เมื่อเห็นเฝินเหวินที่มีสีหน้าขาวซีดราวกับหิมะก็ทำให้ฮวาฉือค่อยๆ ปิดเปลือกตาของตนลง ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จากนั้นก็ค่อยๆพยุงเฝินเหวินก้าวลงจากเวทีไป
พ่อบ้านสองและพ่อบ้านสามล้วนหันไปมองทางเซียวซู่ซู่ที่บัดนี้ก็ได้หยุดทำการดีดพิณแล้วสีหน้าของพวกเขาแตกต่างกันออกไปทว่าจุดหนึ่งที่เหมือนกันก็คือพวกเขาต่างก็อยู่ในอาการตกตะลึง
สามวันมานี้พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้ผ่านมันมาได้อย่างไรแม้ว่านางจะมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยและซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ว่าสติของนางก็ยังคงดีอยู่อีกทั้งบนข้อมือทั้งสองข้างที่วางทาบสายพิณก็มีเข็มปักอยู่ด้านละข้าง
พวกเขาเองก็รู้ว่าสิ่งที่พยุงเซียวซู่ซู่ไว้ในตอนนี้หนึ่งคือสติของนาง สองคือเข็มสองเล่มนั้น
เมื่อเดินไปได้ก้าวหนึ่งเฝินเหวินก็ยกมือขึ้นเป็การสื่อว่าเขา้าจะหยุด
เขานั้นเป็ถึงหมอเทวดาชื่อดังแต่เขากลับไม่เคยรู้มาก่อนว่าการใช้เข็มสกัดจุดเอาไว้จะทำให้เพิ่มระยะเวลาในการดีดพิณได้
แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้อย่างยินยอมพร้อมใจแต่เขายังคิดอยากจะเข้าใจเื่บางอย่าง
เมื่อเห็นเฝินเหวินเป็เช่นนี้ ฮวาฉือก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่กลับพยุงเขาเดินกลับไปที่เวทีอีกครั้ง เขาไม่ได้เดินกลับไปที่แท่นวางพิณของตนแต่เดินไปทางเซียวซู่ซู่แทน
เวลานี้เซียวซู่ซู่ได้ดึงเข็มสองเล่มที่ปักอยู่ตรงข้อมือของตนออกแล้วนางทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น สีหน้าของนางขาวซีด ในขณะที่ผมยาวสลวยถูกลมหนาวในยามค่ำคืนพัดให้โบกสะบัดไปมาชายเสื้อของนางก็ปลิวไสวไปตามสายลมเช่นกัน
เมื่อเห็นเฝินเหวินเดินกลับมาเซียวเอินที่คิดจะเดินไปด้านหน้าเพื่อพยุงเซียวซู่ซู่ก็หยุดการกระทำของตน
“แม่นางมีฝีมือยอดเยี่ยมมาก” เฝินเหวินเอ่ยออกมาอย่างจริงใจพลางยกมือขึ้นเช็ดคราบเืที่มุมปากของตนแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีสภาพอเนจอนาถอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงดูสง่างามเช่นเดิม
เป็ความสง่างามที่กระจายออกมาจากตัวของเขาเสมือนว่าเขามีมันมาั้แ่เกิดทำให้เขาดูโดดเด่นแม้ยามอยู่ท่ามกลางฝูงคน
“ขอบคุณคุณชายสำหรับคำชม” เซียวซู่ซู่เองก็ไม่ได้ถ่อมตนแต่ทำเพียงแค่เอ่ยตอบรับออกมาเรียบๆ ประโยคหนึ่ง พร้อมกับย่อตัวทำความเคารพน้อยๆ
“ข้าอยากจะถามแม่นางว่าการที่ใช้เข็มเย็บผ้านี้สกัดจุดในร่างกายเอาไว้เพื่อการใดกันหรือ?” เฝินเหวินนั้นมีฐานะเป็ถึงอาจารย์ที่โด่งดังของยุคแต่เวลานี้เขากลับทำตัวถ่อมตนเป็อย่างมาก
ไม่มีท่าทางหยิ่งทะนงตนแม้แต่น้อย
เซียวซู่ซู่มองไปที่ข้อมือของตนเองก่อนจะฉีกยิ้มออกมา “ข้าเพียงแต่กลัวว่ามือทั้งสองของข้าจะไม่สามารถใช้การได้อีกก็เลย...”
