จูฟ่างใส่เสื้อตัวใหม่เข้าไปในอาคารไม่ถึง 20 นาทีก็นำเงินออกมาแล้ว
“เสี่ยวหลาน ฉันเอาเงินค่าเสื้อมาให้เธอ”
เซี่ยเสี่ยวหลานเดาว่าเขาคงยืมจากมิตรสหายแน่ ใจคิดว่าเขาช่างรีบร้อนเหลือเกิน
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ว่าคุณจะซื้อ พวกเราเป็เพื่อนกันฉันเกรงใจที่จะทำกำไรจากคุณ คิดคุณแค่ 100 หยวนเถอะ”
หูหย่งไฉยังรับบุหรี่ของเธอเลยเมื่อก่อนจูฟ่างแนะนำช่องทางค้าขายแก่เซี่ยเสี่ยวหลานเป็การอาสาช่วยเหลือตัดเื่ความไม่สบอารมณ์กับติงอ้ายเจินออกไป เธอยังคงติดค้างน้ำใจจูฟ่างอยู่
ไม่มีทางที่แม่ค้าหน้าเืจะไม่คิดกำไรแม้แต่นิดเดียว เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจปล่อยให้คนนอกรู้ว่าราคาต้นทุนของเสื้อนอกของเธอคือ 70 หยวนด้วย จึงบอกราคาขาย 100 หยวนกับจูฟ่าง
“เสี่ยวหลาน เธอขายเสื้อผ้าราคานี้ให้ฉัน ไม่ขาดทุนหรือ?”
หลังได้รับคำตอบแน่นอน จูฟ่างก็เข้าใจ เขานำเงินที่ยืมมาจากเพื่อน 1000 หยวนออกมา หยิบออกจากในนั้น 50 หยวนมอบเงินที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้เซี่ยเสี่ยวหลาน
“ส่วนนี้มี 950 หยวน เธอลองนับดู มี 100 หยวนเป็ค่าเสื้อ อีก 850 หยวนคือเงินของคนรักเธอที่ทิ้งไว้ในภัตตาคารคราวก่อนวันนี้ได้พบเธอแล้ว ฉันจึงคืนให้เธอพร้อมกันเลย”
เซี่ยเสี่ยวหลานจับต้นชนปลายไม่ถูก
โจวเฉิงลืมไว้ที่ภัตตาคาร?
จูฟ่างรู้จักโจวเฉิงได้อย่างไร?
สมองเธอหยุดทำงานไปหลายวินาที จากนั้นก็เข้าใจในบัดดล เป็โจวเฉิงที่ไปหาจูฟ่าง!
จูฟ่างไม่อธิบายเช่นกัน ยืนกรานมอบเงินให้เซี่ยเสี่ยวหลาน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็วิ่งกลับเข้าหอพักเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกสับสนอลหม่านเดียวดายกลางสายลม มุมปากของเธอกระตุก เพียงลองนึกภาพก็เดาสถานการณ์ได้—โจวเฉิงไปหาจูฟ่างเมื่อไร น่าจะเป็หลังจากที่ติงอ้ายเจินเอะอะโวยวายก่อนโจวเฉิงลาจากซางตูเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองว่าโจวเฉิงทำอะไรบ้าง คาดการณ์โดยคร่าวว่าคงไม่พ้นสำแดงความโอหังและอวดความร่ำรวยเอาเงินฟาดจูฟ่างสินะ
ทิ้งเงินไว้ที่ภัตตาคารหวงเหอ 850 หยวน?
มีความเป็ไปได้สูงว่าคือ ‘ทิป’ ที่ให้จูฟ่างเป็รางวัล
แต่บุรุษทุกคนผู้มีความเด็ดเดี่ยวย่อมไม่รับเงินส่วนนี้อยู่แล้วไม่แปลกใจที่พอจูฟ่างเจอเธอ จึงคืนเงินมาให้กับเธอเวลานี้ในใจของเซี่ยเสี่ยวหลานพูดไม่ถูกว่าควรมีความรู้สึกแบบใดเธอขมวดคิ้วนิ่วหน้า เหมือนโจวเฉิงจะแตกต่างกับที่เธอคิดไว้เล็กน้อย
หลิวหย่งเป็ตายก็ไม่ยอมรับให้เธอและโจวเฉิงคบหากัน
โจวเฉิงสามารถค้าขายบุหรี่เก็งกำไรจำนวนมากในขณะเดียวกันก็บอกว่าตนเองทำงานในหน่วยงานลับ
คนธรรมดาสามัญมีศักยภาพมากมายถึงเพียงนี้ได้หรือ?
