สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 29
“คุณนายคะ!!!”
“อะไรอีกล่ะแสน”
“เอ่อคือนายหัว นอนอยู่หน้าบ้านค่ะ”
“ปล่อยมันนอนอยู่ตรงนั้นแหละ โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วถ้ามันคิดไม่ได้ก็ปล่อยมันนอนอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องไปสนใจมัน”
“แต่ว่าคุณนายคะ เดี๋ยวยุงกัดแล้วถ้าเกิดป่วยขึ้นมา-...”
“ไม่ต้อง!!! รามมันลูกเธอรึไง!”
“เอ่อ...ไม่ใช่ค่ะ” แม่บ้านหน้าถอดสีแล้วล่าถอยกลับไปอยู่ในครัวตามเดิมของเธอ ระยะเวลาเกือบอาทิตย์ที่นายหัวน้อยรามสูรเมามายมีสภาพไม่ต่างจากหมาข้างถนนกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ บางวันก็กลับเช้า เธอตามข่าวไปตามข่าวมาก็รู้ว่าหลังจากโหมงานหนักจนลืมวันลืมคืนทุก ๆ เย็นนายหัวจะนั่งกินเหล้ากันกับคนงานที่แคมป์คนงานทุกวันจากนั้นก็ยิงยาวจนบางวันฟ้าสางถึงกลับบ้านได้ สาเหตุที่นายหัวรามสูรเมามายไม่เป็ผู้ไม่เป็คนแบบนี้ก็คงเพราะการเลิกกับคุณม่านหยี่ เื่การเลิกกันระหว่างนายหัวกับคุณม่านถูกคุณนายรุ่งฤดีสั่งให้เก็บเงียบเป็ความลับห้ามปริปากเอ่ยมันออกมาแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะชื่อม่านหยี่อดีตคนรักของนายหัวกลายเป็คำต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงแม้แต่นึกถึงยังไม่กล้า
“แม่...มันเป็ไรทำไมไปนอนหน้าบ้าน” กลายเป็ว่านายหัวอัสนีพี่ชายของนายหัวรามสูรกลับเกาะมาในวันนี้เห็นสภาพน้องชายที่นอนกอดรองเท้าอยู่หน้าบ้านก็ได้แต่สงสัยจากนั้นร่างสูงก็แบกร่างของน้องชายที่เมามายไม่ได้สติพาดบ่าข้างหนึ่งก่อนจะพามันเดินเข้าบ้านมา
“มันเลิกกับพ่อคนนั้นแล้ว”
“...” อัสนีไม่ถามอะไรต่อทำเพียงแค่เลิกคิ้วเท่านั้น
“อืม...ผู้ชายคนนั้นทำกับน้องแกไว้แสบนะ ทำกับฉันไว้แสบด้วย มันเป็ลูกของไอ้ศิลา”
“ศิลา?”
“ก็ศิลาที่มันกับฉันไม่ถูกกันนั่นไง”
“ไหนว่าเป็เด็กกำพร้า”
“มันกับพ่อมันรวมหัวกันแต่งเื่โกหกเราทุกคน ทั้งน้องแก ทั้งฉัน ทั้งแก กลายเป็คนโง่ให้ม่านหยี่หลอก”
“ม่าน...” คนเมายังคงรำพึงรำพันหาอดีตคนรักทุก ๆ ครั้งที่ได้ยินชื่อม่านหยี่
“จิ๊!!!” อัสนีเขย่าแขนน้องชายราวกับอยากให้มันได้สติและตื่นขึ้นมาคุยกันให้รู้เื่ดีกว่าปล่อยให้แม่พูดเื่ทั้งหมดทั้งเื่จริงและไม่จริงให้เขาฟังในตอนนี้
“ม่าน...อึก”
“พามันไปไกล ๆ ตาฉัน เห็นแล้วรับสภาพไม่ได้ เบื่อจะฟังมันพร่ำเพ้อพรรณนาถึงผู้ชายคนนั้นจนจะอ้วกแล้ว” คุณนายรุ่งฤดีโบกมือไล่ให้ลูกชายจัดการธุระครั้งนี้ให้เสร็จ ๆ ไปเธอไม่อาจทนมองหน้าลูกชายคนเล็กได้นานกว่านี้แม้อีกเพียงนาทีเดียว รามสูรทำงานทำการก็จริงแต่สภาพเมามายเป็คนไม่ได้สติแบบนี้เธอไม่เคยได้รับมันจากใครไม่ว่าจะคนพี่หรือบิดาผู้ล่วงลับของรามสูรก็ตาม
“เื่มันเป็ไงมาไงวะ”
“...”
