ผมเดินโซเซจนมาถึงด้านหน้าหมู่บ้าน ก็ถูกพวกเบอร์เซิร์กเกอร์กลุ่มหนึ่งถือขวานเล่มโตผลักเข้าให้ ดูเหมือนว่าพวกนี้คงจะรีบร้อนไปฆ่าเ้าสุนัขฟางสินะ
แน่นอนว่าผมไม่ได้มีพลังเหมือนคนพวกนั้น เอาเป็ว่าไม่ขอสู้แล้วกัน!
ผมเปิดดูค่าสถานะของตัวเองที่ตอนนี้ยังคงอยู่ที่เลเวล 1 แต่ผมเพิ่งรู้ว่าระบบได้ให้ค่าสถานะของผมมา 10 พอยต์เพื่ออัปค่าสถานะด้วย ผมใช้พอยต์เ่าั้ไปกับการเพิ่มค่าพละกำลังทั้งหมด นี่คือกลยุทธ์ของผมเอง ผมจะสู้กับโลกใบนี้ในฐานะฮีลเลอร์ โดยจะใช้ทั้งการฮีลและการโจมตีไปพร้อมกัน แบบนี้สิถึงจะเรียกว่า เส้นทางราชันที่แท้จริง!
……
รอไปก่อนดีกว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน ออกไปฆ่าสุนัขฟางตอนนี้ผมก็ไม่มีทางสู้กับพวกเบอร์เซิร์กเกอร์ นักดาบ และอาชีพอื่นๆ ที่อัปค่าพละกำลังมากกว่าผมได้หรอก ผมก็เลยตัดสินใจไปทำเควสต์ในหมู่บ้านที่ผมสามารถรับได้ตอนนี้ดีกว่า ทำเควสต์เสร็จแล้วค่อยออกไปฆ่าสุนัขฟางก็ยังไม่สาย แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
ที่ใจกลางหมู่บ้านมีบ่อน้ำเล็กๆ ตั้งอยู่ ด้านข้างมีหินขนาดใหญ่วางกระจัดกระจายโดยรอบ แต่ลักษณะของมันถูกรักษาไว้เป็อย่างดี
ผมใช้เวลามองอยู่ 5 นาทีเต็มถึงได้รู้ว่าหินพวกนั้นเรียงกันเป็ค่ายกลดาวเจ็ดแฉก ทำไมผมถึงได้รู้เื่พวกนี้น่ะหรือ ก็เพราะตอนที่ผมฝึกยุทธ์กับตาแก่นั่น ผมได้เรียนเทคนิคค่ายกลดาวเจ็ดแฉกนี้ด้วยไงล่ะ แต่กว่าจะฝึกได้เืตาแทบกระเด็น แถมมันยังมาอยู่ในเกมนี้อีก เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนักวางแผนเกมจะต้องมีผู้ใช้ดาบที่เก่งกาจอยู่ในนั้นด้วย ไม่งั้นคงจะไม่เข้าใจเทคนิคดาวเจ็ดแฉกพวกนี้หรอก
ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างทำให้ผมไม่อาจควบคุมตัวเองไม่ให้ก้าวไปด้านหน้าได้ หลังจากที่ผมยืนอยู่บนตำแหน่งหนึ่งในดาวเจ็ดแฉก ซึ่งเป็ตำแหน่งที่มีแสงประหลาดเกิดขึ้น ผมก็ชักดาบออกมาทันที
เคร้ง!
ถึงแม้จะเป็ฮีลเลอร์ แต่ด้วยพละกำลัง 10 พอยต์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาทำให้มีพลังมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ ดาบเหล็กที่ถูกดึงออกพร้อมกับแสงเปล่งประกาย ผมไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานานมากแล้ว ภายในเกมแบบนี้ใครจะไปรู้ว่ามันสามารถทำให้ผมััได้ถึงความคุ้นเคยกับดาบอีกครั้ง
ใจผมเต้นรัวพร้อมกับเืที่เดือดพล่านอย่างบ้าคลั่งภายใน ให้ตายเถอะ ถ้าเป็แบบนี้จริงๆ บวกกับข้อมูลในหนังสือเกมนั่น นี่แหละคือโอกาสดีที่ผมจะได้เฉิดฉายกับเขาบ้างละ
เคร้ง!
ผมฟาดดาบลงไปอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกที่มีต่อวิถีดาบของตัวเองที่รุนแรงมากขึ้น!