เกรงว่าครอบครัวโจวเฉิงจะไม่ธรรมดาทีเดียว... เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดถึงเื่เธอและโจวเฉิงคู่ควรกันหรือไม่สิ่งที่เธอคิดคือโจวเฉิงคนนี้เผด็จการเกินไปแล้ว ตอนนี้ยังเสน่หาในตัวเธอดังนั้นต่อหน้าเธอจึงยอมจำนนโดยสิ้นเชิง ไม่ทันไรก็ไปหาจูฟ่างลักษณะพฤติกรรมแบบนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ชื่นชอบเท่าไรนัก
เธอคือสาวน้อยผู้ไร้เดียงสาเสียที่ไหนไม่ใช่ว่าโจวเฉิงจำแลงเป็ประธานจอมเผด็จการ [1] แล้วเธอจะโง่งมหลงใหลเสียหน่อย
คนสองคนคบหากันนอกจากความรักใคร่เสน่หาแล้วต้องดูนิสัยใจคอภาวะอารมณ์เช่นนี้ของโจวเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานครุ่นคิดกับตนเองว่ายังจำเป็ต้องพิจารณาอย่างจริงจังอีกที
“เสื้อคุณนี่ขายอย่างไรหรือ?”
หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในต้าเยวี่ยนเซี่ยเสี่ยวหลานข่มความไม่สบายใจไว้ รีบเริ่มแนะนำสินค้าให้แก่เธอ
“ตัวละ 140 หยวนจ้ะ พี่สาวลองจับดูได้เนื้อผ้าดีเชียวล่ะ”
วัสดุดีหรือไม่ สามารถโกหกคนอื่นได้แต่จะหลอกลวงคนงานหญิงของโรงงานฝ้ายแห่งชาติได้หรือ?
เสี่ยวฉินเคยจับเสื้อนอกตัวนั้นของจูฟ่างแล้วตอนนี้ก็อดยื่นมือออกไปจับอีกครั้งไม่ได้
“ขนแพะูเาและขนแกะทอผสมกัน เป็ผ้าที่ดีจริงๆ ด้วย”
การออกแบบก็ดูดีเช่นกัน จูฟ่างซื้อสีน้ำเงินนาวีเหล่าเฉิงของเธอใส่สีดำได้ สีดำดูสง่างามและภูมิฐานมากกว่าเพื่อไม่ให้หัวหน้าในหน่วยงานของเหล่าเฉิงตำหนิ เสี่ยวฉินตกลงปลงใจจะซื้อ 140 หยวนถือว่าราคาแพงทว่าคนงานหญิงอายุงานไม่น้อยแถมฝีมือแคล่วคล่องว่องไวอย่างเธอนี้ เงินเดือนเดือนหนึ่งก็คือหลายสิบหยวนรวมกับเงินพิเศษอีกเล็กน้อย ย่อมมีเงินพอสำหรับซื้อเสื้อนอกให้สามีของตน
แต่เงินของใครพัดพามากับสายลมเล่า ต่อรองราคาได้ก็ควรทำขอลดราคากับเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งนานสองนาน น้อยลงแค่สองหยวนเท่านั้น หนึ่งตัว 138 หยวน เสี่ยวฉินราวกับว่าได้ประโยชน์ยิ่งใหญ่ไป
การค้าขายวันนี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานมีจูฟ่างเป็ผู้กรุยทางถือว่าเปิดยอดแล้ว
ตอนเที่ยงเธอไม่กลับบ้านไปรับประทานอาหาร แค่ซื้อปิ่ง [2] ตามถนนสองอันรองท้อง อยู่จนเวลาสี่โมงเย็น ขายเสื้อนอกได้ทั้งหมดรวมสามตัว
หลี่เฟิ่งเหมยก็ลากสินค้ากลับมาแล้วเช่นกันไม่มีเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งแผงด้วยกันกับเธอ สภาพธุรกิจด้านเธอก็ไม่ดีเด่นเท่าไรอย่างไรเสียในการขายเสื้อผ้าทุกชิ้นหลี่เฟิ่งเหมยจะเน้นย้ำหนึ่งรอบแก่ลูกค้าทุกคนโดยไม่คิดว่ายุ่งยากก่อนปีใหม่ร้านเสื้อผ้าจะเปิดกิจการแล้วยินดีต้อนรับทุกคนไปซื้อเสื้อผ้าที่ถนนเอ้อร์ชี
พอลูกค้าถามชื่อร้าน หลี่เฟิ่งเหมยก็อึ้ง ทั้งสองครอบครัวยังไม่เคยปรึกษาหารือกันเื่นี้น่ะสิ!