“ไอ้ราม มึงไม่ต้องมาแกล้งหลับ กูรู้นะ”
“...รู้ดี” รามสูรถอนหายใจหนัก ๆ พร้อมกับลืมตาขึ้นมองเพดานสีขาวที่อยู่เบื้องบน
“น่าจะให้นอนนอกบ้านให้ยุงสูบเืจนหมดตัวเลยซะก็ดี”
“...เออ”
“พูดมาไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียง มันเกิดเหี้ยอะไรขึ้น”
“ก็เื่เหี้ย ๆ ที่มึงได้ยินจากแม่นั่นแหละ”
“กูอยากได้ยินจากปากมึง พูดมา”
สุดท้ายแล้วสองพี่น้องก็ต้องทำการปรับทุกข์กันสองคนอีกตามเคย รามสูรจำต้องเล่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้พี่ชายฟัง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เล่ามันด้วยน้ำตาอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้าแและความเ็ปมันยังไม่แห้งเหือดหายไปไหนแต่น้ำตาของนายหัวรามสูรไม่ไหลอีกต่อไปแล้ว
“แล้วมึงจะเอายังไง”
“เอายังไงคือยังไง”
“...”
“มึงยังคิดว่าให้กูรักคนแบบนั้นได้ลงคออยู่อีกเหรอ”
“สาบานกับกูมั้ยว่าตอนนี้มึงไม่ได้ยังรักเขาอยู่”
“...”
“เออ ๆ ไม่ทำก็ไม่ต้องทำ เลิก ๆ กันไปนั่นแหละดีแล้ว แม่จะได้เลิกบ่นเื่มึงซักที”
“แต่มันก็เจ็บนะ กูมืดไปหมดไม่รู้จะทำยังไงเลย กูไม่อยากกลับบ้านก็อย่างที่มึงเห็น แม่ก็เป็แบบนี้”
“อืม...กูเข้าใจ ที่มาวันนี้ก็เื่แม่นี่แหละ”
“ทำไมวะ”
“ก็ที่คุยกันไว้ว่าจะให้แม่ไปพักอยู่โรงแรมจนกว่าจะรักษาตัวหายนั่นไง หมอโทรมาหากูบอกว่าติดต่อแม่กับมึงไม่ได้ เลยให้กูมาตาม”
“กูไม่ได้พกโทรศัพท์ ส่วนคุณนายรุ่งฤดีก็คงตามสไตล์แกอ่ะไม่อยากไป”
“คนแก่นี่แม่งเอาใจยากกว่าเด็กอีกนะ เด็กพูดไม่รู้เื่พอเราบอกเราสอนมันก็ฟังนะ แต่พอเป็คนแก่แม่งชอบยกเอาอายุตัวเองมาอ้าง แล้วก็พูดไม่รู้เื่พูดไม่ฟัง กูโคตรเหนื่อยใจ” อัสนีได้ทีบ่นให้น้องชายที่สุดท้ายแล้วก็จำต้องยอมรับฟังเพราะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แถมยังมีแม่คนเดียวกันอีก
“พูดอย่างกับมึงมีลูกแล้ว”
“ไม่ละกูไม่รีบ เลี้ยงเด็กมันของง่ายซะที่ไหน ซนก็ที่หนึ่ง ดื้อก็ปานนั้น”
“เนี่ยบ่นเหมือนพ่อเลย”
“...”
“แต่พ่อไม่ขี้บ่นเหมือนมึง”
“เดี๋ยวจะโดนตีนกู ๆ ” คนเป็พี่ชี้นิ้วคาดโทษน้องชาย
“มึงไม่อยากมีแฟนบ้างเหรอวะ” ท่ามกลางความเงียบภายในห้องนอนขนาดใหญ่และแสงตะวันยามสายที่มันส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่อาบไล้เข้ามาจวนจะถึงสองคนพี่น้องที่กำลังนั่งคุยกันบนเตียง รามสูรพาดลำตัวยาว ๆ ของตนเองขวางไปบนเตียงหลังกว้าง ส่วนอัสนีก็นั่งหย่อนขาข้างหนึ่งพลางแกว่งมันไปมาอยู่ข้างกันกับน้องชาย
“มึงก็ดูแม่สิ”
“กูว่าถ้าเป็มึงแม่คงจะยอม”
“หึ มึงไม่เห็นเพนนีรึไง”
“อันนั้นแม่รู้ว่าไม่จริง”
“...กูไม่อยากพาเขามาลำบากกับกู มึงก็รู้ว่าแม่เป็คนยังไง เห็นมั้ยขนาดมึงที่รั้นหัวชนฝาจะแต่งกับม่าน สุดท้ายแล้วจุดจบของพวกมึงสองคนยังเป็แบบนี้เลย”
“...มันต่างกัน”
“มันไม่ต่างกันหรอก”
“...”