สีหน้าของนางดูเกร็งขึ้นเล็กน้อยทำให้เฝินเหวินเกิดอาการตกตะลึง สีหน้าของเขานิ่งค้างอย่างเหลือเชื่อไม่นานสีหน้าของเขาจึงกลับไปเป็ปกติอีกครั้ง “ที่แท้เป็เช่นนี้...”
จากนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ “ข้าน้อย...พ่ายแพ้อย่างยินยอมพร้อมใจ”
ครั้งนี้ถือว่าเขายอมพ่ายแพ้ออกมาจากใจจริงแล้ว
ความจริงแล้วเซียวซู่ซู่นั้นไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นต่อให้ไม่มีเข็มสองเล่ม นางก็ยังสามารถคว้าชัยชนะได้ดั่งเดิมเพราะว่านางมีพลังบางอย่างคอยสนับสนุนนางอยู่
ซึ่งก็ทำให้นางแข็งแกร่งมากขึ้น
และมีสติที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่มากยิ่งขึ้น
จากนั้นเฝินเหวินก็โค้งคำนับนางน้อยๆก่อนจะหมุนตัวจากไปโดยไม่หันมามองอีก
ภาพนี้เซียวซู่ซู่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก เพราะว่าตอนที่นางยังเป็ซูฉีฉีอยู่นั้น นางก็เคยเห็นเฝินเหวินเดินจากไปเช่นนี้
เกิดใหม่อีกครั้ง นางก็ได้ทำให้เขาจากไปด้วยท่าทางอ้างว้างเช่นนี้อีกแล้ว
ความจริงแล้วนางก็รู้สึกผิดเช่นกันเพราะถึงอย่างไรเสีย คนผู้นี้ก็เป็ผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้
เพียงแต่ว่า นางไม่มีทางเลือกอื่นเพื่อสกุลเซียวแล้วนางจำเป็ต้องทำเช่นนี้
“น้องเล็ก...”
“คุณหนูเล็กสกุลเซียว”
หัวของนางรู้สึกปวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นนางก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง และก็ไม่รับรู้ถึงสิ่งใดอีก...
เซียวเอินและเหลยอวี๊เฟิงรีบรุดไปด้านหน้าเพื่อพยุงนางเอาไว้ตอนนี้นางได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายของตนไปจนหมดแล้ว
เฝินเหวินไม่ได้หันกลับมาเขาเพียงแต่เดินไปด้านหน้าทีละนิดๆ ทว่าฮวาฉือกลับหันหลังกลับมามองอย่างรวดเร็วเขายืนอยู่ตรงนั้นเป็เวลานานโดยไม่ขยับ เขาเคยได้ยินว่าเฝินเหวินเคยพ่ายแพ้ให้กับสตรีคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็การพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวของชีวิตเขาด้วย
ซึ่งคนผู้นั้นก็คือซูฉีฉี
และวันนี้เขาก็ได้พ่ายแพ้ให้กับสตรีอีกคนหนึ่ง
และสตรีคนนี้นอกจากใบหน้าที่เขารู้สึกไม่คุ้นเคยแล้ว ไม่ว่าจะเป็บารมีหรือสีหน้าที่ราบเรียบนั้นก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยเป็อย่างมาก
แม้ว่าเขาจะเคยพบกับซูฉีฉีเพียงแค่ครั้งเดียวแต่ว่าเขาคุ้นเคยกับท่วงท่าและบารมีของนางเป็อย่างดีอีกทั้งยังไม่มีวันลืมมันไปได้
เพราะฉะนั้นในใจของเขาเลยเกิดความคาดเดาอย่างบ้าระห่ำว่าเซียวซู่ซู่ผู้ที่ฟื้นขึ้นมาหลังจากไม่ได้สติไปถึงสิบห้าปีนั้นเดิมควรจะไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียวทว่าตอนนี้นางกลับมีความสามารถเก่งกาจถึงเพียงนี้ทำให้เขาคิดว่าเซียวซู่ซู่จะต้องไม่ใช่เซียวซู่ซู่ที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงและเร็วขึ้น
จนเขาไม่กล้าที่จะทำการคิดต่อไปอีก
เหงื่อค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากฝ่ามือของเขา
แม้แต่เฝินเหวินยังรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของเขา
เขาทำเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆมองดูเหลยอวี๊เฟิงอุ้มเซียวซู่ซู่ขึ้นและรีบก้าวเดินลงจากเวทีไปจนกระทั่งแผ่นหลังของพวกเขาได้หายลับไปจากสายตาแล้ว เขาก็ยังคงไม่ขยับและมองดูเงียบๆอยู่อย่างนั้นเช่นเดิม
พ่อบ้านสองและพ่อบ้านสามเองก็ถอนหายใจออกมายาวๆแพ้แล้ว พ่ายแพ้ไปเสียอย่างนี้
แต่ว่า พวกเขาก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับได้
“พี่ใหญ่!”
