เหอตังกุยตื่นจากความฝันอันยาวนานพร้อมน้ำตา ในฝันลูกสาวของนางเดินมาหาพร้อมเข็มสีเงินหนึ่งซอง ก่อนขอร้องนางอย่างไร้เดียงสา “ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าการฝังเข็มของท่านสามารถช่วยคนจากความตายได้ ท่านช่วยข้าได้หรือไม่เ้าคะ ข้ายังเห็นโลกใบนี้ไม่มากพอเลยเ้าค่ะ”
เมื่อนางลืมตาก็เห็นเตียงไม้สีน้ำตาลขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ได้กลิ่นหอมคุ้นเคยจากหมอนอย่างน่าประหลาดใจ หากเดาถูก กลิ่นนี้คือกลิ่นอำพันทะเลซึ่งเป็กลิ่นที่ใช้ในราชวังโดยเฉพาะ ชาติที่แล้วกลิ่นนี้คือกลิ่นที่จูฉวนชื่นชอบที่สุด เมื่อใดที่ได้กลิ่นหอมนี้ก็หมายความว่าเขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว ไม่รู้ว่านางมีความทรงจำลึกซึ้งเกี่ยวกับกลิ่นหอมนี้ั้แ่เมื่อไร ทั้งยังเคยขออำพันทะเลชิ้นเล็กจากเขาใส่ไว้ในหมอนให้มีกลิ่นหอมทั้งวันทั้งคืน มิน่าล่ะ เหตุที่นางฝันถึงลูกสาวก็เป็เพราะกลิ่นหอมนี้นี่เอง
ที่นี่คือที่ใด? เหอตังกุยลุกขึ้นนั่ง ที่นี่ไม่ใช่ห้องของนาง ต้องเป็เรือนทิงจูแน่นอนเพราะบนเตียงไม่มีผ้าม่านและมุ้ง นางจำได้ว่ารู้สึกเจ็บหน้าอกจึงใช้เวลาทั้งบ่ายผนึกจุดสำคัญบนหน้าอกเพื่อหลีกเลี่ยงอาการลมปราณเจินชี่พลุ่งพล่าน จากนั้นสายตาของนางก็เริ่มมืดพร้อมจมูกที่ค่อย ๆ ได้กลิ่นหอมของอำพันทะเล...
“ตื่นแล้วหรือ เ้าลองกดจุดเฟิงฉื่อและจุดชีเหมินดูว่ามีอาการปวดหรือไม่ หากเ็ปหรือไม่ไหว ให้นำลมปราณเจินชี่เข้าสู่จุดตันเถียน”
เมื่อมองตามเสียงไปยังห้องโถงด้านข้างก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาคล้ายลู่เจียงเป่ยนั่งอยู่ข้างโต๊ะหยก นางไม่ค่อยรู้จักเขานักจึงถามอย่างตรงไปตรงมา “เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่? คุณชายเฟิงอยู่ที่ใด?”
“เ้าถามหาเขาทำไม?” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่พอใจ “คนที่ช่วยเ้าคือข้า เ้าควรรีบขอบคุณข้า”
“อ้อ ขอบใจ” เหอตังกุยมองเหยือกชาบนโต๊ะ “มีน้ำหรือไม่?”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนรินน้ำชาให้อย่างไม่เต็มใจ เขายกถ้วยชาเข้ามาช้า ๆ แล้ววางลงตรงหน้าอีกฝ่าย
มองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณชายใหญ่ท่านนี้ไม่เคยยกน้ำชาให้ใครมาก่อน แต่เหอตังกุยเคยชินสีหน้าทุกประเภทแล้วจึงไม่เอ่ยบ่น เพียงยกชาขึ้นดื่มด้วยสองมือ ชาอุ่น ๆ ทำให้นางสบายตัวยิ่งนัก เมื่อนางคิดถึงชาเย็น ๆ ในห้องก็พลันเลิกผ้าห่มออกอย่างไม่เกรงใจ ก่อนลงจากเตียงวิ่งไปที่โต๊ะพร้อมรองเท้านุ่ม ๆ ที่ไม่คุ้นเคยเพื่อรินน้ำชาดื่ม
เมื่อเหอตังกุยดื่มชาถ้วยที่สามก็ได้ยินเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มดังขึ้น “นี่ เ้าชื่อเหอตังกุยใช่หรือไม่? ในเมื่อตอนนี้ข้าทำลายชื่อเสียงของเ้าแล้ว...พรุ่งนี้ข้าจะไปเจรจาสู่ขอเ้าเป็อนุภรรยากับเหล่าไท่ไท่ เ้าคิดเห็นอย่างไร?”