“พูดก็พูด กูเชื่อมั่นในตัวมึงนะราม เชื่อสายตาของมึงที่มึงบอกว่าไม่ว่าจะยังไงมึงจะแต่งงานกับม่านหยี่ให้ได้ มึงพยายามจนกูเชื่อว่าพวกมึงจะผ่านแม่ไปได้ ไม่คิดว่าสุดท้ายมันจะเป็แบบนี้”
“ถ้ามึงลองรักใครซักคนจริง ๆ กูก็เชื่อว่ามึงจะทำได้เหมือนกัน”
แล้วความเงียบก็เข้ามาแทนที่บทสนทนาระหว่างสองพี่น้องอีกครั้ง ทั้งคู่ปล่อยความเงียบทำหน้าที่ของมันไปอย่างนั้นไม่มีใครพูดอะไร ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจชั่วครั้งชั่วคราวของคนพี่และคนน้อง ภายนอกห้องนอนกว้างข้างหลังประตูไม้สักบานใหญ่นั้นผู้เป็มารดากำลังยืนเงียบฟังบทสนทนาที่เธอไม่มีโอกาสจะได้ยินมัน ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตลูกชายทั้งสองไม่วางใจให้เธอรับรู้เื่ราวส่วนตัวของพวกเขา สาเหตุมาจากอะไรผู้เป็แม่ก็รู้ดีแก่ใจแล้ว...
“แม่ทำไมไม่รับโทรศัพท์อาหมอ”
“ฮะ? หมอโทรมาเหรอ โทรมาั้แ่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่เห็นได้ยิน” คุณนายรุ่งฤดีไม่ได้มีทีท่าจะตื่นเต้นหรือรู้สึกผิดว่าตนนั้นได้ทำการผิดนัดนายแพทย์ประจำไข้ที่เธอกำลังรักษาตัวด้วยเลย นั่นก็เป็เพราะเธอไม่ได้ตั้งใจไม่รับโทรศัพท์แต่เป็การเมินเฉยต่อเสียงเรียกเข้าและทำการปิดเสียงเครื่องมือสื่อสารราคาแพงนั่นไปเสียให้พ้นเื่ก็เท่านั้น
“อาหมออยากให้แม่ไปอยู่ที่โรงพยาบาล”
“โอ๊ย! ฉันไม่ไปหรอก สกปรกก็สกปรกคนก็เยอะใครมันจะไป พวกแกเบื่อฉันเลยหาทางเอาฉันไปทิ้งที่โรงบาลก็บอกมาเถอะ”
“ครับ”
“เอ๊ะ ตาอัส!!!”
“หรือถ้าแม่ไม่ไปอยู่ที่โรงพยาบาลแม่ก็ไปอยู่ที่โรงแรม ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้หาหมอทัน”
“นี่แช่งแม่เรอะ!”
“แม่...แม่ก็ฟังพวกผมหน่อยสิ อย่าดื้อนักได้มั้ย พวกผมเป็ห่วงแม่ ถ้าไปอยู่ที่โรงแรมก็จะได้อยู่ใกล้หมอ เดี๋ยวผมจะจ้างพยาบาลพิเศษสองคนมาเฝ้าไข้แล้วแม่ก็เอาแม่บ้านไปได้เยอะแยะเท่าที่แม่้าเลยถ้าแม่กลัวแม่เหงา”
“...”
