าหรือไล่ล่าหาเต่าในห้ามหาสมุทร โลกกว้างใหญ่มากเกินไปสำหรับพวกเขา
แต่ก่อนเสิ่นเสวียนเลี้ยงัไว้เก้าตัว ตอนออกไปท่องโลกเขาใช้ัเก้าตัวลากรถคันหนึ่งอย่างสง่างาม ต่อมาเขาเอาสมบัติชิ้นหนึ่งไปแลกเปลี่ยนพาหนะใหม่มา
พาหนะชิ้นนี้มีลักษณะที่พิเศษมาก มันคือโลงศพสีเื ภายในมีโลกใบหนึ่งบรรจุไว้ และยังสามารถเดินทางทะลุมิติได้อีกด้วย หากก่อนหน้านี้ไม่โดนจักรพรรดิเซียนจากอาณาจักรเซียนผนึกพลังของโลงศพเอาไว้ เขาคงทะลวงผ่านมิติไปยังโลกอื่นแล้ว
“ของรักของข้า ไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจะหาเ้าพบ”
เสิ่นเสวียนนึกย้อนกลับไป รู้สึกเศร้าอย่างอดไม่ได้
“ของรักอะไรหรือ”
เริ่นเสี้ยวเทียนกล่าวถามเสิ่นเสวียน
“ไม่มีอะไรหรอก พวกเรามุ่งหน้าไปยังเรือเสวียนอู่กันเลยเถอะ”
เสิ่นเสวียนดึงสติกลับมา กล่าวกับเริ่นเสี้ยวเทียน
“รีบอะไรกัน เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปหาข้าวกินกันก่อนเถอะ”
เริ่นเสี้ยวเทียนกล่าวกลั้วหัวเราะ
เสิ่นเสวียนเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาสามารถอดอาหารได้แต่คนอื่นทำไม่ได้ ยังจำเป็ต้องกินอาหารเพื่อรักษาปัจจัยพื้นฐานของร่างกายเอาไว้
จากนั้นพวกเขาจึงไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อกินอาหาร
ณ ตระกูลเหลย เหลยป้าเทียนกำลังรักษาลูกชายของเขาอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่ว่าจะรักษาอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย
“รายงานนายท่าน มีคนเข้าเมืองมาสี่คน หนึ่งในนั้นคล้ายกับภาพวาดมาก”
ขณะนั้นมีคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอก พร้อมกับถือภาพวาดมาด้วย
และคนในภาพวาดนั้นก็คือเสิ่นเสวียน