แรกเริ่มเหอตังกุยสงสัยว่าตนหูฝาด แต่เมื่อก้มลงมองร่างสาวน้อยของตน รวมถึงเสื้อผ้าที่เรียบร้อยก็ยังคงสงสัยว่าตนหูฝาดเช่นเดิม ใครทำลายชื่อเสียงใคร ใครจะขอใครแต่งงาน?
หนิงยวนมองออกว่านางงุนงงจึงเอ่ยเตือนสติ “เท้าเ้าคู่นั้น ข้าเห็นหมดแล้ว”
“เฮ้ย” เหอตังกุยอุทานพลันรู้ตัวว่าตนไม่ได้สวมถุงเท้า ยิ่งไปกว่านั้นรองเท้าที่นางสวมใส่เป็ขนาดรองเท้าบุรุษ นางสวมรองเท้าบุรุษเข้าเสียแล้ว โชคดีที่ชุดของนางยาวมากพอจึงสามารถดึงคลุมเท้าได้อย่างรวดเร็ว”
“รูปเท้าของเ้างดงามมาก ขนาดน่าจะไม่ถึงสามฉื่อ ดูเหมือนเ้าจะไม่ได้มัดเท้าใช่หรือไม่? แม้ข้าจะไม่สนใจขนาดเท้าของสตรีที่มีแต่กำเนิด แต่ข้าก็คิดว่าการมัดเท้าจะทำให้เท้าดูดีขึ้นเมื่ออยู่ในวัยเจริญเติบโตเต็มที่” หนิงยวนมองสตรีผู้นั้นพลางเอ่ยวิจารณ์เท้าของนางอย่างเปิดเผย “ตอนออกจากเมืองหยางโจว ข้าตั้งใจจะพาเ้าไปด้วย อายุของเ้าไม่ใช่เื่สำคัญ เ้าสามารถอาศัยในจวนของข้าได้สองสามปีก่อนแต่งงานในฐานะอนุภรรยา เ้าจะได้ทำความคุ้นเคยกับบ้านใหม่ก่อนงานแต่งจะมาถึง”
เหอตังกุยทั้งใและโมโห “พี่ชาย เ้าพูดจาเหลวไหลอันใด? ใครจะไปกับเ้า?”
หนิงยวนเอ่ยเนิบนาบ “เท้าของสตรีมีค่ามาก มีเพียงสามีเท่านั้นที่สามารถเห็นได้ ในเมื่อข้าเห็นเท้าของเ้าแล้ว แม้เ้าและข้าจะเข้ากันไม่ได้ ข้าก็จะพยายามยอมรับ...”
“ตอนนี้เ้ารู้แล้วว่าข้ามีลมปราณเจินชี่ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปิดบัง ความจริงแล้วข้าเป็จอมยุทธ์หญิงในยุทธภพ” เหอตังกุยเอ่ยขัดจังหวะด้วยความโมโห “จอมยุทธ์หญิงเช่นพวกข้ามีนิสัยแข็งกระด้าง ไม่สนใจ “กฎของสุภาพสตรี” และข้าก็จะไม่แต่งงานกับเ้า”
“หา?” หนิงยวนขมวดคิ้ว “เสียมารยาทแล้ว ที่แท้แม่นางก็เป็คนในยุทธภพ ไม่ทราบว่าสมญานามของแม่นางคืออะไรหรือ ท่านอยู่ในกลุ่มถนนกลางวัน ถนนกลางคืน ถนนทางบกหรือทางน้ำหรือไม่?”