“นะแม่ อยู่นู่นมันสะดวกกว่าถ้าเกิดอยู่บนเกาะเป็อะไรไปใช้เวลาตั้งสองชั่วโมงกว่าจะไปถึงฝั่ง เครื่องบินส่วนตัวก็ไม่ใช่จะว่างทุกเวลาขนาดนั้น ฮอบนฝั่งเขาก็ไม่ได้สแตนด์บายรอแค่เราคนเดียวนะแม่”
“เฮ้อ ตาอัสแกพูดมาก ฉันก็จะไปอยู่แล้วละ เลิกบ่นได้แล้วเชื้อไม่ทิ้งแถวพ่อแกจริง ๆ เลย” รามสูรเกือบสำลักข้าวเมื่อได้ยินมารดาพูดอย่างนั้น เขาไอโขลกจนหน้าดำหน้าแดงก่อนที่จะรับเอาแก้วน้ำจากแม่บ้านดื่ม
“อะไรล่ะพ่อคนนี้ โผล่หัวมากินข้าวกับแม่ได้แล้วเหรอ”
“ถ้าแม่พูดแบบนั้นกับมันแม่ก็จะได้กินข้าวกับมันแค่วันนี้วันเดียวแหละ”
“เฮ้อ ไอ้นู่นก็ไม่ได้ไอ้นี่ก็ไม่ได้ เด็กสมัยนี้มันเอาแต่ใจจังเลยนะ” คุณนายรุ่งฤดีบ่นขิงข่าและลมฟ้าอากาศไปเรื่อย เธออดยอมรับไม่ได้ว่าดีใจที่อย่างน้อยลูกชายคนเล็กก็ยอมออกมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วย ไม่เพียงเท่านั้นอัสนีลูกชายคนโตของเธอก็กลับเกาะมาทานข้าวร่วมกันและที่ยิ่งไปกว่านั้นคือลูกชายทำทีท่าห่วงเธอและพูดกล่อมเธอตั้งหลายประโยคเพื่อที่จะให้เธอกลับฝั่งไปนอนที่โรงแรม ถึงอัสนีจะทำไปเพราะห่วงสุขภาพของเธอก็เถอะแต่อย่างน้อยลูกชายยังคงไม่หมางเมินต่อกันไป
“เอ้อนี่ตาราม ถ้าพรุ่งนี้แม่กลับกับตาอัสแล้ว ตอนเย็นหนูปริมจะมาทานข้าวด้วย อย่าลืม...”
“อีกแล้วเหรอแม่...”
อัสนีวางช้อนส้อมลงบนจานข้าวจากนั้นก็ส่ายหัวเพราะมารดาของเขากำลังจะทำทุกอย่างพังไม่เป็ท่าอีกครั้งแล้ว
“ก็หนูปริมเขาเป็ห่วงแก เขาเลย”
“ผมไม่้าความห่วงใยจากใครไม่ว่าจะแม่หรือปริม หรือใครก็ตาม ผมอยู่ของผมเองได้”
“...”
“ทำไมแม่ไม่เลิกยัดเยียดคนอื่นเข้ามาในชีวิตของผมซักที! ทำไมแม่ต้องเอาแต่ใจตัวเองเอาแต่คนที่แม่พอใจ”
“...”
“ผมพูดกับแม่เื่นี้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว แต่แม่ก็ยังไม่เลิก ไม่ว่าจะยังไงแม่ยังคงยัดเยียดปริมเข้ามาในชีวิตผม! ผมไม่ได้รักปริมและไม่มีวันจะรักปริมหรือใครก็ตามที่แม่หามาให้!!!”
“ราม...”
“พอผมรักของผมอยู่ดี ๆ แม่ก็ทำลายมันทิ้งด้วยสองมือของแม่ ผมแม่ง...โคตรเหนื่อยเลยแม่รู้มั้ย ผมไม่อยากให้มันเป็อย่างนี้ บางทีมันอาจเป็อย่างนี้ก็ได้ ถ้าแม่ไม่ แม่ไม่...”
“ที่ฉันทำไปทั้งหมดเพราะหวังดี แกเคยรับความหวังดีของฉันมั้ย!!!”
“ผมไม่อยากได้ความหวังดีของแม่ ไม่เคยอยากได้!!! ไอ้อัสมันก็ไม่เคยอยากได้ เมื่อไหร่แม่จะยอมรับซักทีว่าผมกับมันเป็เกย์ ลูกชายแม่สองคนไม่มีทางจะรักผู้หญิงหรือแต่งงานกับผู้หญิง เราไม่มีวันจะมีลูกให้แม่ได้อย่างที่แม่้า ยอมรับความจริงซักที!!!”
“แกหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!!!”
“แม่อยากฟังอะไรอีก ผมพูดไปหมดแล้ว”
“แก...แก...”
