ฝ่ามือสีทองห่อหุ้มไปด้วยกระแสลมที่รุนแรง ขณะที่พุ่งไปหาหลินเฟิง ฝูงชนรอบๆ หรี่ตาลงคล้ายกับว่าได้เห็นฉากที่หลินเฟิงถูกฝ่ามือกระแทกที่หน้าอกจนกระเด็นออกไป แม้แต่น่าหลันเฟิงยังต้านทานไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับหลินเฟิง?
“ไสหัวไป” หลินเฟิงตวาดออกมาเสียงดัง ก่อนจะชักดาบออกมาปะทะกับฝ่ามือตรงหน้า จนเกิดเสียงเหมือนโลหะกระทบกันดังขึ้น
จิติญญากายาทองคำไร้พ่าย นอกจากจะทำให้ชิวหยวนฮ่าวมีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมอบพลังป้องกันที่สมบูรณ์แบบให้กับเขาอีกด้วย ไม่ว่าจะหอกหรือดาบก็ไม่อาจแทงเข้าได้ ดังนั้นดาบของหลินเฟิงก็ไม่สามารถทำร้ายเข้าได้เช่นกัน
ด้วยความแข็งแกร่งทั้งสองด้านนี้ ทำให้ชิวหยวนฮ่าวเย่อหยิ่ง จองหอง และไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
“น่าขำ สุนัขอย่างเ้ากระทั่งคุณสมบัติที่จะทำร้ายข้าก็ยังไม่มีเลย” ชิวหยวนฮ่าวพูดจาเหยียดหยาม ก่อนที่แสงสีทองจะะเิออกมาอีกครั้ง หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่สะท้อนกลับมายังตัวดาบ ด้วยแรงสั่นะเืนั่นทำให้ดาบของเขาแทบจะหลุดออกจากมือ
“จริงหรือ?” หลินเฟิงตอบกลับเสียงเรียบ
ดาบ ถ้าไร้ซึ่งความเร็วและความแข็งแกร่งก็ไม่อาจทำลายสิ่งใดได้
นักดาบ หากเปี่ยมไปด้วยพลังและความกล้า ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถต้านทานคมดาบได้
ถึงแม้ว่าจิติญญาประเภทอาวุธจะมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ดาบก็เป็หนึ่งในจิติญญาประเภทอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด
หลินเฟิงอาจจะไม่มีจิติญญาแห่งดาบ แต่ความเชี่ยวชาญในเชิงดาบก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่านักดาบเลย
“ดาบและพลัง” หลินเฟิงกระซิบสองคำนี้ในใจเบาๆ ทันใดนั้นดาบในมือก็กะพริบขึ้นมา ก่อนที่แสงสว่างจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตรงปลายดาบดูดกลืนลมปราณที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็เกิดเสียงดังกึกกึกไม่หยุด
“แกร๊ก...”
ดาบของหลินเฟิงปะทะกับจิติญญาของชิวหยวนฮ่าวอีกครั้ง เสียงฉีกขาดก็ดังขึ้นมา ส่งผลให้ชิวหยวนฮ่าวเปลี่ยนสีหน้าทันที เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดีแล้วก็รีบถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อหลบการโจมตีของดาบ
หลินเฟิงเห็นชิวหยวนฮ่าวถอยกลับไปที่เดิม ก็ตั้งท่าดาบเตรียมพร้อม และกล่าวเยาะเย้ยออกไปว่า “ไหนเ้าบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะทำร้ายเ้าไง แล้วเ้าถอยไปทำไม?”