“ข้าเป็...จอมยุทธ์หญิงหยางโจว” เหอตังกุยคิดอยู่นานทว่ากลับคิดชื่อได้เพียงเท่านี้
หนิงยวนหัวเราะ “จอมยุทธ์หญิงหยางโจว? ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็ครั้งแรก มิน่าล่ะ เ้าจึงไม่กลัวซากนกตาย ที่แท้ก็เป็จอมยุทธ์หญิงน้อยนี่เอง...” แสงระยิบระยับเปล่งประกายจากดวงตาของเขาราวแสงจันทร์กระทบผิวน้ำ เขาเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เ้าใช้สิ่งใดทาหน้า? ผิวส่วนอื่นของร่างกายเ้าเป็สีขาวยกเว้นสองส่วนนี้”
“เ้าเห็นตรงไหน?” เหอตังกุยถลึงตามอง
“ทำไมเล่า? เปลี่ยนใจอยากให้ข้ารับผิดชอบเ้าแล้วใช่หรือไม่?” หนิงยวนส่งรอยยิ้มยียวน ก่อนหยิบถุงหอมออกจากเอวพลางเอ่ยเนิบนาบ “ตอนข้าถอดรองเท้าและถุงเท้าของเ้าก็เห็นว่าสีผิวที่เท้าแตกต่างจากใบหน้า ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงตรวจสอบสีผิวส่วนอื่นในร่างกายของเ้าด้วย แต่กระนั้นก็ยังไม่เห็นอะไรมากนัก จึงต้องเปิดดูให้เห็นเต็มสองตา...ข้าจะไม่ปฏิเสธ เ้าก็เห็นแล้ว” เขาดึงผมสีดำออกจากถุงหอม “นี่คือเส้นผมที่ข้าหยิบออกจากปิ่นของเ้า ถือเป็สัญลักษณ์ความสัมพันธ์ของเราสองคน คนธรรมดาคงไม่กล้าแต่งงานกับสตรีเช่นเ้า แม้ครั้งนี้เ้าจะปฏิเสธ แต่ภายในสามปีนี้ ข้าจะนำสินสอดมาสู่ขอเ้ากลับไป”
เมื่อเหอตังกุยได้ยินก็ขมวดคิ้วทันที นางไม่โกรธแต่กลับหัวเราะ “ข้าได้ยินว่าในยุทธภพมีทักษะยอดเยี่ยมสองสิ่งคือ ‘ทักษะการปลอมตัว’ และ ‘ทักษะการเปลี่ยนเสียง’ แต่ข้าก็ไม่เคยเห็น ที่น่าแปลกใจคือวันนี้ข้าได้เห็นทั้งสองสิ่งในเวลาเดียวกัน ทักษะการปลอมตัวของเ้านั้นยอดเยี่ยม แต่ทักษะการเปลี่ยนเสียงยังต้องปรับปรุง ระหว่างสนทนา น้ำเสียงและความเร็วในการพูดของเ้าเปลี่ยนไปถึงสามสี่ครั้ง” เมื่อนางเห็นสีหน้าใของเด็กหนุ่มก็อารมณ์ดีไม่น้อย ก่อนถอนหายใจพลางเอ่ย “ปัจจุบันนักเล่นแร่แปรธาตุเหล่านี้ค่อนข้างขาดความรับผิดชอบ ลูกศิษย์เรียนได้เพียงครึ่งเดียวก็ไล่ออกจากสำนัก ทำให้พวกเขาต้องขายหน้าต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ ตกเป็ขี้ปากชาวบ้านเสียเปล่า ๆ ”
หนิงยวนลุกขึ้นพลันกดคอเรียวเล็กของสตรีผู้นั้นลงบนโต๊ะทันทีด้วยสองนิ้ว “เ้าเป็ใคร? รู้ได้อย่างไรว่าข้าปลอมตัว?”