ราวกับว่าผมติดอยู่ที่นั่น ผมยืนฟาดดาบอยู่ตรงนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกต่อวิถีดาบภายในเกมนั้น สำหรับนักฝึกดาบถือว่าเป็สิ่งที่เพลิดเพลินอย่างหนึ่งเลยละ
……
เวลาผ่านไปกับการฝึกดาบซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 1 ชั่วโมงเต็ม พวกมือใหม่ต่างก็เดินมามองผมด้วยความประหลาดใจ มีเบอร์เซิร์กเกอร์คนหนึ่งซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับ 2 พร้อมกับขวานในมือเดินมาดูผมก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เฮ้อ ว่ากันว่าเกมนี้สามารถสร้างสกิลของตัวเองได้ แต่ดูเหมือนจะมีคนบ้าอย่างนายนี่แหละที่เชื่อข่าวลือบ้าๆ พวกนั้น! ทั้งๆ ที่หน้าตาก็ดีเหมือนฉันแท้ๆ แต่ทำไมสมองถึงได้โง่ดักดานแบบนี้เนี่ย?”
ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป ยังคงฟาดดาบในมือต่อ เื่บ้าๆ พวกนี้รบกวนสมาธิการฝึกดาบของผมไม่ได้หรอกนะ
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แป๊บๆ ก็เย็นแล้ว ตอนนี้ผมยังไม่มีความคืบหน้าหรือพัฒนาการใดๆ เลย แต่ผมเหมือนรู้สึกว่ามันใกล้จะสำเร็จแล้ว ทว่ามันก็ไม่ได้เป็แบบนั้นจริงๆ หลังจากเวลาผ่านไปถึงสองทุ่มกว่า โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นก่อนจะเชื่อมต่อเข้ามาในระบบเกมโดยอัตโนมัติ นี่มันเบอร์ของหลินหว่านเอ๋อร์นี่
“หลี่เซียวเหยา ฉันกับเสี่ยวเยว่จะออกจากระบบไปกินข้าว นายจะไปด้วยกันไหม?”
ผมได้ยินก็รู้สึกดีใจขึ้นมา “ไปสิๆ ตอนเที่ยงผมกินข้าวไปนิดเดียวเอง เอ่อ ไม่สิ... ผมต้องไปคุ้มกันพวกคุณต่างหาก...”
หลินหว่านเอ๋อร์หัวเราะหึๆ “โอเค งั้นนายมารอพวกฉันที่ใต้หอนะ ถ้านายถึงแล้วพวกฉันจะลงไป”
“ครับ”
……
ผมออกจากระบบในเมืองซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะที่นี่เป็เขตปลอดภัย
หลังจากถอดหมวกออก ผมก็มองไปที่เตียงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเห็นร่างของเ้าแว่นที่กำลังกระตุกเหมือนคนเป็ตะคริว ดูเหมือนมันคงกำลังเก็บเลเวลอยู่สินะ งั้นไม่กวนดีกว่า คิดแล้วผมก็รีบลงไปกินข้าวกับหลินหว่านเอ๋อร์ทันที
หลังจากมารออยู่ใต้หอหญิงได้สักพัก หลินหว่านเอ๋อร์ก็ลงมาพร้อมกับตงเฉิงที่มาคู่กับกระเป๋าใบกระจิริดสีขาว เมื่อเห็นผมยืนรออยู่ ตงเฉิงเยว่ก็ทักผมอย่างกระตือรือร้น “เฮ้ เซียวเหยา!”
ผมพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม “ไง เราจะไปกินที่ไหนกันดี?”
“ไปแคนทีน 1 ที่เดิมดีไหม? กินเสร็จจะได้รีบกลับไปเก็บเลเวลต่อ เดี๋ยววันที่ 1 กันยายนก็เปิดเทอมแล้ว ่นี้เราใช้เวลาทั้งหมดไปกับเื่เกมก่อนก็แล้วกัน”
“อื้อ”
……
ภายในห้องอาหาร หลังจากสั่งกับข้าวเสร็จแล้ว พวกผมทั้งสามก็นั่งเก้าอี้หันหน้าเข้าหากัน ดูเหมือนว่าสองสาวเองก็คงหิวแล้วเหมือนกัน เพราะพวกเธอเอาแต่บ่นว่าเมื่อไรจะได้กินข้าวสักที ระดับความหิวของพวกเธอดูเหมือนจะเขมือบผมเข้าไปได้ทั้งตัว
หลินหว่านเอ๋อร์หยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ผมยาวสลวยในเวลานี้ถูกปล่อยลงมาเคลียบ่า ยามที่ลมพัดมาทำให้เธอดูงดงามและกลายเป็จุดสนใจของคนที่อยู่ภายในนี้ ผมมองเธอโดยไม่พูดอะไร แต่ภายในใจย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าให้เจียมตน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลินหว่านเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองผม “หลี่เซียวเหยา ตอนนี้นายเลเวลเท่าไรแล้ว?”