เฝินเหวินไม่ได้ขยับและก็ยืนนิ่งๆอยู่ท่ามกลางลมหนาวเช่นกัน
เขาไม่รู้ว่าฮวาฉือกำลังคิดอะไรแต่เขารู้ว่าตนได้แพ้ให้กับสาวน้อยอีกครั้งแล้ว
เขารู้สึกว่าตนไม่ควรจะแตะต้องพิณอีก
ไม่ใข่ว่าเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้แต่เพราะเขารู้สึกว่าเขาพ่ายแพ้อย่างย่อยยับจริงๆ
ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดพ่อบ้านสองและพ่อบ้านสามหันมาสบตากันแวบหนึ่งในขณะที่ฮวาฉือก็ดึงสติของตนกลับมาได้แล้ว
เขาลอบกำมือของตนแน่นขณะที่ในใจของเขาก็ได้ทำการตัดสินใจว่าจะต้องทำการตรวจสอบเซียวซู่ซู่ผู้นี้โดยละเอียดให้ได้
การปรากฏตัวของนางบังเอิญจนเกินไปและทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เหนือกว่าสิ่งที่คนธรรมดาจะคิดได้
ลมเย็นพัดมาระลอกหนึ่งในขณะที่ฮวาฉือตัดสินใจว่าตนจะไม่ยอมปล่อยเื่นี้ไปแน่จากนั้นเขาก็กระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย โครงหน้าที่ดูอ่อนโยนมีประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นฉายออกมาแวบหนึ่ง
วันที่สอง เฝินเหวินจากไปโดยไม่ล่ำลาทิ้งไว้เพียงเจียวเหว่ยที่ตั้งอยู่บนแท่นวางพิณ
บนนั้นยังมีคราบโลหิตเกาะอยู่บางๆ
เซียวซู่ซู่สลบไม่ได้สติ นางไม่ได้พักผ่อนถึงสามวันสามคืนทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเป็อย่างมากและบนชิงเจี่ยวเองก็มีคราบเืเช่นกันคราบนั้นเกิดจากแผลบนปลายนิ้วที่ดีดพิณต่อเนื่องเป็เวลานาน
ครั้งนี้ เหลยอวี๊เฟิงชนะแล้ว เจียวเหว่ยเขาได้ทำการเก็บไว้เป็อย่างดีเตรียมจะนำคืนให้กับผู้เป็เ้าของ
ฮวาฉือมาเยี่ยมเซียวซู่ซู่ครั้งหนึ่งเมื่อเห็นว่านางกำลังนอนหลับอยู่เขาจึงทำเพียงแค่ยืนดูอยู่ที่ข้างเตียงสักพักหนึ่งก่อนจะเดินจากไป
ก่อนจากใบบนใบหน้าของเขาก็ประดับด้วยรอยยิ้มที่สง่างามเช่นเดิม ไม่ได้มีสีหน้าเศร้าหมองเหมือนผู้ที่ได้รับความพ่ายแพ้แม้แต่น้อย
แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ต่อหน้าผู้คนและต้องเสียเจียวเหว่ยไป
แต่ว่าเขากลับรู้สึกว่าตนได้ของชิ้นใหม่กลับมา
เขารู้สึกว่าซูฉีฉีไม่ได้จากไปไหนนางยังคงอยู่เสมอ