“แม่!!!” // “แม่!!!” รามสูรที่ยืนเผชิญหน้ากับมารดาอยู่สังเกตเห็นความผิดปกติก่อนคนแรก คุณนายรุ่งฤดีหอบหายใจแรงขึ้น ใบหน้าซีดเผือด มือเหี่ยวย่นข้างหนึ่งจับที่หน้าอกตนเองจากนั้นมารดาก็ทำท่าเหมือนจะทรุดลง รามสูรรีบวิ่งเข้ามาหามารดายังดีที่อัสนีพี่ชายของเขาก็สังเกตเห็นอาการเหล่านี้เช่นเดียวกัน อัสนีทันรับมารดาเอาไว้ไม่ให้เอนล้มลงไปหัวฟาดพื้นเสียก่อน ลูกชายทั้งสองคนของคุณนายรุ่งฤดีร้องเรียกแม่บ้านให้มาช่วยกันปฐมพยาบาล อัสนีละมือจากมารดาเพื่อต่อสายโทรศัพท์ถึงอาหมอซึ่งอยู่บนฝั่งเพื่อแจ้งอาการของมารดากับทางโรงพยาบาลและประสานงานให้เฮลิคอปเตอร์มารับมารดาให้เร็วที่สุด โรงพยาบาลเอกชนที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดและได้มาตรฐานที่สุดในจังหวัดภูเก็ตสามารถส่งเฮลิคอปเตอร์มารับคุณนายรุ่งฤดีได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสามสิบนาที รามสูรให้น้องชายพาร่างไร้สติของมารดาไปยังลานจอดเครื่องบิน เขาทำการเคลียร์เครื่องบินส่วนตัวและเครื่องบินสำหรับรับส่งแขกที่มาพักภายในโรงแรมออกเหลือเพียงลานโล่ง จากนั้นไม่นานเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ก็ทำการลงจอดเพื่อรับร่างของคุณนายรุ่งฤดีและลูกชายซึ่งเป็ผู้ติดตามเพื่อไปยังโรงพยาบาล คืนนี้คงเป็คืนที่ยากลำบากสำหรับชัยพิพัฒน์กรุ๊ปอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไหวแน่เหรอแกว่า”
“ไม่น่าไหวนะถ้ายังเป็แบบนี้อยู่”
“เอายังไงดี”
เสียงซุบซิบดังลอดผ่านเข้ามาในโสตประสาทของคนป่วยที่นอนซมอยู่บนเตียง มือเท้าของเขาถูกโซ่เส้นใหญ่ล่ามเอาไว้ มันยาวพอที่จะให้ม่านหยี่สามารถเดินไปเข้าห้องน้ำและรับเอาถาดอาหารจากประตูหน้าห้องได้ แต่มันไม่ยาวพอที่อนุญาตให้ม่านหยี่ได้เดินออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้ได้
“พี่ปุ้ย”
“ค...คะ”
“แม่เป็ยังไงบ้าง”
“เอ่อ...”
“บอกผมมาเถอะ” เพราะเขาก็ทำใจกับอาการของแม่มาสักพักแล้ว และที่เป็อยู่นี้ก็ไม่แน่ใจว่าเขาหรือแม่ที่จะลาโลกนี้ไปก่อนกัน
“ก็ทรง ๆ ค่ะ แต่ว่ามีหยุดหายใจบ่อยขึ้น แล้วก็...”
