จี้เฟิงพยักหน้า “ใช่ ไม่เพียงข้า กระทั่งบิดาข้าเองก็มองท่าร่างเท้าแปลกประหลาดนั้นไม่ออก แม้คุยกับจิงเอ๋อร์เชิญฮวาชีเยว่มาทานอาหารกลางวันด้วยกันได้ ทว่ากลับมิได้ถามออกไป”
“เพราะบิดาย่อมทราบว่าเื้ัฮวาชีเยว่มียอดฝีมืออยู่ นางเฉลียวฉลาดย่อมไม่เปิดเผยออกมาแน่” จี้จิงเอ่ย สายตาพออกพอใจ “ข้าบอกแล้วว่าพี่ชีเยว่ย่อมมิใช่สตรีมากราคะโง่งม! แต่เป็ผู้อื่นมิอาจมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของนาง ฮ่าๆ ข้าหลงรักพี่ชีเยว่แต่แรกพบทีเดียว เสียดายข้ามิใช่บุรุษ มิเช่นนั้นย่อมต้องแต่งกับนางเป็แน่!”
จี้จิงดูมีความสุขนัก “แต่ท่านพี่แต่งกับพี่ชีเยว่ได้! ฮี่ๆ ข้าชอบนางมากจริงๆ!”
ใบหน้าของจี้เฟิงกลายเป็สีแดงจางๆ เขาเอ็ดน้องเสียงอ่อน “จิงเอ๋อร์อย่าพูดไร้สาระ! อย่างไร...เื่งานแต่งก็มิใช่เื่ส่วนตัว! ชีเยว่อาจมิได้ชอบข้า...”
เพียงประโยคเดียวก็เผยความคิดจี้เฟิงแล้ว ดวงตาอวิ๋นสือโม่หม่นลง ชายหนุ่มยกสุราขึ้นจิบ รสชาติหวานอร่อยยามนี้กลับขมขึ้นมา
“ท่านพี่กลัวอะไรเ้าคะ พี่ชีเยว่ต้องชอบท่านเป็แน่!” จี้จิงยิ้ม พูดโดยไม่ยั้งปาก หยิบน่องไก่ขึ้นมาโดยไม่สงวนท่าที
จี้เฟิงยังคงยิ้มทั้งที่ใบหน้ากลายเป็สีชมพู อวิ๋นสือโม่ร้องเรียกบ่าวเข้ามา “ไปตรวจสอบมาให้ข้า...ที่มาที่ไปของไต้ซือเสวียนจี!”
บ่าวผู้นั้นพยักหน้าแล้วจากไป จี้เฟิงมองอย่างชื่นชม “พี่อวิ๋นช่างเข้มงวดนัก ชีเยว่บอกว่าไต้ซือเสวียนจีเป็ผู้บอกให้นางเข้าประลอง เช่นนั้นท่าร่างเท้าของนางย่อมข้องเกี่ยวกับไต้ซือเสวียนจีผู้นั้น”
อวิ๋นสือโม่พยักหน้า เขาคิดถึงยามสตรีผู้นั้นหัวเราะขึ้นมา ทว่าความลึกลับนั้นยังคงติดอยู่ในใจ “เหตุใดไต้ซือเสวียนจีจึงสั่งสอนนาง? ฮวาชีเยว่...เหตุใดนางจึงถูกเรียกขานเป็สตรีโง่งมมากราคะ? พวกท่านว่าเื่นี้น่าสับสนหรือไม่? ”
จี้จิงชะงักและสับสน “ใช่ เป็ถึงศิษย์ของยอดฝีมือ เหตุใดพี่ชีเยว่ต้องทำลายชื่อเสียงตนเองด้วย? หรือนางเกรงจะมีศัตรูจึงปิดบังอะไรไว้? อย่างไรผู้คนก็ไม่ใส่ใจคนโง่อยู่แล้ว!”
“จิงเอ๋อร์พูดถูกต้องแล้ว บางทีชีเยว่อาจ้าปิดบังอะไรเอาไว้ ทว่ากลับมาเข้าร่วมประลองในตอนนี้...”
