เรียนมหาวิทยาลัย?
เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงนิ่งอึ้ง ไม่ใช่แค่เธอ หลิวหย่งและคังเหว่ยที่กำลังกินอาหารอยู่ก็ตะลึงงันเช่นกัน
เส้ากวงหรงจะเรียนมหาวิทยาลัย?
อย่าล้อเล่นได้ไหม เส้ากวงหรงทำงานมาหลายปีแล้ว เขาไม่เหมือนกับคังเหว่ย ตอนนี้เื่งานก็กำลังไปได้สวย ทั้งยังอยู่ใน่กำลังเติบโตอีกด้วย
เรียนจบระดับอาชีวศึกษาในยุคนี้ถือว่ามากพอแล้ว แต่จะไม่พอและห่างชั้นจากระดับปริญญาตรีคือเื่ในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า
เซี่ยเสี่ยวหลานจำได้ว่าหลังปี 1996 นักศึกษาที่เรียนจบมหาวิทยาลัยจะไม่ได้รับการจัดสรรงานให้ แม้แต่ผู้จบระดับปริญญาตรียังถูกปฏิบัติเช่นนี้ ผู้ที่จบระดับอาชีวศึกษายิ่งต้องดิ้นรนเข้าไปใหญ่ ตอนนั้นคนที่เริ่มทำงานมาแล้วหลายปียังต้องลงเรียนระหว่างทำงานไปด้วยเพื่อเอาวุฒิการศึกษาเพิ่ม หากไม่เพิ่มวุฒิการศึกษาให้ตัวเอง พวกเขาก็จะต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายอย่างยามประเมินเลื่อนตำแหน่ง แต่ตอนนี้เพิ่งปี 1984 เท่านั้น เส้ากวงหรงอยากเตรียมตัวล่วงหน้าเสียแล้วหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้หัวเราะเยาะสหายเสี่ยวเส้า แถมยังสนับสนุนให้เขาบอกเล่าความคิดของตนเองอีกด้วย
“คงไม่ได้ทำไปเพราะอยากหนีการดูตัวหรอกใช่ไหม?”
เส้ากวงหรงส่ายหน้า
ความคิดนี้เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหวั่นไหว การที่ครอบครัวอยากให้เขาไปดูตัวกับต่งลี่ลี่เป็ตัวจุดประกายก็จริง แต่มันคือการจุดประกายความคิดที่มีอยู่เป็ทุนเดิมแล้วต่างหาก ั้แ่เส้ากวงหรงได้ไปที่หัวชิง เมล็ดพันธุ์ของความคิดนี้ก็ฝังรากลงในจิตใจั้แ่นั้นเป็ต้นมา
เส้ากวงหรงพิจารณาอย่างดีแล้ว ตอนนี้ที่บอกความคิดของตนให้ทุกคนรับรู้ ที่จริงตัวเขาเองก็ตัดสินใจไปในแล้วระดับหนึ่ง
“ฉันอยากทำมันจริงๆ ฉันรู้สึกว่าการไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยมันน่าเสียดาย”
คนเราไม่ว่าอยากใฝ่หาความรู้ในเวลาไหนย่อมไม่ใช่เื่ผิด เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ดับไฟในตัวเส้ากวงหรง เธอแค่พูดสถานการณ์ตามความเป็จริงให้เขาฟังเท่านั้น “ตอนนี้เป็่ปลายเดือนตุลาคมแล้ว ยังมีเวลาอีกเจ็ดเดือนเต็มก่อนจะถึงกำหนดสอบเกาเข่าในปี 1985 ตอนนี้เธออายุ 22 ปี ถ้าปีหน้าสอบไม่ติด ปีต่อไปเธอก็จะอายุ 23 ... อีกอย่างคือเื่งาน ถ้ารอจนกว่าเธอจะเรียนจบ ก็เท่ากับเธอต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
ภาครัฐจะจัดสรรงานให้กับเส้ากวงหรงหรือเปล่ายังไม่แน่ ทว่าฟังจากน้ำเสียงของเส้ากวงหรงแล้ว เขาคงอยากทิ้งงานเพื่อจะได้มีเวลาเรียนอย่างเต็มที่
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้มากนัก ยุคนี้มีวุฒิการศึกษาที่สามารถเรียนพร้อมทำงานไปด้วยได้หรือเปล่า เธอไม่รู้เลย
เส้ากวงหรงสามารถยกระดับการศึกษาของตนในภายหลังได้ ทว่าไม่มีใครรับประกันได้ว่า การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในตอนนี้จะทำให้อนาคตของเขาดีขึ้นกว่าเดิม
แต่สหายเสี่ยวเส้าอยากเล่าเรียน เื่นี้ก็ไม่ใช่เื่ผิด
บางครั้งคนเราจะคิดแต่ผลประโยชน์ไม่ได้ ความปรารถนาที่จะใฝ่หาความรู้ ้าเพิ่มพูนความรู้ให้กับตนเองเช่นนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยแน่นอน
เส้ากวงหรงยังไม่หมดความกระตือรือร้น พอได้ยินเซี่ยเสี่ยวหลานพูดแบบนี้ ยิ่งทำให้เขาตัดสินใจแน่วแน่ “ฉันทราบแล้ว พี่สะใภ้ ฉันจะกลับไปคิดให้ดี”
คังเหว่ยรู้สึกใมาก
พวกเขาเป็เด็กเรียนแย่เหมือนกัน แต่ทำไมจู่ๆ เพื่อนของเขากลับอยากตั้งใจเรียนขึ้นมาอย่างกะทันหันเล่า
อีกหน่อยหากเขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย ก็จะไม่ได้เป็เพื่อนกับเส้ากวงหรงแล้วหรือเปล่า
อาหารมื้อนี้ เดิมทีคังเหว่ยมาเพื่อหัวเราะเยาะเส้ากวงหรง นึกไม่ถึงเลยว่าเส้ากวงหรงจะกลายเป็ศูนย์กลางของบทสนทนา แต่ทุกคนไม่สนว่าเขาจะดูตัวกับใคร เพราะมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วน่ะสิ!