“แล้วก็อะไร”
“...เอ่อคือ”
“พูดมาเถอะ”
“คงไม่น่าจะเกินหนึ่งหรือสองอาทิตย์นี้ค่ะ”
“...อย่างนั้นเหรอ” ม่านหยี่หลับตาพลางยิ้มหยันให้กับโชคชะตา ถ้าแม่ตายคงเป็เหมือนรางวัลชิ้นใหญ่ที่จะยืนยันชัยชนะให้กับบิดาของเขา ถ้าแม่ตายพ่อก็จะไม่มีเครื่องมือมาต่อรองให้เขาทำงานสกปรก ๆ ให้อีก มันคงถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยแม่ให้ไปสบายอย่างนั้นสินะ
“ม่านขอโทษนะแม่ ที่มาหมดแรงเอาตอนนี้” ม่านหยี่เงยหน้าพูดกับความว่างเปล่าในห้องนอนสี่เหลี่ยมได้แต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่ามารดาคงจะได้ยินเสียงเขาและให้อภัยอย่างที่เขากำลังขอโทษอยู่ในตอนนี้
“เราจะช่วยคุณม่านได้ยังไงแกคิดซิปุ้ย”
“ช่วยยังไงล่ะพี่นา ลำพังตัวเองยังจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว หันไปทางไหนก็ปืนเต็มไปหมด นี่มันนรกชัด ๆ พี่ก็รู้”
“แต่แกจะปล่อยคุณม่านไว้แบบนี้มีหวังได้ตายสถานเดียว นายน่ะอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่รู้วันไหนจะเดินมาทำร้ายคุณม่านอีก” นางพยาบาลที่ถูกจ้างมาคอยเฝ้าดูอาการมารดาของม่านหยี่ถูมือเข้ากับแขนของตนเองแล้วก็ทำทีท่าขนพองสยองเกล้า ั้แ่ที่คุณม่านหยี่กลับมาสามวันแรกก็ถูกนำตัวไปขังเอาไว้ที่โกดังร้างท้ายเกาะจากนั้นก็ถูกพาตัวมาล่ามเอาไว้ที่ห้องนอนเก่าของเธอ ยามดึกสงัดทุกค่ำคืนเสียงฝีเท้ากับหมัดหนัก ๆ ยังคงฟาดลงไปที่ตัวคุณม่านหยี่การกระทำป่าเถื่อนนั้นเป็ฝีมือพ่อที่ไม่อาจเรียกตนเองว่าพ่อได้อีกแล้ว เธอสองคนมีหน้าที่แค่เอาอาหารสามมื้อมาให้และไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่หน้าห้องนี้เกินห้านาทีก็ต้องรีบพาตัวเองสาวเท้ากลับไปยังห้องคนป่วยที่อยู่ปีกอีกฟากหนึ่งของตึก
ก๊อก ๆ ๆ
“คุณม่านคะ” ทั้งสองคนตัดสินใจร่วมกันว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเธอต้องช่วยคุณม่านหยี่ให้หลุดออกจากนรกที่นี่ให้ได้
“คุณม่าน”
“ครับ”
“พวกเราเคยได้ยินว่าคุณม่านมีคนรักที่ชื่อรามสูร ใช่คุณรามลูกชายคุณนายรุ่งฤดีมั้ยคะ”
“...ครับ”
“บ้านคุณนายรุ่งฤดีอยู่เกาะติดกันห่างออกไปไม่เท่าไหร่จากเกาะนี้ใช่มั้ยคะ”
“...ครับ” ม่านหยี่ไม่อยากพูดด้วยเพราะรู้สึกเจ็บระบมไปทั่วทั้งใบหน้าและลำตัว และอีกเหตุผลหนึ่งคือเขาไม่อยากให้รามเข้ามาเกี่ยวข้องในเื่นี้อีกต่อไปแล้ว
“ก่อนปุ้ยจะย้ายขึ้นไปอยู่บนฝั่ง ครอบครัวปุ้ยอยู่ที่นั่นมาก่อน”
“...”
“คุณม่านทำใจดี ๆ ไว้นะคะ พวกเราจะหาทางช่วยคุณม่านเอง” คิดเสียว่าเป็การทำบุญช่วยเหลือคนสองคนที่กำลังใกล้ตายอย่างนั้นแล้วกัน แล้วพวกเธอก็อาจได้อานิสงส์หมดเวรหมดกรรมกับสัญญาทาสที่กำลังถืออยู่ในตอนนี้ด้วย
“คุณแม่เป็โรคหัวใจแทรกซ้อนนะราม”
สองพี่น้องต่างพากันนิ่งเงียบเมื่อได้รับการแจ้งข่าวจากอาหมอใน่สายของวันหลังจากที่เมื่อคืนต้องหามคุณนายรุ่งฤดีส่งโรงพยาบาลกะทันหัน
“เกิดจากความเครียด บวกกับอายุและก็พฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเช่นการรับประทานอาหาร หรืออย่างที่บอกไปถ้าแม่เครียดบ่อย ๆ ก็มีโอกาสกำเริบได้ แต่จะเรียกว่าโรคคนแก่ก็ไม่ผิดหรอกนะ เพราะส่วนมากจะพบในคนแก่”