“เดิมทีข้าเพียงสงสัย แต่ตอนนี้เ้ายอมรับจากปากแล้ว” เหอตังกุยทรุดตัวลงบนโต๊ะพลางหาว “การปลอมตัวของเ้าไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือเสียงของเ้า ข้าคิดว่าเ้าเพียง้าปกปิดตัวตน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเ้าจะเป็ใครและสิ่งที่เ้าพยายามซ่อนคืออะไรล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า ขอเพียงเ้าคืนผมให้ข้าและสาบานว่าคืนนี้เ้าจะไม่เอ่ยถึงเื่นี้อีก ข้าก็จะไม่เปิดโปงเ้า”
หนิงยวนครุ่นคิดก่อนปล่อยนางออกไป นางเพิ่งรู้ว่าเขาปลอมตัว แต่นางไม่รู้ตัวตนแท้จริงของเขาด้วยซ้ำ คิดได้เช่นนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “เ้าปฏิเสธที่จะแต่งงานกับข้าเพราะเ้ายังไม่รู้สถานะจริง ๆ ของข้า หากเ้ารู้ว่าข้าเป็ใคร เกรงว่าเ้าจะเป็ฝ่ายอ้อนวอนอยากเป็อนุของข้าแทน”
“พี่ชาย การที่เ้าใช้อำพันทะเลนั้นถือว่าโอ้อวดเกินไป ครั้งต่อไปเมื่อปลอมตัวเป็คนอื่น เ้าคงต้องเปลี่ยนเครื่องหอมเสียแล้ว รีบคืนผมให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เหอตังกุยแบมือขอผมคืน คิดไม่ถึงว่าบุรุษคนนี้ไม่เพียงแอบมองร่างกายนางเท่านั้น ซ้ำยังขโมยผมของนางอีกด้วย ทว่าเมื่อคิดอย่างรอบคอบ นางก็อายุยี่สิบแปดปีแล้ว ไม่จำเป็ต้องสนใจเื่นี้มากนัก หากในชาติที่แล้วนางมีลูกชายตอนอายุสิบสี่ ลูกชายนางก็คงสูงเท่าเด็กหนุ่มคนนี้ คิดเสียว่าถูกลูกชายเห็นเรือนร่างก็แล้วกัน
หนิงยวนมองนางด้วยความประหลาดใจ “เ้ารู้จัก...อำพันทะเลด้วยหรือ? รู้จักได้อย่างไร?” มีเพียงราชวงศ์ที่ใช้อำพันทะเล ในทุกปีจะมีการถวายเครื่องหอมเพียงไม่กี่จินเท่านั้น จูหยวนจางมักมอบรางวัลให้แก่บุตรชายที่โปรดปรานสามถึงสี่คน หนึ่งในนั้นคือจูฉวน แม้แต่ผู้มีอำนาจมากมายก็ไม่เคยใช้เครื่องหอมนี้ น้อยคนที่จะจำมันได้ กระทั่งชายารองว่านหลิงก็ไม่รู้จักกลิ่นหอมนี้ แม้นางจะเป็ลูกสาวราชครูขององค์รัชทายาทขั้นสอง เคยเห็นความเจริญรุ่งเรืองมากมายของเมืองหลวง ทว่านางกลับไม่เคยได้กลิ่นหอมเช่นนี้มาก่อน