ไม่ต้องขนย้ายเสื้อผ้าไปยังที่อยู่อาศัยของเซี่ยเสี่ยวหลาน แบกไปบ้านหลี่เฟิ่งเหมยเสียเลยก็พอบ้านที่ครอบครัวหลี่เฟิ่งเหมยเช่าอยู่ชั้นสามบ้านของเพื่อนจูฟ่างคือชั้นห้าอาคารตรงข้ามเยื้องกันด้วยระยะห่างระหว่างอาคารสิบกว่าเมตรเสี่ยวฉินมองเห็นระยะห่างฝั่งตรงข้ามในสายตาทั้งหมด
“ที่แท้เป็ญาติของคนในละแวกนี้นี่เอง ไม่แปลกใจที่ตั้งแผงหน้าประตูเหล่าเฉิง เสื้อใส่แล้วเป็อย่างไร ฉันจ่ายเงินร้อยกว่าหยวนไปไม่เสียเปล่าสินะ!”
ไม่คุ้มค่าได้อย่างไร
ขนแพะูเามีคุณสมบัติกักเก็บความอบอุ่นได้ดี ทอผสมกับขนแกะ มีการออกแบบที่ภูมิฐานแล้วและไม่หนาเกินควร สวมใส่ในฤดูหนาวให้ความรู้สึกเบาสบายและคล่องตัว
จูฟ่างฝากกระเพาะมื้อเย็นที่บ้านเฉิงเมื่อเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานจากไปด้วยตาตนเอง เขาถึงได้กลับ
ตลอดบ่ายของวัน เขาเอาแต่จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เล่นหมากรุกกับเหล่าเฉิงหลายตาก็แพ้ทั้งหมด
----------------------------------------
หลี่เฟิ่งเหมยถามถึงร้านเสื้อผ้ามีชื่อว่าอะไร เซี่ยเสี่ยวหลานจะตั้งชื่อภาษาต่างประเทศสุดแสนหรูหรามีระดับไม่ได้เสียด้วยต้องเหมาะสมกับกลิ่นอายของยุคสมัย ติดปากและจดจำง่าย เวลานี้ร้านค้าต่างๆนานาล้วนใช้นามสกุลมาตั้งชื่อ ‘สักจี้ [3]’ และ ‘สักซื่อ [3]’ พบเห็นได้มากที่สุด ยกตัวอย่างร้านจางจี้อาหารว่างของจางชุ่ย
หลิวจี้? หลี่จี้?
ชื่อแบบนี้เหมาะกับการขายอาหาร สำหรับร้านเสื้อผ้าจึงประหลาดไม่น้อยเซี่ยเสี่ยวหลานโพล่งออกไปตรงๆ
“ป้า ก็เอาชื่อป้ามาตั้งเสียสิ ‘เฟิ่งเหมยเครื่องแต่งกาย’ ...”
หลี่เฟิ่งเหมยไม่เห็นด้วย นั่นมิใช่ธุรกิจของเธอคนเดียวนี่นา
สุดท้ายทั้งสองคนตกลงกัน ได้ชื่อ ‘หลานเฟิ่งหวง’
พอเทาเทาเลิกเรียน เซี่ยเสี่ยวหลานยังอุตส่าห์อยู่เป็เพื่อนเขาสักพักถามไถ่ว่าการบ้านของเขายากหรือไม่ อยู่จนถึง 5 โมงหลี่เฟิ่งเหมยเรียกเธอรับประทานอาหารก็ไม่ยอม ฉวยโอกาสที่เวลาฟ้ายังไม่มืดเหยาะย่างกลับบ้าน
----------------------------------------
หลิวเฟินทำอาหารที่บ้านเสร็จเรียบร้อย
“กลับมาแล้วหรือ? รีบล้างมือกินข้าวเร็วอีกเดี๋ยวยังอ่านหนังสือได้ พรุ่งนี้ไปโรงเรียนอีกสินะ?”
ห้องของย่าอวี๋ปิดประตูไว้
บนตู้ขาสูงวางด้วยเนื้อแพะตุ๋นเปื่อยชามหนึ่ง เป็หลิวเฟินที่รั้นจะวางไว้ตรงนั้น
ย่าอวี๋ไม่เข้าใจ ถ้าบอกว่าเพื่อหน้าร้านที่ถนนเอ้อร์ชีนั่นสัญญาก็ลงชื่อแล้ว ค่าเช่า 2000 หยวนต่อปีเธอก็รับแล้ว เป้าหมายของหลิวเฟินและลูกสาวควรจะลุล่วงแล้วสิ
เช่นนั้นทำไมหลิวเฟินยังคงช่วยเธอกวาดถนนอยู่?