ชิวหยวนฮ่าวมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาถลึงตาใส่หลินเฟิงแล้วโต้กลับไปว่า “ข้ายอมรับว่าอาจมองเ้าผิดไปบ้าง แต่ต่อหน้าข้า เ้าก็ยังคงเป็สุนัขอยู่ดี ไม่มีทางที่จะต้านทานข้าได้”
“พูดจาไร้สาระ” น้ำเสียงของหลินเฟิงเต็มไปด้วยความดูถูก “ถ้าความเป็อัจฉริยะวัดกันที่ปากล่ะก็ เ้าก็คงเป็ยอดอัจฉริยะ”
“ที่แท้ตั๋วมิ่งก็เก่งขนาดนี้นี่เอง ไม่น่าล่ะ ถึงกล้าเผชิญหน้ากับชิวหยวนฮ่าว” เมื่อทุกคนเห็นหลินเฟิงกดดันจนชิวหยวนฮ่าวถอยหลังกับตาตัวเองแล้ว ดวงตาของพวกเขาก็พราวระยับขึ้นมา พวกเขาคิดว่าตัวเองเข้าใจตั๋วมิ่งมากพอ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะประเมินความแข็งแกร่งของตั๋วมิ่งต่ำไป ตั๋วิสามารถเทียบเคียงได้กับน่าหลันเฟิงและหลินเชียน
น่าหลันเฟิงและหลินเชียนจ้องมองไปยังหลินเฟิงอย่างตั้งใจ ก่อนหน้านี้พวกนางไม่เห็นหลินเฟิงอยู่ในสายตา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกนางทั้งสองคนจะคิดน้อยไป ด้วยความแข็งแกร่งของตั๋วมิ่ง เขามีคุณสมบัติมากพอที่พูดคุยกับพวกนาง
“คนคนนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่เห็นหน้า แต่ดูก็รู้ว่าอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมพร์ก็โดดเด่น ถ้าสามารถชวนเขาเข้าร่วมกับตระกูลน่าหลันได้ จะต้องเป็กำลังที่ดีแน่” น่าหลันเฟิงเกิดความคิดดีๆ แวบขึ้นมาในหัว จากนั้นนางก็เดินไปหาหลินเฟิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ตั๋วมิ่ง ข้ายอมรับว่าข้าประเมินเ้าผิดไป ด้วยความแข็งแกร่งของเ้า เ้าสามารถได้รับการเชิดชูจากตระกูลน่าหลัน และถ้าเ้าทำงานกับตระกูลน่าหลัน หลังจากนี้เราจะได้ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ไง เ้าว่าดีไหม?”
น้ำเสียงของน่าหลันเฟิงก็ยังคงแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและมั่นใจในตัวเอง ด้วยพร์และหน้าตาที่งดงามของนาง นางเชื่อว่าตั๋วมิ่งจะต้องไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน หากนางได้เขามาช่วยงานของตระกูล ส่วนเขาก็มีโอกาสสนิทชิดเชื้อกับนาง ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
“ไสหัวไป”
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ หลินเฟิงไม่เพียงไม่สนใจน่าหลันเฟิงเท่านั้น แต่ยังเหวี่ยงดาบฟันไปทางน่าหลันเฟิงอย่างไร้ความปรานีอีกด้วย
รูม่านตาของน่าหลันเฟิงหดลง นางรีบปลดปล่อยจิติญญาแขนเทวะสีทองออกมา และใช้กำปั้นพระเ้าชกไปยังดาบที่ฟันมาหานาง
แต่อย่างไรก็ตาม กำปั้นพระเ้าก็ไม่อาจหยุดดาบไว้ได้เลย ฉับพลันก็มีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องขึ้นมา พร้อมกับคลื่นดาบอันรุนแรงที่ะเิออกมาทำลายล้างทุกสิ่ง
สีหน้าของน่าหลันเฟิงพลันเปลี่ยนไป ก่อนที่ร่างบอบบางจะพยายามหลบฉากหนีอย่างรวดเร็ว
“คลื่น์เก้ากระแทก” มือขวาของหลินเฟิงกำหมัดแน่นแล้วปล่อยออกไป
อากาศตรงหน้าพลันม้วนตัวขึ้นมาเป็คลื่นอันทรงพลังซ้อนทับกันทีละลูกๆ ราวกับระลอกคลื่นน้ำที่บ้าคลั่ง
เร็ว เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่พริบตาเดียว หมัดอันทรงพลังนั้นก็ชกไปที่ร่างของน่าหลันเฟิง
เสียงกรีดร้องดังลั่น ขณะที่ร่างของนางกระเด็นไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว จนถึงขอบเวทีประลอง อีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็ตกจากเวทีประลองแล้ว
ตอนนี้ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะบรรยายความรู้สึกออกมาอย่างไร เพราะเื่ที่หลินเฟิงทำมันสร้างความใให้กับทุกคนเป็อย่างมาก
