พลังธาตุไฟในอากาศหลั่งไหลเข้าไปในไข่มุกอย่างบ้าคลั่งจนเกิดแสงสว่างเจิดจ้า ่เวลาแห่งการดูดกลืนกินเวลากว่าครึ่งชั่วยามจึงค่อย ๆ สงบลง เวลานี้ไข่มุกอยู่ในสถานะอิ่มตัว หลังจากกลืนกินพลังธาตุไฟไปมากมายก็ปรากฏพื้นผิวสีแดงขึ้นมาจาง ๆ ราวกับว่าไข่มุกนั้นได้เพิ่มพลังธาตุไฟเข้าไปแล้ว
เย่เฟิงไม่รีบร้อนให้ไข่มุกปล่อยหยดน้ำสีเขียวในทันที แต่กลับเดินออกมาจากถ้ำ แล้วทอดสายตามองไปยังเส้นขอบฟ้าที่มีแสงสว่างสะท้อนออกมา ฉับพลันดวงตาของเขาก็เป็ประกายขึ้นมา
“แดนมรดกปรากฏแล้วหรือ?” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเองพร้อมเผยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นลงจากเขาแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น บัดนี้เย่เฟิงผสานกับธาตุไฟแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากเปลวเพลิง เขาสามารถปลดปล่อยการโจมตีที่แข็งแกร่งออกมาได้ ทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ เช่นนี้ก็สามารถแย่งชิงมรดกของแดนลับมาได้แล้ว
ณ เก้าแดนมรดก ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ผู้คนก็ยิ่งหลั่งไหลกันมาที่นี่และรุกหน้าเข้าไปในแดนมรดก ตอนนี้มีคนหลายสิบคนที่ตกอยู่ในสภาวะเรียนรู้ ร่างกายของพวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยพลังจนเกิดประกายแสงสว่างเจิดจ้า
ตอนนั้นเองในแดนมรดกส่วนหนึ่ง มีบางคนตื่นขึ้นมาจากการเรียนรู้ ร่างกายถูกล้อมรอบไปด้วยแสงสืบทอดอันทรงพลัง วงแหวนชะตาด้านหลังเปล่งประกายเรืองรองสว่างสดใส คนผู้นี้คือฟู่เจิน ศิษย์อัจฉริยะจากวังเทพโอสถ เวลานี้ดวงตาของฟู่เจินเป็ประกาย ร่างกายอัดแน่นไปด้วยพลังวิถี บรรยากาศดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ เหมือนเปลี่ยนเป็คมชัดขึ้น
“ฟู่เจินแข็งแกร่งจริง ๆ พร์ก็น่าทึ่ง เป็คนแรกที่ออกจากสภาวะเรียนรู้ คล้ายกับว่าเขาเชี่ยวชาญในด้านนี้เลย ไม่รู้ว่าในอนาคตเขาจะแสดงปาฏิหาริย์อะไรออกมาอีก?” เมื่อผู้คนเห็นฟู่เจินตื่นขึ้นมา สายตาของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไป การเรียนรู้พลังมรดกของวังเทพโอสถนั้น ฟู่เจินนับว่ามีความสามารถที่โดดเด่น
ฟู่เจินมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นเงาร่างหลายสิบคนอยู่ในแดนมรดกห้าลำดับแรก เขาก็ย่นคิ้วเล็กน้อย ดวงตาทอประกายแสงเย็นะเืราวกับว่าเขาเป็เ้าของแดนมรดกนี้แต่เพียงผู้เดียว และไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นมาล่วงเกินได้
“สวะสองคนนี้ก็มาที่นี่ด้วยหรือ ช่างเป็การดูถูกแดนมรดกอันศักดิ์สิทธิ์เสียจริง!” ฟู่เจินจ้องมองนักดาบแขนเดียวและเซี่ยจวิ้นหลงที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาเ็าแฝงแววเหยียดหยาม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแดนมรดกสุดท้ายในเก้าแดนมรดกเป็มรดกสูงสุด มรดกสูงสุดนั้นมีเพียงคนเดียวที่จะได้เรียนรู้ ดังนั้นถ้าอยากได้มรดกสูงสุด สิ่งแรกที่ต้องทำคือกำจัดผู้ท้าชิงคนอื่น ๆ ขณะอยู่ในสภาวะเรียนรู้ การต่อสู้จึงเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เื่นี้ทุกคนต่างเข้าใจกันดี อัจฉริยะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมรดก ใครที่ยืนหยัดอยู่เหนือเมฆได้ ย่อมเป็ผู้ชนะ
“ตื่น!” เสียงะโดังออกจากปากของฟู่เจิน ทำให้คลื่นเสียงดังไปทั่วอากาศ เป็คลื่นเสียงที่ราวกับไร้ที่สิ้นสุด ทั้งยังสั่นะเืแก้วหูของทุกคน ทำให้เหล่าผู้คนที่อยู่ในสภาวะเรียนรู้ตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มสองคนที่อยู่แดนมรดกเดียวกับฟู่เจินได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะถูกคลื่นเสียงที่น่ากลัวกระชากออกจากสภาวะเรียนรู้ สีหน้าของพวกเขาขาวซีด บางคนถึงกับมีเืไหลออกมาจากมุมปาก เมื่อถูกบีบให้ออกจากสภาวะเรียนรู้อย่างกะทันหัน ทั้งสองจึงมองฟู่เจินด้วยสายตาที่เ็า แล้วหนึ่งในนั้นได้กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าสองคนยังไม่ทันบรรลุ เ้าทำเช่นนี้มันไม่เกินไปหรือ?”