ย่าอวี๋นึกคิด ต้องมีแผนการที่ใหญ่โตกว่านี้แน่นอนเธอจึงเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ไม่ช้าก็เร็วแม่ลูกคู่นี้ต้องเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมากลิ่นหอมของเนื้อแพะลอยล่องไปแตะจมูกของย่าอวี๋เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินรับประทานพลางสนทนาเฮฮากันอยู่นอกห้องสองแม่ลูกครึกครื้นทีเดียว ส่งเสริมให้ทั้งบ้านมีความสนุกสนานร่าเริง
ย่าอวี๋ลงจากเตียง จากนั้นจึงยกชามขึ้นมารับประทาน
ทำไมเธอจะไม่รับประทาน หากไม่กินของดีๆ เสียบ้างจะมีกำลังวังชาฝนลับปัญญาปะทะความกล้ากับแม่ลูกแสนเ้าเล่ห์นั่นได้อย่างไร
เช้าวันต่อมา เซี่ยเสี่ยวหลานนำหนังสือนั่งรถรับส่งกลับเขตอันชิ่งหลิวเฟินช่วยย่าอวี๋กวาดถนนดั่งที่ผ่านมา ขณะกำลังจะออกไปขนกากน้ำมันที่โรงงานสกัดย่าอวี๋ก็รั้งเธอไว้ ในมือมีเงินอยู่
“ฉันไม่คิดจะติดหนี้ใครไปทั้งชาติ กินเนื้อแพะของเธอหนึ่งชามย่อมต้องเอาเงินให้เธอ”
หา?
เธอยังนึกว่าคุณย่าเ้าของบ้านมีมนุษยสัมพันธ์ดีขึ้น เนื่องจากเมื่อวานตอนเย็นยอมรับประทานเนื้อแพะที่เธอส่งให้แล้ว
นี่คือย่าอวี๋ผู้หัวรั้นนั่นเอง!
หลิวเฟินทำสิ่งใดไม่ได้ ทำได้เพียงรับเงินไว้
เธอเป็คนซื่อตรง ใบหน้าของเธอแดงก่ำเดิมทีคือเนื้อแพะที่มอบให้ด้วยเจตนาดีตอนนี้กลับกลายเป็เนื้อแพะที่บังคับขายให้ย่าอวี๋รับประทานในใจรู้สึกกระอักกระอ่วน หลิวเฟินเลยถือไม้กวาดออกไปช่วยย่าอวี๋กวาดถนน—เธอแค่คิดว่าตนเองมีพละกำลัง ช่วยเหลือเล็กน้อยไม่ใช่เื่ใหญ่ตอนเผชิญหน้ากับย่าอวี๋จึงไม่ใช่เพียงความเห็นใจหญิงชรามีบ้านหลังโตขนาดนั้นในซางตู้าหญิงชนบทคนหนึ่งอย่างเธอเห็นใจที่ไหนกัน!
หลิวเฟินคิดอย่างเรียบง่าย ในเมื่อเช่าหน้าร้านนั้นตั้งหลายปีและพวกเธอแม่ลูกก็เช่าบ้านย่าอวี๋อาศัยอีกด้วย แยกจากกันไม่ได้ใน่เวลาอันสั้นอยู่ใต้ชายคาเดียวกันก็มีปฏิสัมพันธ์อันดีเถอะ
เชิงอรรถ
[1]霸道总裁 ประธานจอมเผด็จการ คือ ลักษณะของตัวเอกชายในนิยายรักมักจะมีอาชีพเป็นักธุรกิจหนุ่มเปี่ยมอำนาจ หล่อเหลา ร่ำรวย ชอบบงการ รักแรงหึงแรงและโดยทั่วไปจะมีจุดอ่อนเป็หญิงสาวผู้สถานะทางการเงินและสังคมต่ำต้อยกว่าตนเอง
[2]饼 ปิ่ง คือ อาหารที่ทำจากแป้ง ขึ้นทรงเป็แผ่นกลม นำไปทอดหรือย่างรับประทานได้หลากหลายรูปแบบ
[3]某某记,某某氏 ลักษณะการตั้งชื่อร้าน โดยเติมคำว่า จี้ (记) และ ซื่อ (氏)ไว้ด้านหลังนามสกุล