เมื่อเหอตังกุยรู้ว่าตนพลั้งปากก็เสียใจกับคำพูดเ่าั้ในใจ พลันรีบเอ่ยคำถามอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “นี่ เฟิงหยางตัวจริงอยู่ที่ใด? หากพวกเ้าจะหาคนมาปลอมตัว เหตุใดไม่หาคนที่พูดจาคล่องกว่านี้เล่า?” เมื่อนางเห็นอีกฝ่ายทำท่าราวจะพุ่งเข้ามาสังหารนางเสียให้ได้จึงวางมือที่หน้าอกพลางเอ่ย “หยุด หยุดอยู่ตรงนั้น ข้าไม่ได้สนใจความลับของพวกเ้า ตราบใดที่เ้าไม่ยุ่งกับข้า พวกเราก็สามารถเจรจาข้อแลกเปลี่ยนได้ คืนผมนั่นให้ข้าเถิด”
หนิงยวนมองเหอตังกุยด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนเอ่ยต่อรอง “ข้าคืนผมให้เ้าก็ได้แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ร่างกายภายในของข้าาเ็สาหัส ข้ากำลังมองหายอดฝีมือมารักษาอาการ ก่อนหน้านี้ข้าเคยช่วยเ้าแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ถึงเวลาที่เ้าต้องตอบแทนแล้ว หากเ้ารักษาแผลของข้าหายได้ ข้าจะคืนผมให้เ้า”
“ยอด...ฝีมือ?” เหอตังกุยชี้จมูกของตน เอ่ยถามด้วยท่าทีไม่อยากเชื่อทว่ากลับเต็มไปด้วยความคาดหวัง “เ้าหมายถึง...ข้า?”
หนิงยวนพยักหน้ามั่นใจ “แน่นอน ข้าไม่เคยเห็นสตรีใดที่มีกำลังภายในหนาแน่นเช่นเ้ามาก่อน แม้มันจะไม่คุ้มค่าให้เอ่ยถึง...” เมื่อเห็นใบหน้ามืดทะมึนของสตรีเบื้องหน้า ก็พลันคิดว่าตอนนี้เขายัง้านาง หนิงยวนจึงหันกลับมาเอ่ยอย่างยุติธรรม “เพื่อความยุติธรรม เ้าเรียกตัวเองว่า “จอมยุทธ์หญิงหยางโจว” ก็สมเหตุสมผล อาการาเ็ของข้า หากรักษาด้วยตัวเองก็ต้องใช้เวลาถึงสองเดือน แต่หากได้รับความช่วยเหลือจากเ้า ระยะเวลาอาจสั้นลงเหลือหนึ่งเดือน และหากเ้าดูแลข้าอย่างดี บางทีข้าอาจอารมณ์ดีจนรับเ้าเป็ชายารองก็เป็ได้”
เหอตังกุยได้ยินดังนั้นก็เดือดดาลจนแทบจะเข้าไปตบเขาเสียให้ได้ ทว่าน้ำเสียงของเขาก็ฟังดูเหมือนยอดฝีมือจริง ๆ ถือเป็โอกาสที่หาได้ยากยิ่งสำหรับเหอตังกุย นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “พี่ชาย เ้ารู้จักวิชาไหลเวียนกำลังภายในใช่หรือไม่?” เมื่อเห็นเขาพยักหน้าจริงจัง เหอตังกุยจึงยิ้มบางก่อนเอ่ย “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เ้าสอนวิธีไหลเวียนลมปราณให้ข้า ข้าก็จะช่วยรักษาเ้า เราทั้งสองต่างได้ประโยชน์ ดีหรือไม่?
“ได้ แต่เหตุใดข้าต้องสอนวิธีนี้ให้เ้าล่ะ?” เมื่อเขานึกถึงชีพจรที่ไม่เป็ระเบียบของนางก็พลันเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “เ้าไม่รู้วิธีไหลเวียนลมปราณเจินชี่หรือ? เช่นนั้นกำลังภายในที่หนาแน่นของเ้ามาจากที่ใดกัน?