ภาพที่หลินเฟิงเอาชนะน่าหลันเฟิงได้อย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว ทำให้พวกเขาประเมินความแข็งแกร่งของหลินเฟิงสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่หลินเฟิงเคลื่อนไหว พวกเขาก็จะค้นพบความสามารถที่น่าเหลือเชื่อของหลินเฟิง และตระหนักได้ว่าประเมินเขาต่ำเกินไปหลายต่อหลายครั้ง
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยคิดว่า ผู้ที่เป็ตัวละครเอกบนเวทีประลองก็คือน่าหลันเฟิงและหลินเชียน จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำออกมา ถ้าไม่มีชิวหยวนฮ่าวกับตั๋วมิ่ง สองคนนั้นก็คงจะเป็ตัวละครเอกอย่างที่พวกเขาคิดไว้
ไม่ใช่แค่ฝูงชนที่คิดอย่างนั้น น่าหลันเฟิงและหลินเชียนก็เช่นกัน โดยเฉพาะน่าหลันเฟิง ก่อนหน้าที่ชิวหยวนฮ่าวจะปรากฏตัวออกมา ในสายตาของนางมีเพียงหลินเชียนเท่านั้น ในตอนที่ทั้งสามคนยืนอยู่บนเวที นางก็ระมัดระวังแค่หลินเชียนโดยไม่สนใจตั๋วมิ่งเลยสักนิด พอย้อนนึกดูในตอนนี้ก็รู้เลยว่า การกระทำก่อนหน้านี้มันเป็เื่ที่ตลกมาก
“ด้วยความแข็งแกร่งของเ้า ยังอยากจะชี้แนะการบ่มเพาะให้ข้าอยู่อีกไหม?” หลินเฟิงปรายตามองไปที่น่าหลันเฟิง ก่อนจะย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ผู้หญิงคนนี้จะเย่อหยิ่งอย่างไรก็ช่าง เพราะมันล้วนไม่เกี่ยวกับเขา แต่สิ่งที่ทำให้หลินเฟิงโกรธที่สุดก็คือการที่น่าหลันเฟิงไม่เคารพผู้อื่น แต่กลับอยากให้คนอื่นเคารพนาง เพราะมีความคิดที่หลงตัวเองเช่นนี้ น่าหลันเฟิงจึงส่งคนมาลอบสังหารเขา งูพิษแบบนี้ หลินเฟิงมีแต่ดูถูก
น่าหลันเฟิงรู้สึกอับอายเป็อย่างมาก เมื่อย้อนนึกถึงคำพูดที่นางเคยกล่าวไว้ แม้แต่ตัวนางเองก็ยังนึกขันเลย
“เข้าร่วมกับตระกูลน่าหลันของเ้า แล้วจะได้ไปมาหาสู่กับเ้า เหอะ… เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใคร? ถึงได้คิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนทั่วไป และเ้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะให้ข้าไปมาหาสู่กับเ้า”
หลินเฟิงยังคงพูดจาดูถูกต่อ เขาอยากให้น่าหลันเฟิงรู้ว่าความอวดดีของนางมันน่าตลกแค่ไหน
ใบหน้าของน่าหลันเฟิงแดงก่ำราวกับไฟ นางอยากจะลบล้างความอัปยศก่อนหน้านี้
ตอนนี้เองคนของคฤหาสน์ท่านเ้าเมืองก็พากันเงยหน้าขึ้นไปมองบนเวที และจ้องมองหลินเฟิงด้วยสายตาโกรธแค้น ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร น่าหลันเฟิง คืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลน่าหลัน ความพ่ายแพ้ของนางคือความอัปยศของพวกเขา
ไม่มีใครตื่นเต้นมากกว่าฝูงชนในเวลานี้ หลินเชียน น่าหลันเฟิง ตั๋วมิ่งและชิวหยวนฮ่าว พวกเขาล้วนเป็อัจฉริยะ
หากไร้ซึ่งพลัง ผู้คนจะดูแคลน แต่ถ้าทรงพลังไร้เทียมทาน ผู้คนจะรู้สึกเืเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้นทันที ซึ่งหลินเฟิงก็ถือว่าเป็อย่างหลัง
หลินเฟิงสงวนท่าทีมาโดยตลอด เขาค่อยๆ เปิดเผยความแข็งแกร่งออกมาทีละน้อย จนตอนนี้ดูราวกับว่าบนเวทีประลองแห่งนี้ไม่มีใครสามารถเป็คู่ต่อสู้ของหลินเฟิงได้ ความบ้าคลั่งของเขาคู่ควรแล้วที่จะเรียกว่าหนุ่มเืร้อน
“ส่วนเ้า ข้าเองก็ไม่มีเจตนาที่จะสู้กับเ้า และไม่คิดที่จะขวางการล้างแค้นของเ้า แต่เ้ากลับไม่เห็นหัวใครเลย มิหนำซ้ำยังดูถูกข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เ้าคิดว่าตัวเองมีดีมากกว่าคนอื่นอย่างนั้นเหรอ?”