หลังจบมื้ออาหาร หลิวหย่งกลับมายังบ้านพักก็อดบ่นกับเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้
“เสี่ยวหลาน หลานว่าขนาดเสี่ยวเส้ายังอยากร่ำเรียนต่อ หลานอยู่หัวชิงอย่าชะล่าใจเด็ดขาด หลานสามารถสอบเข้าหัวชิงได้ นั่นนับว่าเป็สิ่งที่ใครหลายคน้าแต่ก็ไม่อาจคว้ามา!”
หลิวหย่งไม่ได้เรียนมาสูง แต่วิสัยทัศน์ของเขานั้นกว้างไกล
เขามีความคิดที่ต่างจากเซี่ยฉางเจิง เด็กผู้หญิงเรียนมหาวิทยาลัยไปก็ไม่มีประโยชน์อย่างนั้นหรือ?
โอกาสเป็สิ่งที่์มอบให้ จะใช้ประโยชน์อย่างไรขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เส้ากวงหรงฉลาดหรือไม่นั้นไม่ทราบ แต่ทั้งที่พื้นเพครอบครัวละม้ายคล้ายกัน เื่งานคังเหว่ยกลับสู้เส้ากวงหรงไม่ได้ คนฉลาดเฉลียวยังอยากเรียนต่อเพื่อหาความรู้ หลิวหย่งคิดว่าการที่เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่หัวชิงนั้นย่อมไม่ผิดแน่!
เพราะเส้ากวงหรงเคยไปที่หัวชิงถึงได้ตัดสินใจเรียนต่อ ทว่าคังเหว่ยไม่เข้าใจ เขาจึงตั้งใจมาที่หัวชิงติดกันสองวันเพื่อเดินดูสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เขาอยากัับรรยากาศของผู้มีอารยธรรม คอยดูว่าตัวเองจะ ‘ตื่นรู้’ อย่างกะทันหันได้บ้างหรือไม่
ไม่ตื่นรู้ด้านวัฒนธรรม แต่ด้านความรักคังเหว่ยรู้แจ้งแล้วน่ะสิ!
หากใช้คำพูดเดิมของคังเหว่ยก็คือ ตอนที่เขากำลังเดินเล่นอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ขณะที่เขากำลังร้อนใจเพราะติดฝนอยู่ตรงทางเดิน ก็เห็นร่างหนึ่งวิ่งถือหนังสือปิดศีรษะตรงมาหลบอยู่ใต้หลังคาของทางเดินเดียวกัน
“เธอยกหนังสือลงมา หน้าตาสะสวย ท่วงท่าก็สง่างาม...”
เซี่ยเสี่ยวหลานฟังแล้วก็รู้สึกขนลุกซู่ คังเหว่ยไม่เพียงพูดด้วยน้ำเสียงเคลิบเคลิ้ม แถมยังท่องบทกวี《ซอยสายพิรุณ》ของไต้วั่งซูให้เซี่ยเสี่ยวหลานฟังอีกด้วย!
นี่คือสิ่งที่คนนิสัยอย่างคังเหว่ยทำกันหรือ?
ที่แท้ในยุค 80 ผู้คนล้วนมีกลิ่นอายของวรรณคดีติดตัวกันหมดสินะ
เซี่ยเสี่ยวหลานอดถามต่อไม่ได้ “แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
คังเหว่ยหน้าแดง “ไม่มีหลังจากนั้นแล้วล่ะ”
หลังฝนหยุดโปรยปราย สาวเ้าก็จากไปทันที คังเหว่ยไม่ทันได้ถามแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ ทว่าเื่แบบนี้เขามีความกล้าเสียที่ไหน!