เหอตังกุยผายมือไปด้านข้าง “ข้าไม่ถามความลับของเ้า และไม่ชอบให้ใครถามความลับของข้า “สอนวิชาไหลเวียนลมปราณ” แลกกับ “การรักษาหนึ่งเดือน” ตกลงหรือไม่?”
“ตกลง”
......
“ก๊อก ๆ ๆ ๆ ”
เหอตังกุยลืมตาพลางเห็นว่าเกือบจะรุ่งสางแล้วจึงสงสัยว่าใครเคาะประตู “ฉานอีหรือ?” เมื่อวานนางและไฮว่ฮวารอฉานอีถึงเที่ยงคืนแต่ก็ไม่เห็นนางกลับมา รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นวี่แววจึงผล็อยหลับไป
หยางมามาผลักประตูพลันเอ่ยด้วยใบหน้าร้อนใจ “คุณหนูสาม แย่แล้วเ้าค่ะ ท่านรีบสวมเสื้อผ้าแล้วตามข้าไปที่เรือนหลิวหลี่ตอนนี้เลยเ้าค่ะ”
“เรือนหลิวหลี่?” เหอตังกุยลุกขึ้นก่อนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พรุ่งนี้ค่อยไปไม่ใช่หรือ? วันนี้มิใช่ต้องสวดมนต์ให้คุณชายจูหรอกหรือ?” วันนี้นางนัดหมายกับหนิงยวนเพื่อเริ่มทำตามข้อตกลงเื่ “เรียนรู้วรยุทธ์และการรักษา ทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์” เป็วันแรก
“คุณหนูสาม คุณชายจูเกิดเื่อีกแล้วเ้าค่ะ ท่านรีบไปตรวจดูอาการเขาตอนนี้เลยเ้าค่ะ” หยางมามากล่าวด้วยใบหน้าขมขื่น “ต่งซื่อให้คนมาบอกว่าคุณชายจูหมดสติทันทีหลังกินแกงรังนกที่ท่านส่งให้เ้าค่ะ”
เหอตังกุยดึงผมยาวมาที่หน้าอกพลางใช้นิ้วสางช้า ๆ ขณะเดียวกันก็เอ่ยถาม “ข้าไม่ได้กินข้าวสองวันแล้ว จะเอาแกงรังนกจากที่ใดให้หลานจูกิน?”
“แท้จริงแล้วแกงถูกปรุงและส่งไปในนามของท่านตามคำสั่งของเหล่าไท่ไท่ นาง้าทำเช่นนี้เพื่อบรรเทาความโกรธของต่งซื่อ ด้วยคิดว่าพรุ่งนี้นางจะได้ไม่ทำให้ท่านลำบากใจ ทว่ากลับไม่มีใครคาดคิดถึงสิ่งนี้” หยางมามามองโดยรอบก่อนหยิบชุดสีเขียวคลุมร่างเหอตังกุยพลางอธิบาย “เมื่อวานเหล่าไท่ไท่กินพุทราไปลูกหนึ่งไม่ใช่หรือ? นางคิดว่าพุทรานั้นอาจแฝงพลังความโชคดีแห่งเทพ จึงให้คนนำเมล็ดพุทราไปต้มในน้ำตลอดคืนจนได้น้ำถ้วยเล็ก จากนั้นนางก็สั่งสาวใช้ให้ทำแกงรังนกหนึ่งชามพร้อมใส่น้ำเมล็ดพุทรา ก่อนนำไปส่งให้คุณชายจูกินพร้อมขอโทษต่งซื่อ แต่ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วยาม คุณชายจูก็หมดสติ คนจากเรือนหลิวหลี่จึงมาส่งข่าวว่าคุณชายจูหมดสติทันทีหลังกินแกงเพียงเล็กน้อย คุณหนูสาม มิใช่น้ำเมล็ดพุทราของท่านเป็พิษหรอกหรือ? ท่านรีบไปดูอาการเขาเร็วเข้า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้