“แล้วอย่างนี้มันจะอันตรายมากมั้ยครับอา กับมะเร็งที่แม่เป็อยู่”
“อืม...จริง ๆ ก็มีผลอยู่พอสมควรนะ คงต้องปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่เลยละ เดี๋ยวอาจะให้แพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจที่เป็เพื่อนอาเข้ามาดูเคสของแม่ด้วย แต่เบื้องต้นตอนนี้อาการไม่มีอะไรน่าเป็ห่วง ได้ฤกษ์กลับเข้าฝั่งมานอนที่โรงแรมแล้วสินะ”
“ครับอาถ้าไม่เกิดเื่เมื่อคืนขึ้นคงจะดื้อแพ่งหาทางอยู่เกาะอีก”
“นั่นละคนแก่ บอกอะไรไม่เคยจะฟัง”
“ขอบคุณมากครับอาหมอ” // “ขอบคุณครับ”
อัสนีและรามสูรไหว้ลาอาหมอซึ่งเป็ญาติทางฝั่งพ่อของตนหลังจากที่คุณนายรุ่งฤดีรู้แล้วว่าตนเองต้องรักษาตัวให้หายจากโรคมะเร็งเธอก็งอแงว่าต้องเป็อาหมอที่เป็ญาติกันเท่านั้นที่จะสามารถรับเอาเคสเธอเข้าไปดูแลได้ เดือดร้อนทางโรงพยาบาลต้องประสานงานกับนายแพทย์ใหญ่ให้รับเอาเคสญาติพี่น้องเข้าไปดูแล ที่คุณนายรุ่งฤดีเธอทำอย่างนี้ได้ก็เพราะเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดหลักที่เธอบริจาคให้แก่โรงพยาบาลเอกชนทุกปีมันทำให้เธอมีสิทธิ์ออกคำสั่งไม่เว้นแม้แต่กับนายแพทย์ ไม่เพียงเท่านั้นเพื่อนสนิทของเธอยังเป็ภริยาของผู้บริหารโรงพยาบาลใหญ่อย่างนั้นถึงทำให้เธอมีสิทธิ์ออกคำสั่งกับใครก็ได้
“มึงกลับไปนอนก่อนไป”
“ไม่ มึงแหละไปกูจะเฝ้าเอง”
“รามมึงอย่าดื้อได้มั้ย”
“กูไม่ได้ดื้อ”
“...”
“...”
“มันไม่ใช่ความผิดของมึง”
“อืม...”
“กลับไปนอนที่โรงแรม กูจะให้คนขึ้นไปทำความสะอาดห้องของมึงเอาไว้ให้”
“ไม่ละ มึงกลับสิ”
“กูพึ่งบอกว่าอย่าดื้ออยู่หยก ๆ”
“กูว่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่เกาะ เอาพี่แพงกับแม่บ้านมาซักสองสามคน”
“อย่างนั้นก็ตามใจถ้าง่วงก็ค่อยมาตอนเย็นก็ได้”
“อืม”
ร่างแกร่งลุกยืนขึ้นเต็มความสูงพลางใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บดลงไปยังเปลือกตาหนาหนัก จนตอนนี้เขาและอัสนีผู้เป็พี่ยังไม่มีใครได้นอนหลับเลยสักคน หลังจากที่ส่งแม่เข้าห้องฉุกเฉินเขาทั้งคู่ก็นั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งกลางดึกที่อาหมอออกมาบอกว่าอาการแม่ยังคงที่ และเมื่อสักครู่ที่อาหมอออกมาบอกกับพวกเขาอีกครั้งว่ามารดาพ้นขีดอันตรายแล้ว
มือหนาคว้าอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าด้านหลังของกางเกงยีนส์ก่อนที่จะต่อสายหาคนของตนเพื่อถามว่าเรือที่อยู่บนฝั่งมีว่างอยู่หรือไม่ ไม่ลืมที่จะบอกให้คนที่สำนักงานส่งคนมารับเขาที่โรงพยาบาลและเตรียมเรือลำที่ว่างเอาไว้สำหรับเขา นายหัวรามสูรที่กรำงานหนักและดื่มแอลกอฮอล์หนักไม่แพ้กันเมื่อมาเผชิญกับเื่เครียดอีกยิ่งทำให้สุขภาพของเขาแย่ลง ั์ตาคมดุลึกโบ๋ขอบตาดำคล้ำ จากที่เคยเป็ผู้ชายใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้กลับซูบตอบไร้สีเื
“นายหัวไหวมั้ยคะ”
“ขอยาแก้ปวดหัวสองเม็ด”
“ได้ค่ะ”
“พี่แพง...”
“คะ?”