ผม “เลเวล 1 ยังไม่ได้ไปเก็บค่าประสบการณ์เลย”
หลินหว่านเอ๋อร์อึ้งจนอ้าปากค้าง “อะไรกันเนี่ย? นี่นายไม่ได้ตีมอนสเตอร์สักตัวเลยเหรอ? มัวไปทำอะไรอยู่? ถึงแม้ว่าหลังจากนี้นายจะมาเป็ลิ่วล้อให้พวกฉัน แต่อย่างน้อยๆ นายก็ต้องมีความสามารถพอที่จะวิ่งไปเมืองหลวงด้วยนะ ไม่งั้นระหว่างทางที่เจอกับพวกมอนสเตอร์ นายอาจถูกฆ่าตายได้”
ผมรู้สึกอับอายกับคำพูดของเธอจนต้องยกมือมาถูจมูกแก้เก้อ ก่อนจะยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ที่จริง... คือจริงๆ แล้วผมกำลังสำรวจเกมนี้อยู่น่ะ เพราะผมยังไม่ค่อยชินกับเกมเสมือนจริง 97% นี้เท่าไร”
“ชิ...” หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มออกมา “กระจอกชะมัด!”
ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเธอจะบรรลุแล้ว และภายในใจก็คงจะกำลังสบายใจอยู่สินะ ถึงได้พูดถากถางผมแบบนี้ ผมรู้แหละว่าเธอเองก็คงจะยังแค้นผมเื่นั้นอยู่ แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ เพราะตอนนั้นผมเห็นเธอจนหมดเปลือกเลย ดูจากนิสัยของลูกสาวคนดังระดับชาติที่ยังไม่ฆ่าปิดปากผม ก็นับว่าใจกว้างมากแล้ว
ตงเฉิงเยว่มองมาที่ผมด้วยท่าทีใ “เซียวเหยา นายนี่เป็ตัวของตัวเองจังเลยเนอะ...”
ผมพยักหน้า “เสี่ยวเยว่ แล้วเธอกับคุณหนูถึงเลเวลเท่าไรแล้วล่ะ”
ตงเฉิงเยว่กระตุกมุมปาก “พวกฉันเหรอ ตอนนี้ฉันเลเวล 7 แล้ว ส่วนหว่านเอ๋อร์เลเวล 6 นี่... เลิกเรียกคุณหนูได้แล้ว หว่านเอ๋อร์ไม่คิดอะไรมากหรอก นายเรียกเธอว่าหว่านเอ๋อร์ก็พอ...”
หลินหว่านเอ๋อร์มองมาที่ผม “ไม่ได้ ห้ามเรียกฉันว่าหว่านเอ๋อร์!”
ผม “เข้าใจแล้วครับ ผมไม่เรียกคุณหนูแบบนั้นหรอก...”
ตงเฉิงเยว่มองผมก่อนจะหันไปมองหน้าหลินหว่านเอ๋อร์ หลังจากนั้นดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจบางอย่างจึงยกมือปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ “คิคิ... ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเธอสองคนสินะ ไม่งั้นก็คงไม่เป็แบบนี้หรอก... อ๊ะ... โอ๊ย... ยอมแล้วๆ อย่าหยิกฉันสิ ไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว...”
สองสาวเริ่มส่งเสียงดังจนทำให้ผู้ชายที่กำลังกินข้าวแถวนั้นจ้องมอง บางคนถึงกับทำเส้นหมี่ร่วงจากปาก
หลังจากผ่านไปไม่นาน กับข้าวที่สั่งไว้ก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมไม่ได้ถือตัวอะไรนัก แค่กินกับข้าวที่อยู่ตรงหน้าและข้าวเปล่าอีก 3 ถ้วย ซึ่งดูเหมือนมันจะทำให้หลินหว่านเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เธอคงจะคิดว่าผมกินเยอะเกินไปสินะ หนำซ้ำผมที่ยังอยู่เลเวล 1 แท้ๆ นอกจากฟาดข้าวตรงหน้าจนเรียบก็ทำอะไรไม่เป็สักอย่าง!