ฟู่เจินเชิดหน้าพลางมองผู้พูด ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเ้าควรจะมาั้แ่แรก จงทำลายวรยุทธ์ตัวเองแล้วไสหัวไปซะ!”
ประโยคนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคน!
“แม้ฟู่เจินจะมีพร์ที่แข็งแกร่ง แต่ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ ทำอะไรที่สิ้นคิด นอกจากบีบให้พวกเขาตื่นจากสภาวะเรียนรู้แล้ว ยังบังคับให้ทำลายวรยุทธ์ของตัวเองอีกด้วย ช่างทำตัวไร้กฎเกณฑ์เสียจริง!” ฝูงชนพากันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ตอนนี้พวกเขารับรู้ถึงความเย่อหยิ่งของฟู่เจินแล้ว เขาทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็เ้าของที่แห่งนี้ ไม่ว่าเขา้าสิ่งใด คนอื่นจะต้องทำตามและห้ามให้ใครขัดคำสั่งเขาโดยเด็ดขาด
เมื่อสองคนนั้นได้ยินคำพูดของฟู่เจินสีหน้าก็เปลี่ยนไป แล้วมองฟู่เจินด้วยสายตาเ็า ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะกล่าวว่า “อย่าให้มันมากเกินไปนัก ให้พวกข้าสองคนทำลายวรยุทธ์ของตัวเองงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”
ฟู่เจินคิ้วกระตุกพร้อมดวงตาเปล่งแสงเย็นะเืออกมา แล้วกล่าวอย่างเ็า “ในเมื่อดื้อด้านนัก ก็จงรับเพลิงโทสะของข้าฟู่เจินผู้นี้ไปซะ!”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ฟู่เจินก้าวไปข้างหน้า พลันแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนร่างกายะเิลมปราณอันน่ากลัวออกมา แรงกดดันที่น่าเกรงขามพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนเข้ากดดันชายหนุ่มทั้งสอง สีหน้าของพวกเขาพลันเขียวปั้ด และเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองค่อย ๆ หนักอึ้งขึ้น กระทั่งก้าวเท้าก้าวหนึ่งก็กลายเป็เื่ที่ยุ่งยาก
ตอนนั้นเองมีฝ่ามือหนึ่งฟาดออกมา ฝ่ามืออันน่ากลัวที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายเปลวไฟได้พุ่งทะยานไปหาชายหนุ่มสองคนนั้น พลังนั่นราวกับเผาผลาญได้ทุกอย่าง ทั้งสองคนพลันตื่นตระหนก ก่อนจะปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาต้านทาน แต่ก็ไร้ประโยชน์ เนื่องจากฟู่เจินเข้าใจพลังมรดกได้บางส่วน พลังโจมตีจึงน่ากลัวมาก บวกกับชะตาอันแข็งแกร่งที่ช่วยเสริมพลังโจมตี ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกยุทธ์ทั่ว ๆ ไปจึงไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้
เมื่อถูกฝ่ามือเพลิงเข้าโจมตี เสียงกรีดร้องสองสายจึงโหยหวนออกมา ร่างของชายหนุ่มทั้งสองถูกซัดจนกระเด็นออกไป ทันทีที่ร่วงลงบนพื้น จึงเกิดเปลวไฟขึ้นมาเผาร่างอย่างบ้าคลั่ง ทำให้พวกเขากลิ้งทุรนทุรายอยู่บนพื้น เพื่อดับไฟบนร่างกายของตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่ไฟธรรมดา จึงไม่สามารถดับได้ด้วยการกลิ้ง ในที่สุดทั้งสองก็ค่อย ๆ อ่อนแรงลงแล้วถูกไฟคลอกจนตาย ในอากาศต้องเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้ชวนอาเจียน