“พี่กับแม่บ้านอีกสองคนเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าซักสี่ห้าชุดนะ เดี๋ยวผมจะให้ไปอยู่เป็เพื่อนแม่ซักอาทิตย์หนึ่ง แล้วก็เก็บชุดให้ผมด้วยสามชุด”
“ค่ะ”
“อยู่โรงบาลแค่ไม่กี่วันก็คงย้ายไปอยู่โรงแรมแล้วละ”
“ค่ะได้ค่ะนายหัว”
รามสูรรับเอายาแก้ปวดหัวจากแม่บ้านและกลืนมันลงคอไปในทันที ไม่นานหลังจากนั้นนายหัวรามสูรก็ผล็อยหลับไปบนโซฟาตัวใหญ่บริเวณห้องนั่งเล่นของบ้าน แผงอกแกร่งกระเพื่อมขึ้นลงเป็จังหวะสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเ้าของมันกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราลึก
กว่าที่นายหัวรามสูรจะตื่นท้องฟ้าด้านนอกก็มืดมิดไปเสียหมดแล้ว ร่างแกร่งงัวเงียลุกขึ้นมาในเวลาเย็นย่ำของวันนาฬิกาข้อมือบอกเวลาสองทุ่มกับอีกสิบสองนาที
“เชี่ย!!!” รามสูรสบถออกมาห่าใหญ่ ร่างสูงกุลีกุจอควานมือหาโทรศัพท์ที่แน่ใจว่าเหน็บเอาไว้ที่กระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์แต่กลับพบว่าเครื่องมือสื่อสารราคาแพงนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น หน้าจอโทรศัพท์โชว์ว่ามีสองสายที่ไม่ได้รับซึ่งมาจากอัสนีพี่ชายของเขา รามไม่รอช้ารีบโทรกลับหาคนพี่ทันที
“เออ ขอโทษทีกูเผลอหลับ”
//กูว่าแล้ว//
“แม่เป็ไงบ้าง”
//ฟื้นแล้ว แต่ยังงง ๆ อยู่//
“อืม หมอว่าไงบ้าง”
//ไม่ว่าอะไร แค่มาดูอาการแล้วก็บอกว่าอีกสองสามวันอาการน่าจะกลับมาเป็ปกติ//
“อืม”
//มันดึกแล้วมึงไม่ต้องมาหรอก อยู่นี่กูจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแล้วสองคน//
“...อืม แล้วมึงกินอะไรรึยัง”
//ออกไปกินมาแล้ว วันนี้น่าจะนอนที่โรงพยาบาลกับแม่ มึงอ่ะ//
“ยัง พึ่งตื่น”
//เออ ๆ ไปหาอะไรกิน เดี๋ยวได้อาการหนักอีกคน//
หลังจากที่วางสายไปแล้วใช่ว่านายหัวรามสูรจะทำตามคำสั่งของพี่ชาย ร่างสูงนั่งเอนหลังอยู่ที่โซฟาจากนั้นก็แหงนหน้าให้หัวทุยของตนเองวางแนบลงไปกับพนักพิง ก่อนที่จะหลับตาลงและนั่งเงียบ ๆ อยู่คนเดียวอย่างนั้น เสียงพัดลมบนเพดานยังคงดังเป็จังหวะของมันอย่างเช่นทุกวัน บ้านหลังใหญ่นี้ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย มันเคยอบอุ่นเมื่อมีบิดาของเขาอยู่ ว่างเปล่าเมื่อบิดาของเขาตายจาก และกลับมาอบอุ่นอีกครั้งเมื่อมีม่านหยี่ และสุดท้ายก็กลับไปว่างเปล่าอีกครั้งเมื่อไร้เงาของคนคนนั้น
“ทำไมมันยากอย่างนี้วะม่าน ทำไมมันยากขนาดนี้วะ” ไม่ว่าจะเป็การลืมคนรักที่หักหลัง จากที่เคยมีจุดหมายปลายทางรออยู่กลับกลายเป็ว่าเขาต้องใช้ชีวิตในแต่ละวันเพื่ออยู่ต่อไปโดยที่ไร้จุดหมาย ปัญหาทุกอย่างที่มันกำลังรุมเร้าเขาอยู่ในตอนนี้ เขามองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นี้เลย
“ถ้ายังมีม่านอยู่ด้วยกันตอนนี้ก็คงดี” ทำได้เพียงแต่บอกกับสายลมให้มันหอบความหวังน้อยนิดนี้ไปทิ้งลงทะเลจะดีเสียกว่ายอมรับเอาคนชั่วคนนั้นเข้ามาอยู่ในชีวิตเขาอีกครั้ง