……
เวลาสี่ทุ่มโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็เบอร์ของหลินเทียนหนาน
“เสียวหลี่ วันนี้เป็ยังไงบ้าง หว่านเอ๋อร์ไม่ได้ทำให้นายลำบากใจใช่ไหม?” หลินเทียนหนานถาม
ผมส่ายหน้า “ไม่เลยครับ คุณหนูดีกับผมมากเลย คุณหลินไม่ต้องเป็ห่วงนะครับ”
หลินเทียนหนานยิ้ม “อื้ม ที่จริงแล้วหว่านเอ๋อร์เป็คนจิตใจดีและอบอุ่นมากนะ แต่... หากมีบอดี้การ์ดล้อมรอบ เธอจะแสดงอาการดื้อออกมาให้เห็นเลยละ บอดี้การ์ดที่ฉันหามาก่อนหน้านี้ต่างก็ทนไม่ได้จนถอดใจและถอนตัวออกไปกันหมด หวังว่านายจะรับมือและผ่านมันไปให้ได้นะ”
ผมยิ้ม “ไม่ได้หนักหนาอะไรนี่ครับ ผมก็แค่ไปกินข้าวเป็เพื่อนแล้วก็เล่นเกมกับคุณหนู เื่พวกนี้ผมทำได้อยู่แล้วครับ คุณหลินสบายใจได้”
หลินเทียนหนานหัวเราะออกมา “ถ้างั้นก็ดี เอ้อ จริงสิ... ระดับการเล่นเกมของนายเป็ยังไงบ้างล่ะ? เกมที่แล้วนายอยู่อันดับที่เท่าไร?”
ผมพูด “สามล้านกว่าครับ”
“อืม... กระจอกมากเลยนะเนี่ย...”
ผม “…”
……
หลังจากวางสาย เ้าแว่นก็ออกจากระบบก่อนจะเริ่มต้มบะหมี่สำเร็จรูปกินแก้หิวพร้อมกับแสดงท่าทางตื่นเต้น “นี่เ้าหลี่น้อย เป็ไงบ้าง เกมเสมือนจริงนี่สุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ฉันเลเวล 4 แล้ว ไม่เลวเลยใช่ไหม? แล้วนายล่ะเลเวลไหนแล้ว?”
ผมตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เลเวล 1 นายว่าเป็ไง...”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เลเวล 1 เนี่ยนะ? นี่นายโดนพวกมอนสเตอร์ฆ่าไปกี่ครั้งเนี่ย ถึงได้ย่ำอยู่ที่เลเวล 1?”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ช่วยไม่ได้ เลเวล 1 ก็เลเวล 1 สิ ฉันเป็ฮีลเลอร์นะ ไม่ได้มีพลังโจมตีอะไรอยู่แล้ว...”
“หา? นายเล่นฮีลเลอร์เหรอ? แต่ถึงนายจะฆ่ามอนสเตอร์ไม่ได้ ก็ยังสามารถฮีลเืให้ตัวเอง ดังนั้นไม่น่าจะโดนฆ่าจนกลับไปถึงเลเวล 1 อย่างนี้นี่นา? เ้าหลีน้อย... นายนี่อ่อนหัดชะมัด แต่ไม่เป็ไร นายไม่ต้องห่วง มีพี่ชายอยู่ทั้งคน เดี๋ยวพี่จะพานายเก็บเลเวลเอง หลังจากนี้นายจะกลายเป็ยอดฝีมือระดับต้นๆ ของเกมนี้เลยละ!”
“เ้าแว่น ถ้าไม่ขี้โม้สักวันมันจะตายไหม!”
“ฮ่าๆๆๆ”
……
่กลางคืนผมเข้าไปเล่นเกมต่ออีก 1 ชั่วโมงกว่า โดยใช้เวลาไปกับการฝึกดาบอีกครั้ง และแน่นอนว่ามันยังไม่ทำให้ผมเพิ่มเลเวลได้เหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร อีกอย่างมันเป็แค่เกม ไม่เห็นต้องรีบ เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ผมจึงออกจากระบบเพื่อเข้านอน ซึ่งเป็เวลาที่หลินหว่านเอ๋อร์บอกให้ผมพักผ่อนได้แล้ว
เช้าวันถัดมา ผมลุกจากเตียงตอน 7 โมงเพื่อไปซื้ออาหารเช้าให้หลินหว่านเอ๋อร์และตงเฉิงเยว่ แต่น่าเสียดายที่ขึ้นไปบนหอหญิงไม่ได้ เพราะโดนป้าที่ดูแลหอพักไล่ตะเพิด “ไอ้หนูนั่นน่ะ! ถ้าอยากจะเข้าหอหญิงละก็ ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!”