“อึก! การโจมตีที่ประสานกับธาตุไฟนั่น ทรงพลังมาก!” ผู้คนเห็นฉากที่น่ากลัวนี้ต่างก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมา
ฟู่เจินผู้นี้ไม่เพียงแต่บ้าอำนาจ แต่ยังลงมืออย่างโเี้ เพียงเพราะสองคนนั้นเลือกแดนมรดกเดียวกับเขาและไม่ทำลายวรยุทธ์ตามที่เขาสั่ง จึงถูกฝ่ามือเพลิงของเขาสังหารจนตายคาที่ อีกอย่างเขายังผสานธาตุไฟที่เขาเรียนรู้มาเข้ากับการโจมตี ทำให้พลังของมันน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ที่โลกภายนอก คนของวังเทพโอสถส่วนใหญ่ต่างให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของฟู่เจินที่แดนมรดกในแดนลับ ซึ่งฉายอยู่บนท้องฟ้า เมื่อเห็นฟู่เจินแสดงความแข็งแกร่ง หลายคนจึงปรบมือขึ้นมา คนของวังเทพโอสถก็ควรจะแข็งแกร่งเช่นนี้ในที่ของตน
ฟู่หยางเองก็ลุกขึ้นปรบมือ พร้อมเอ่ยออกมาว่าทำได้ดี ฐานะของเขาในวังเทพโอสถนับว่าไม่เลว แล้วยังมีบุตรธิดาที่น่าทึ่งเช่นนี้อีก ถึงตอนนั้นตำแหน่งประมุขจะไม่ใช่เขาอีกหรือ
“อ่อนแอเพียงนี้ ยังกล้าเข้ามาที่แดนมรดกของวังเทพโอสถอีกหรือ?” ฟู่เจินชักมือกลับมา พร้อมกับเปลวไฟบนฝ่ามือที่มอดดับไป เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างครุ่นคิด ราวกับกำลังเลือกเหยื่อรายใหม่ สุดท้ายสายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ร่างของนักดาบแขนเดียว ก่อนจะเดินออกไป เขาเดินผ่านแดนมรดกอื่น ๆ จนเข้าไปในแดนมรดกที่นักดาบแขนเดียวอยู่
“นักดาบแขนเดียว! คนต่อไปที่ฟู่เจินจะจัดการก็คือนักดาบแขนเดียวงั้นหรือ?” ดวงตาทุกคนพลันเบิกกว้าง หัวใจเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ฟู่เจินเรียนรู้แดนมรดกของตัวเองแล้วก็ไม่คิดจะไปแดนมรดกรองลงมา แต่กลับเดินมายังแดนมรดกที่นักดาบแขนเดียวอยู่
สายตาอันคมกริบจับจ้องไปยังนักดาบแขนเดียวที่อยู่ในสภาวะเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง พลันกระตุกยิ้มเ็าก่อนจะพูดว่า “ตื่นเดี๋ยวนี้ สุนัขชั้นต่ำ!”
น้ำเสียงฟู่เจินทรงพลังมาก และเจาะจงเรียกนักดาบแขนเดียวเพียงคนเดียว ช่างร้ายกาจยิ่งนัก พลันมีลำแสงประหลาดห้อมล้อมร่างนักดาบแขนเดียว ทำให้เขาได้รับบางอย่างที่ตน้า ปราณดาบอันน่าเกรงขามได้แผ่ออกมาจากร่าง พร้อมกับกลิ่นอายเพลิง ทว่าเสียงะโของฟู่เจินก็ส่งผลกระทบต่อนักดาบแขนเดียวไม่น้อย ทำให้เขาตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นมา พร้อมดวงตาปรากฏความผันผวนและประกายแสงอันคมกริบ
“เ้า้าสิ่งใด?” นักดาบแขนเดียวเอ่ยถามอย่างเ็า การถูกขัดจังหวะตอนกำลังเรียนรู้ ไม่ว่าใครก็อารมณ์ไม่ดีทั้งนั้น มิหนำซ้ำอวัยวะภายในยังได้รับความเสียหายรุนแรงอีก
“ออกไปซะ!” ฟู่เจินกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง ราวกับว่าถ้าหากเขาลงมือ นักดาบแขนเดียวจะไม่เหลือโอกาสใด ๆ
“ไสหัวไป!” ฟู่เจินตะคอกเสียงดังแล้วฟาดฝ่ามือใส่นักดาบแขนเดียวโดยไม่พูดพร่ำเพรื่อ ฝ่ามือนั่นบดบังดวงอาทิตย์ แฝงด้วยปราณเพลิงราวกับจะเผาไหม้ทุกสิ่งให้เป็จุณ!