เห็นจี้เฟิงสับสน อวิ๋นสือโม่จึงอธิบายให้ฟังเสียงเรียบ “คงเพราะเทียนซีบุตรบุญธรรมของนาง คอของเด็กคนนั้นต้องพิษ นางนำเทียนซีมาให้ข้าช่วยรักษา ทว่าเพื่อปรุงโอสถรักษาคอ จำต้องใช้ปทุมหงสาเกล็ดน้ำค้าง”
“ดังนั้น...นางจึงเข้าร่วมการประลอง!” จี้จิงไม่ได้โง่ นางเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดทั้งหมดในทันที
อวิ๋นสือโม่พยักหน้า ในดวงตาเปี่ยมอารมณ์ซับซ้อน
“เช่นนั้นชีเยว่จึงได้เสี่ยงชีวิตเพื่อบุตรบุญธรรมของนางคนนั้น ที่แท้นางก็เป็สตรีจิตใจดีทั้งยังซื่อสัตย์นัก!” ความชื่นชมที่จี้เฟิงมีให้ฮวาชีเยว่ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น
“ใช่แล้วเ้าค่ะ สตรีจิตใจดีซื่อสัตย์เช่นนี้ควรเป็พี่สะใภ้ข้าหรือไม่เ้าคะ? ฮ่าๆ!” จี้จิงเล่นหูเล่นตาใส่จี้เฟิงด้วยท่าทีซุกซน
จี้เฟิงไม่คิดจะโต้ตอบกับนาง จึงยกจอกชนกับอวิ๋นสือโม่ ก่อนจะเปลี่ยนไปสนทนาถึงจุดประสงค์หลักของการแข่งขันในครั้งนี้ นั่นคือการคัดสรรศิษย์ เื่นี้เป็ความคิดของจี้จง เนื่องจากหากให้จี้เฟิงเป็ผู้ดูแลตระกูลทั้งหมดด้วยตัวเองจะเป็การกดดันมากเกินไป
ยิ่งกว่านั้น ลุงของจี้จงยังดูคล้ายจะมีความคิดแตกแยก หากเกิดการขัดแย้งขึ้นมา ตระกูลย่อมถูกแบ่งออกเป็สองส่วน ถึงตอนนั้นยังต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากบรรดาลูกศิษย์ลูกหาแล้ว
แม้จะประกาศออกไปว่ารับศิษย์เพียงสองคนเท่านั้น แต่ในความเป็จริงอาจคัดคนเข้าไปถึงสิบคน แน่นอนว่าสองคนจะเป็การฝึกฝนอยู่เบื้องหน้า ในขณะที่อีกแปดคนเป็การฝึกฝนในทางลับ
อวิ๋นสือโม่เข้าใจถึงความลำบากของตระกูลใหญ่ ทั้งยังแนะนำคนหนุ่มสาวมากฝีมือแปดคนให้แก่จี้เฟิง จี้เฟิงย่อมจดจำเอาไว้เพื่อนำไปพิจารณาฝีมือในการแข่งขัน
เมื่อจี้จิงและจี้เฟิงจากไป อวิ๋นสือโม่ก็กลับไปยังห้องอาหาร นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างบ่อน้ำ กลิ่นดอกบัวหอมโชยตามลมโอบล้อมรอบกาย
ดวงจันทร์และดวงดาวส่องประกายสว่างไสวบนฟากฟ้า อวิ๋นสือโม่นั่งอย่างเงียบงัน กระทั่งปลายยามจื่อก็มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้นมาจากภายนอก
เป็ปิงอี่ บ่าวรับใช้ข้างกายอวิ๋นสือโม่ที่กลับมา อีกฝ่ายมอบกระดาษปึกหนึ่งให้แก่เขา “ท่านอ๋อง ตอนที่ไต้ซือเสวียนจีปรากฏตัวขึ้นในครั้งแรก เขายังดึงดูดความสนใจพวกเราประตูทองคำขึ้นมา ทว่าน่าแปลกนักพ่ะย่ะค่ะ ที่มาที่ไปของไต้ซือล้วนถูกปกปิดเอาไว้ ราวกับถูกคนทำลายประวัติทิ้งไป...จึงไม่สามารถหาที่มาของคนคนนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”
คำของปิงอี่ทำให้อวิ๋นสือโม่หรี่ตาลง จดจ้องดอกบัวที่ไหวไปตามลม
“ท่านอ๋อง ้าให้พวกบ่าวใช้วิธีพิเศษ...”