ได้ยินแบบนั้นผมจึงเดินออกไป ในเวลาเดียวกันก็เห็นยามหนุ่มสองคนที่อยู่ในออฟฟิศของหอพัก ดูจากการเคลื่อนไหวแล้ว สองคนนั้นน่าจะมีวิชากังฟูติดตัว อืม... คงจะเป็คนที่หลินเทียนหนานส่งมาแน่ๆ เพื่อลูกสาวแล้ว นอกจากผมที่ต้องคุ้มกันคุณหนูอย่างใกล้ชิด ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ให้มาช่วยคุ้มกันเพิ่มอีกส่วนหนึ่งด้วยสินะ
หลังจากกลับมาที่หอพัก ผมก็เข้ามาฝึกดาบต่อ
ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเดียวก็เข้า่สายของวันเสียแล้ว ดาบเหล็กของผมต้องซ่อมอีกครั้ง ทว่าผมก็ยังไม่บรรลุอะไรสักอย่างเช่นเคย แต่ถึงจะเป็แบบนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่าความสำเร็จใกล้จะมาถึงแล้ว
……
่เที่ยง ภายในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ผมลงมากินข้าวกับหลินหว่านเอ๋อร์และตงเฉิงเยว่เหมือนเช่นเคย
“ผ่านไป 24 ชั่วโมงแล้วนะ...” ตงเฉิงเยว่ยิ้มพร้อมพูดว่า “ผู้เล่นส่วนใหญ่คงออกจากหมู่บ้านเริ่มต้นไปเกือบหมดแล้ว ดูเหมือนว่าคนที่เลเวลสูงที่สุดในตอนนี้อยู่ที่เลเวล 12 แล้วละ”
หลินหว่านเอ๋อร์ที่กำลังกินข้าวอยู่เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้ม “ตอนนี้ฉันเลเวล 11 แล้ว!”
ตงเฉิงเยว่ “่บ่ายถ้าฉันออกไปตีมอนสเตอร์เพิ่มอีกสัก 2 ชั่วโมงก็คงถึงเลเวล 11 เหมือนกัน... ฮือๆ ฉันเล่นเป็นักเวท ก็เลยเก็บเลเวลได้ช้ากว่าแอสซาซิน หว่านเอ๋อร์ นี่เธอกำลังทำให้ฉันเครียดนะเนี่ย...”
หว่านเอ๋อร์ยิ้มก่อนจะชี้มาที่ผม “ไม่เห็นต้องเครียดเลย เธอหันไปหาคนนั้นสิ เขาคงช่วยปลอบใจเธอได้บ้าง นี่หลี่เซียวเหยา ตอนนี้นายเลเวลไหนแล้ว? ในเกมถูกจัดอยู่อันดับที่เท่าไรแล้วล่ะ?”
ผมลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป “เลเวล 1 จัดอยู่อันดับที่ 1 ล้านพอดีเป๊ะ...”
หลินหว่านเอ๋อร์ถึงกับช็อกเป็หินไปเลยครับ “มีคนเล่นเกมนี้ 1 ล้านคน... แต่นาย... นาย... โอ๊ย... นายเป็ความอัปยศของเกมนี้จริงๆ เลย!”
ผมเงียบ
ตงเฉิงเยว่ยิ้ม “ไม่เป็ไรหรอกเซียวเหยา รอให้ฉันมีเวลาว่าง เดี๋ยวฉันพานายไปเก็บเลเวลเอง...”
ผมพยักหน้า “ขอบใจนะตงเฉิง เธอมีน้ำใจมากกว่าคุณหนูของพวกเราอีกนะเนี่ย....”
หลินหว่านเอ๋อร์หันมามองผมด้วยสายตามุ่งมาดสังหาร “หืม? เมื่อกี้นายว่าไงนะ ช่วยพูดอีกครั้งซิ...”
ผมถือตะเกียบแน่น “รีบกินเถอะ กินเสร็จต้องรีบกลับไปเก็บเลเวลอีก...”
……
เวลาบ่ายโมง ณ หมู่บ้านสุนัขฟาง
เคร้ง!
ดาบเหล็กถูกฟาดออกไปอีกครั้ง ขณะนั้นเองมันก็ถูกปกคลุมด้วยพลังบางอย่างจนทำให้ร่างกายผมสั่นสะท้าน ก่อนที่แสงสีทองจะเปล่งประกายรายล้อมรอบตัวผม พร้อมกับเสียงจากระบบที่ดังขึ้นข้างหู
ติ๊ง!
ข้อความจากระบบ: ยินดีด้วย ท่านผ่านการฝึกฝนแล้ว และได้สร้างสกิลขึ้นใหม่ ผลลัพธ์ของสกิลที่ท่านได้รับคือ เมื่อท่านถือดาบ พลังการต่อสู้ของท่านจะเพิ่มขึ้น 10% โปรดตั้งชื่อสกิลใหม่ของท่าน!