เมื่อยามเดินทางออกจากสำนักเหลยเขาก็ทำการขี่ม้าตัวใหญ่จากไป โดยที่ในมือกำลังกำจี้หยกเม็ดหนึ่งเอาไว้ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องทำให้มันสะท้อนแสงเจ็ดสีออกมาเป็ประกายระยิบระยับ
เหลยอวี๊เฟิงสวมชุดสีขาวล้วนขณะยืนอยู่ที่ประตูเมืองของสำนักเหลยมองฮวาฉือและคนอื่นๆ จากไปอย่างเงียบๆมุมปากของเขากระดกขึ้นเป็รอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความยินดีและสุขใจ
และสกุลเซียวที่อยู่ห่างไกลออกไปทางพื้นที่หนานเจียงนั้นหลังจากที่พวกเขารู้ว่าเซียวซู่ซู่ได้เอาชนะเฝินเหวินแล้วต่างก็มีความยินดีปลาบปลื้มกันทั่วหน้า
และข่าวนี้ก็ได้กระจายไปถึงวังหลวงทั้งฮวาหรูเสวี่ยฮวาเชียนเย่และฮวาเชียนจือล้วนคาดคิดไม่ถึงว่าเซียวซู่ซู่จะชนะการแข่งขันในครั้งนี้ได้นี่ก็แสดงว่าสกุลเซียวจะได้รับอำนาจและการสนับสนุนจากสำนักเหลยเป็อำนาจที่แม้แต่แคว้นใดในหนานเจียงก็ไม่อาจจะเทียบทานได้
“ไม่เป็ไร”ฮวาเชียนเย่กำมัดแน่น “แผนการของพวกเรายังคงไม่เปลี่ยน”
ฮวาเชียนเย่กล่าวเช่นนี้กับลูกน้องของตนโดยที่ไม่ได้ไปปรึกษากับฮวาหรูเสวี่ยอีกครั้งนี้ เขาจะไม่มีวันยอมรามือโดยเด็ดขาด
เขากำลังเฝ้ารอวันนั้นวันที่จะจัดพิธีปักปิ่นของเซียวซู่ซู่
ตอนนี้ พวกเขาไม่อาจหาเื่สกุลเซียวได้และก็ไม่กล้าหาเื่ด้วย เป็เช่นนี้กลับถือเป็สิ่งที่ดี เพราะว่ามีเพียงเช่นนี้ฮวาเชียนจือถึงจะยอมอยู่อย่างสำรวม
ขอเพียงนางอยู่นิ่งๆไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับเื่นี้ ฮวาเชียนเย่ก็เชื่อว่าแผนการของตนจะต้องดำเนินไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าฮวาเชียนจือในตอนนี้ได้กลายเป็โล่กำบังให้กับสวี่เว่ยหรานแล้วจะสลัดเขาออกไปก็ทำไม่ได้
และหลังจากที่ฮวาเชียนจือรู้ว่าเซียวซู่ซู่ได้ชนะการแข่งขันแล้วนางเองก็รู้สึกเคร่งเครียดเช่นกัน ทำให้ความสัมพันธ์ของนางกับสวี่เว่ยหรานใกล้ชิดกันมากขึ้นเพราะนางรู้ว่า ตอนนี้นางเหลือเพียงสวี่เว่ยหรานเท่านั้นที่จะร่วมมือด้วยได้
ไม่มีทางเลือกอื่น
และเื่ที่เซียวซู่ซู่เอาชนะเฝินเหวินได้นั้นก็เหมือนเป็การปาก้อนหินก้อนใหญ่เข้าใส่ผืนน้ำที่กำลังนิ่งสงบอย่างต้าเยียน...