“ไม่จำเป็ เสวียนจีไม่ใช่คนธรรมดา จับตามองเขาเอาไว้ก่อน” อวิ๋นสือโม่โบกมือ ตัดสินใจไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น
ปิงอี่นิ่งเงียบ ในใจคิดว่า ฮวาชีเยว่ทำให้นายท่านของตนสนใจพระรูปหนึ่งเสียแล้วหรือ?
“นางดูเหมือนคนไร้ประโยชน์โง่งม ไม่แปลกที่หวงฝู่เซียนไม่้าแต่งกับนาง แม้นางจะดูปกติยามมาเยือนจวนหนานอ๋อง ทว่าคนกลับผลักนายท่านรูปงามขอเขาจนล้มได้!
“อีกเื่หนึ่ง...จับตามองฮวาชีเยว่เอาไว้ หากมีข่าวอะไรให้มาแจ้งข้า” อวิ๋นสือโม่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเื่นี้ออกมา ในใจเขาไม่้าข้องเกี่ยวกับฮวาชีเยว่ ทว่ากลับมิอาจข่มความ้าอยากรู้จักตัวตนนางโดยไม่รู้ตัว
ปิงอี่รับคำอย่างเชื่อฟังก่อนจะสั่งองครักษ์คนหนึ่งให้ติดตามฮวาชีเยว่ไป
องครักษ์ของอวิ๋นสือโม่ล้วนแต่จงรักภักดีเป็อย่างยิ่งทั้งยังมีฝีมือและยังเป็จอมยุทธ์ ดังนั้นแม้จะมีองค์ชายและท่านอ๋องหลายคนที่ไม่ชอบอวิ๋นสือโม่ คนเ่าั้ก็มิกล้าว่าจ้างนักฆ่ามากำจัดเขา
เพราะแทบไม่มีทางเป็ไปได้
มีคำร่ำลือว่าระดับพลังปราณของอวิ๋นสือโม่ถึงขั้นสูงสุดของกร่อนจันทรา ระดับที่มีคนเพียงน้อยนิดจึงจะไปถึง หากมีใครกล้าจู่โจมเขา คนเ่าั้ย่อมพบจุดจบไม่งดงามนัก
อวิ๋นสือโม่ที่อบอุ่นหน้าตาเฉยชาผู้นั้นกลับเป็ปีศาจโหดร้ายเ็าในใจของหลายๆ คน
ยามนี้แสงเดือนและแสงดาวทอประกายสว่างเจิดจ้า ท้องถนนยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
จี้เฟิงและจี้จิงพบพวกจี้จงตอนกำลังกลับไปที่ภัตตาคารต้งไห่เข้าพอดี จึงได้เล่าเื่ที่ทราบให้อีกฝ่ายฟัง
จี้จงนั่งลงครุ่นคิด “เช่นนั้น ฮวาชีเยว่ก็มาเพื่อสมุนไพร มิใช่เพื่อสกุลจี้หรือ? ”
เห็นสีหน้าบิดาเปลี่ยนไป จี้เฟิงก็รีบปกป้องฮวาชีเยว่ทันที “ท่านพ่อ ฮวาชีเยว่เป็สตรียังมิได้แต่งงาน รับเลี้ยงบุตรบุญธรรมก็ลำบากมากแล้ว ยามนี้ยังเสี่ยงชีวิตเพื่อเด็กคนนั้น ทำให้เห็นแล้วว่านางมีทั้งความซื่อสัตย์ทั้งจิตใจดี หากนางชนะย่อมไม่ปฏิเสธเราแน่ ยิ่งกว่านั้นมิใช่ท่านพ่อยิ่งยินดีหรอกหรือหากมีศิษย์เฉลียวฉลาดเช่นนี้?”