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าคังเหว่ยแค่พูดล้อเล่นเท่านั้น
แต่หากเป็เื่จริง คังเหว่ยก็คงไม่มีเวลาคบใครอยู่ดี เนื่องจากกลางเดือนพฤศจิกายน คังเหว่ยต้องเดินทางกลับไปที่เผิงเฉิงอีกครั้งแล้วน่ะสิ
ตอนแรกตกลงกันดิบดีว่าธุรกิจเป็ของทุกคน จะให้สหายหญิงอย่างไป๋เจินจูทำงานอยู่คนเดียวไม่ได้ ทว่าภายหลังร้านขายวัสดุก่อสร้างเริ่มก่อร่างสร้างตัว เธอก็ได้ยินว่าเถ้าแก่หลิวแห่งเทียนเฉินแนะนำงานมาให้ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลิวหย่งเองก็ร้อนใจ จึงไม่กล้าอยู่ปักกิ่งอีกต่อไป
ขากลับ เขาพกเงินสองแสนหยวนที่ผู้จัดการใหญ่อู่อนุมัติสินเชื่อให้กลับไปพร้อมกันอีกด้วย
เขาซื้อพันธบัตรรัฐบาลไปสองหมื่นหยวน ถือเป็การตอบแทนความช่วยเหลือของผู้จัดการใหญ่อู่
ผู้จัดการใหญ่อู่อยากให้เซี่ยเสี่ยวหลานมาขอความช่วยเหลือจากเขาอีกหลายๆ ครั้งเหลือเกิน เขาจึงลองถามหยั่งเชิงอยู่หลายรอบ ว่านอกจากคุณลุงที่เป็เถ้าแก่จากทางใต้ เซี่ยเสี่ยวหลานยังมีคุณลุงคนไหนอีกหรือเปล่า
แน่นอนว่าเซี่ยเสียวหลานยังมีลุงอยู่อีกคน มือพิการ และถูกเ้าของบ้านไล่ไปอยู่ที่อื่นหลายต่อหลายครั้ง
ส่วนอีกคนได้ยินว่าติดพนันอยู่ที่หมู่บ้านต้าเหอ
สองคนนี้ไม่มีทางเป็ลูกค้าชั้นเลิศในสายตาของผู้จัดการใหญ่อู่ หลังเซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าตนไม่มีคุณลุงคนอื่นที่สามารถซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้อีกแล้ว ผู้จัดการใหญ่อู่ก็รู้สึกผิดหวัง “ถ้าเช่นนั้นนักศึกษาเซี่ย ่นี้มีอะไรให้ฉันช่วยอีกหรือเปล่าล่ะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า “ฉันอยากร่วมการแข่งขันทักษะภาษาอังกฤษระดับมหาวิทยาลัย คุณช่วยฉันได้หรือเปล่าคะ”
ผู้จัดการใหญ่อู่ตอนแรกพยักหน้าตอบรับ แต่ไม่ทันไรเขาก็ฉุกคิดว่าหรือเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังล้อเล่นอยู่นั่นเอง
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ล้อเล่น การแข่งรอบแรกจะจัดขึ้นวันที่ 9 พฤศจิกายน สนามสอบคือที่มหาวิทยาลัยหัวชิง
การแข่งขันครั้งนี้แทบไม่มีเด็กนักเรียนปีหนึ่ง กำลังหลักจึงตกอยู่ที่นักเรียนปีสูงๆ ทั้งสิ้น
หัวชิงใช่ว่ามีสอนแค่ภาษาอังกฤษ ภาษารัสเซีย ภาษาเยอรมัน และภาษาอื่นๆ ก็สามารถเลือกเรียนได้ทั้งนั้น ทำไมกระทรวงศึกษาธิการจึงจัดแข่งแค่ภาษาอังกฤษ การทำเช่นนี้ทำให้นักศึกษาชั้นปีสูงๆ รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานรู้เหตุผลดี เพราะอีกยี่สิบสามสิบปีข้างหน้า ภาษาอังกฤษจะกลายเป็วิชาบังคับในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หัวชิง้าเป็มหาวิทยาลัยที่เทียบเคียงระดับโลก ย่อมอยากผลักดันระดับการศึกษาในด้านวิชาภาษาอังกฤษ ใครใช้ให้ตอนนี้ประเทศอเมริกาคืออันดับหนึ่งเล่า เงินดอลลาร์มีอำนาจสูงที่สุดในตลาด อยากได้เงินตราต่างชาติ ไม่เรียนภาษาอังกฤษแล้วจะเรียนอะไร
เรียนภาษารัสเซียไม่มีอนาคต สหภาพโซเวียตผู้ยิ่งใหญ่จะล่มสลายในปี 1991 ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่ 7 ปีเท่านั้น
7 ปีให้หลัง เธออยากเลียนแบบเศรษฐีในอนาคตคนหนึ่ง ใช้รถไฟบรรทุกอาหารกระป๋องไปยังสหภาพโซเวียตหลังล่มสลาย จากนั้นก็จะได้เงินเทียบเท่าค่าเครื่องบินสี่ลำกลับมา เื่แบบนี้นึกขึ้นได้เมื่อไร ต้องรีบจดบันทึกไว้ในสมุด!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้