นักดาบแขนเดียวกะพริบตาปริบ ๆ สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย อวัยวะภายในของเขาได้รับาเ็ จึงไม่อาจรวบรวมพลังมาต่อสู้กับฟู่เจินได้อย่างเต็มที่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้และฟู่เจินเป็ฝ่ายลงมือก่อน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็ฝ่ายเสียเปรียบ แต่มีหรือฟู่เจินจะสนใจ นักดาบแขนเดียวเป็สหายของเซี่ยจวิ้นหลง หากเขาจัดการนักดาบแขนเดียวได้ก็เท่ากับเป็การตบหน้าเซี่ยจวิ้นหลง
เมื่อฝ่ามือผลาญ์พุ่งเข้ามาใกล้ นักดาบแขนเดียวจึงชักดาบออกมา รังสีดาบอันดุดันผ่าพลังฝ่ามือไปอย่างรวดเร็ว ทว่าพลังฝ่ามือที่หลงเหลืออยู่นั้น ยังคงพุ่งเข้าหานักดาบแขนเดียว ทำให้อีกฝ่ายต้องถอยร่นพร้อมกับเืที่ไหลตรงมุมปาก
“ตายซะ!” ฟู่เจินแสยะยิ้มอย่างโเี้และไม่ปล่อยให้นักดาบแขนเดียวมีโอกาสได้ตั้งตัว เขาพุ่งเข้าไปหานักดาบแขนเดียวอีกครั้ง แล้วโจมตีอีกฝ่ายด้วยพลังฝ่ามือ พลังโจมตีนี้รุนแรงกว่าเมื่อครู่มาก ร่างกายของนักดาบแขนเดียวจึงมีาแเพิ่ม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงก้าวไปข้างหน้า เพื่อเผชิญหน้ากับพลังฝ่ามือของฟู่เจิน ก่อนตวัดดาบฟัน รังสีดาบแฝงไปด้วยเจตจำนงดาบ มันพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
เพียงพริบตารังสีดาบทะยานเข้ามาใกล้ร่างของฟู่เจิน ราวกับจะผ่าร่างของฟู่เจินเป็สองส่วน ฟู่เจินพลันหน้าถอดสี ก่อนจะถอยหลังไปอย่างรวดเร็วพร้ะคอกออกมาว่า “ไอ้ขยะ นี่เ้าไม่รักชีวิตแล้วหรือไร?”
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีแบบทุ่มสุดตัวของนักดาบแขนเดียว ฟู่เจินก็ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ไม่ได้สลายพลังของตัวเอง ดังนั้นฝ่ามือจึงกระแทกไปที่ร่างของนักดาบแขนเดียว จนอีกฝ่ายปลิวกระเด็นออกไปจากแดนมรดก แต่เพลงดาบสุดท้ายที่นักดาบแขนเดียวปล่อยออกไป แม้จะพยายามหลบแล้ว แต่ยังก็สร้างาแไว้ที่แขนของฟู่เจินอยู่ดี ทำให้ใบหน้าของฟู่เจินบิดเบี้ยวขึ้นมา เขาคือสุดยอดอัจฉริยะ แต่กลับได้รับาเ็จากขยะที่ไม่เคยอยู่ในสายตามาก่อนนะหรือ?
“นักดาบแขนเดียวผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอเลย ดาบของเขาเร็วมาก แม้แต่ฟู่เจินก็ยังได้รับาเ็!” ฝูงชนพากันถอดทอนใจ พวกเขาล้วนตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของนักดาบแขนเดียว
“หากนักดาบแขนเดียวไม่ถูกฟู่เจินขัดจังหวะตอนเรียนรู้เข้าเสียก่อน แพ้ชนะคงยากจะตัดสินได้” มีบางคนกล่าวเสียดสีกับวิธีการที่ไร้ยางอายของฟู่เจิน
“ต่ำช้า!” ขณะนั้นมีเสียงเ็าดังมาจากที่ไหนสักแห่ง วินาทีต่อมาฝูงชนเห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมา ฝีเท้ามั่นคงราวกับมีท่วงทำนองพิเศษ ช่างดูห้าวหาญมาก
เงานั่นเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้านักดาบแขนเดียว แล้วประคองร่างเขาขึ้นมา ก่อนสายตาอันเย็นเยียบจับจ้องไปยังฟู่เจิน “ขัดจังหวะตอนเรียนรู้ ฉวยโอกาสลงมือขณะที่อีกฝ่ายาเ็หนัก เ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่?”
เสียงของเย่เฟิงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกคนหันไปมองเขาเป็ตาเดียว เมื่อเห็นรัศมีชะตาห้าสีของเย่เฟิง รูม่านตาก็หดเล็กลงด้วยความใ