สีหน้าของจี้จงดูสงบลงเมื่อได้ยิน เขาพยักหน้าเห็นด้วย “เฟิงเอ๋อร์พูดถูก ฮวาชีเยว่มีความลับมากเกินไป ลองค่อยๆ ค้นหากันไปก่อนเถอะ”
จี้เฟิงถอนใจโล่งอกออกมา ขณะที่จี้จิงกลับยิ้มแย้มซุกซนอยู่ด้านข้าง “ท่านพ่อ หากพี่ชายแต่งกับพี่ชีเยว่ล่ะเ้าคะ? แม้สกุลจีจะมีกิจการใหญ่โตทว่าอย่างไรเราก็เป็คนของโลกภายนอก ยังต้องสนใจชื่อเสียงตระกูลอีกหรือ?
จี้จงพยักหน้าน้อยๆ “ขอเพียงพี่ชายเ้ายินดีก็พอแล้ว พวกเราหาใช่ราชวงศ์หรือขุนนาง ย่อมไม่ห่วงเื่สถานะใด”
จี้เฟิงผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินคำของจี้จง เขาอารมณ์ดีขึ้นมาทั้งยังร่ำสุรากับบิดาไปอีกไม่น้อยก่อนจะกลับห้องของตน
...
เมื่อกลับถึงจวน ฮวาชีเยว่ก็ได้รับเงินก้อนโตจากพ่อบ้านหวาง ล้วนแต่เป็เงินพนันที่นางชนะมาจากพวกคนตระกูลร่ำรวยเ่าั้ทั้งสิ้น แน่นอนว่ายังมีบางส่วนเป็ของที่ทางราชวงศ์ตกรางวัลมาให้
ฮวาชีเยว่มั่นใจว่าคนเหล่านี้ย่อมต้องคืนเงินให้นาง อย่างไรก็ต้องจ่ายมาให้ครบเท่าที่เขียนไว้จึงจะได้กระดาษหลักฐานแผ่นนั้นคืนไป หากไม่จ่ายหรือกล้าล่าช้า แน่นอนว่าคงมีข่าวลือออกไปจนทำลายชื่อเสียงแล้ว
“คุณหนูใหญ่ ตรงนี้มีทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงขอรับ ท่านชนะพนันมาหนึ่งหมื่นหนึ่งพันตำลึง อีกสี่พันเก้าร้อยตำลึงเป็ท่านอ๋องทรงประทานให้” พ่อบ้านหวางยิ้มอธิบายรายรับให้แก่ฮวาชีเยว่พร้อมส่งสมุดบัญชีให้นาง “นี่คือสมุดบัญชีขอรับ ท่านสามารถนำไปตรวจสอบได้”
“ไม่จำเป็ ข้าเชื่อพ่อบ้านหวาง เงินห้าร้อยตำลึงนี้มอบให้เ้า อย่างไรที่เราก็หาเงินมาด้วยกัน ย่อมต้องนำมาแบ่งกัน!” ฮวาชีเยว่ยิ้ม ดึงเอาตั๋วแลกเงินห้าร้อยตำลึงออกมามอบให้แก่พ่อบ้านหวาง
ความใจกว้างนี้ทำให้พ่อบ้านหวางตกตะลึง “ไม่...ไม่ต้องขอรับคุณหนูใหญ่ คราวก่อนท่านมอบเงินให้บ่าวมากแล้ว ท่านจะ...”