หลินเฟิงหันไปมองชิวหยวนฮ่าว ขณะที่กล่าวอย่างเ็าว่า “เ้าบอกว่าน่าหลันเฟิงสามารถโอ้อวดตัวเองได้แค่เมืองเล็กๆ อย่างหยางโจว งั้นตัวเ้าล่ะ เ้าไม่ได้เป็แบบนั้นเหรอ อัจฉริยะ? สุนัข? หึๆ ตอนนี้ข้าจะสอนเ้าเองว่า อัจฉริยะที่แท้จริงมันเป็อย่างไร”
พูดจบ หลินเฟิงก็ก้าวไปด้านหน้า หลังจากที่เขาได้ปลุกจิติญญาให้ตื่นแล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่เขาจะปลดปล่อยมันออกมา
ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปเลยว่า คนที่ยืนอยู่บนเวทีล้วนปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบออกมา ยกเว้นแค่หลินเฟิง!
ภาพตรงหน้าหลินเฟิงกลายเป็ความมืดมิด ในขณะที่รูม่านตากลับเปลี่ยนเป็เ็าและลึกล้ำมากขึ้น คล้ายกับถ้ำลึกที่ยากจะหยั่งถึง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวเหมือนจะเชื่องช้าลง การเคลื่อนไหวของทุกคนหรือแม้แต่สายตาของพวกเขา ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขา ตราบเท่าที่เขา้า เขาก็สามารถรู้ได้ว่าทุกคนกำลังทำอะไรอยู่
หลินเฟิงยังได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง และรู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของโลหิตในร่าง เช่นเดียวกับที่เขารับรู้ทุกการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของชิวหยวนฮ่าว แม้แต่ลมหายใจของทุกคนก็ไม่อาจรอดพ้นประสาทััเขาได้
หลินเฟิงไม่สามารถหาคำพูดใดมาอธิบายสภาวะที่เป็อยู่ในตอนนี้ได้ ราวกับว่าตอนนี้เขาได้กลายเป็พระเ้า และทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็ไม่มีทางหลุดรอดสายตาไปจากเขาได้
ชิวหยวนฮ่าวสามารถมองเห็นดวงตาของหลินเฟิงที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั่นได้ ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย เขาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกเกี่ยวกับสายตาคู่นั้นได้
ทันใดนั้น ชิวหยวนฮ่าวก็เกิดความรู้สึกหนาวเย็นะเืขึ้นมา
นี่เขาเกิดภาพหลอนขึ้นมาเองหรือเปล่า ความจริงแล้ว ไม่มีใครอยู่ด้านหน้าเขาใช่ไหม?
แต่ในความเป็จริง หลินเฟิงก็ยังคงอยู่ตรงหน้าเขา เพียงแต่ว่าชิวหยวนฮ่าวกลับไม่สามารถรับรู้ถึงลมหายใจและฝีเท้าของหลินเฟิงได้เท่านั้นเอง ราวกับว่าเขากำลังหลับตาอยู่ และในเมื่อเป็แบบนั้น เขาจะสามารถมองเห็นได้อย่างไรว่ามีคนอยู่ตรงหน้าเขาและกำลังเดินมาเขาอยู่
“ตึก ตึก ตึก...”
บรรยากาศในตอนนี้เงียบสงบมาก สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่หลินเฟิง ราวกับว่าบนโลกใบนี้เหลือเพียงแค่หลินเฟิงคนเดียวเท่านั้น
จังหวะการเดินของหลินเฟิงไม่เกิดเสียงใดๆ ขึ้น แต่ทุกฝีก้าวที่หลินเฟิงเหยียบลงบนพื้นกลับทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นไหวขึ้นมา