“พ่อบ้านหวาง ข้าทราบว่าเ้ายังมีบิดามารดา มีลูกๆ ต้องดูแล อีกไม่นานลูกชายเ้าก็จะแต่งงาน ล้วนแต่ต้องอาศัยเงินทองทั้งสิ้น รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากข้าไปเถอะ อย่าปฏิเสธเลย” ฮวาชีเยว่พูดเสียงเย็นจนพ่อบ้านหวางไม่กล้าปฏิเสธอีก หากไม่ฟังคำผู้เป็นาย ย่อมพบจุดจบไม่งามนัก
เมื่อพ่อบ้านหวางจากไป ฮวาชีเยว่ก็มอบเงินให้ลู่ซินและโหย่วชุ่ยอีกคนละห้าร้อยตำลึง ทั้งสองต่างก็ตื่นเต้นจนหน้าแดง สิ่งนี้นับเป็ความสุขที่สุดของพวกนางที่เป็สาวใช้
ไม่เพียงจะไม่ถูกรังแก ทว่ายังได้ลงโทษคนที่เคยรังแกพวกนาง ยิ่งกว่านั้นเงินทองยังไหลมาเทมาราวกับน้ำหลาก ทำให้คนจนๆ สองคนยิ่งกว่ายินดี
“อ้อใช่ ชิวอวิ๋นอยู่ไหนกัน?” ฮวาชีเยว่กวาดตามองรอบห้อง ทว่าไม่เห็นชิวอวิ๋นแม้แต่น้อย
เทียนซีเหนื่อยจนหลับไปอย่างรวดเร็ว ฮวาชีเยว่้าตรวจสอบว่ายังมีอะไรค้างคาอยู่หรือไม่แล้วจึงจะวางใจ
โหย่วชุ่ยเบะปาก “ชิวอวิ๋นขอลาเนื่องจากไม่สบายเ้าค่ะ”
“หากท่าน้าพบนาง บ่าวจะรีบไปตามนางมาให้เดี๋ยวนี้เ้าค่ะ!” ลู่ซินนึกยินดีขึ้นมา นางอยากสั่งสอนบทเรียนให้ชิวอวิ๋นสักครั้ง “คุณหนู เหตุใดทั้งที่ทราบว่ามียาถ่าย ท่านยังคงดื่มน้ำแกงนั้นล่ะเ้าคะ? หรือท่านยังอยากตามใจเด็กคนนั้น?”
ฮวาชีเยว่ปิดปากเคี้ยวแตงโมจนเสร็จไปชิ้นหนึ่งแล้วจึงตอบ “ลู่ซิน ชิวอวิ๋นยังอายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น นางจะกล้าไม่เชื่อฟังเ้านายใจร้ายหรือ? ข้าไม่โทษนาง ยิ่งกว่านั้นในน้ำแกงยังมีหลงแดงที่ช่วยรักษาพิษได้ทุกชนิด จะให้ทานยาอะไรข้าก็กล้าทั้งนั้น”
มุมปากของลู่ซินกระตุกทีหนึ่ง “ได้เ้าค่ะ หากนายหญิงของบ่าวจิตใจกว้างขวางยอมอดทนเช่นนี้ บ่าวก็ไม่ดื้อดึงแล้ว อย่างไรนายหญิงของบ่าวก็เก่งกาจนัก”
“คุณหนูเ้าคะ ท่านเก่งกาจขึ้นเพราะไต้ซือเสวียนจีสั่งสอนหรือเ้าคะ?” โหย่วชุ่ยกระซิบ ฮวาชีเยว่จิ้มหน้าผากนาง “เป็เด็กเป็เล็กมิควรพูดมาก!”
โหย่วชุ่ยปิดหน้าเม้มปาก แสร้งทำท่าทางร่ำไห้ออกมา
เมื่ออาบน้ำจนเสร็จ ฮวาชีเยว่ก็เอนกายนอนลงบนเตียง วันนี้นางไม่คิดจะเข้าไปในน้ำเต้าหยกเขียวด้วยรู้สึกผิดอยู่บ้างยามมองใบหน้าอ้วนกลมของลูกชาย
เขายังคงพูดไม่ได้ สำหรับเด็กคนหนึ่งแล้วช่างเป็เื่ที่ชวนให้เ็ปนัก