มู่หรงฉือได้ยินดังนั้น หลังจากความตื่นตะลึงผ่านไปก็เปลี่ยนกลายเป็ความโกรธ เกลียดจนคันฟัน : บุรุษผู้นี้จะร้ายกาจเกินไปแล้ว เหตุใดถึงได้หลอกกันเช่นนี้?
ั้แ่เมื่อคืนเขาก็เอาแต่เล่นตลกกับนาง ไม่เช่นนั้นจะนอนในป่าหนึ่งคืนไปทำไม?
คำพูดจากใจที่เขากล่าวออกมาเมื่อครู่ จะต้องเป็การหลอกลวงแน่นอน ถึงได้พูดคำหวานแบบนั้นออกมา!
เขาเล่นละครมาโดยตลอด!
ริมฝีปากบางของมู่หรงอวี้ยกยิ้มอย่างครึ้มอกครึ้มใจ มองท่าทางโมโหของนางแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดี ทิวทัศน์รอบๆ พลันงดงามขึ้นมาก
ฉินรั่วเห็นเตี้ยนเซี่ยเหมือนจะโมโหเป็อย่างมาก แต่ว่าร่างกายไม่ได้าเ็ตรงไหน จึงวิ่งเข้าไปหาด้วยความร้อนใจ “เตี้ยนเซี่ย ท่านไม่เป็อะไรใช่หรือไม่เพคะ”
มู่หรงฉือส่ายหน้า พูดเสียงเบา “กลับไปค่อยคุยกัน”
ม้าขาดไปหนึ่งตัว นางจึงขี่ม้าตัวเดียวกับฉินรั่วแล้วห้อตะบึงกลับเมืองหลวง
ครั้นผ่านประตูเมือง มู่หรงอวี้ก็มองไปทางเตี้ยนเซี่ยที่ขี่ม้าไปไกล มุมปากยกยิ้มเป็องศาที่งดงาม
หลายวันผ่านไป มู่หรงฉือสั่งให้คนไปจับตาดูกองทัพตรวจสอบอาวุธกับทางเข้าออกใต้ดิน แต่ว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ว่านฟางและหวังเทาเป็ตาเฒ่าเ้าเล่ห์อย่างที่คิดจริงๆ พอรู้ว่าเื่ลอบขายอาวุธถูกพบเข้าแล้ว หลายวันมานี้จึงไม่ยอมเคลื่อนไหว
ข้อความที่หรงจ้านส่งมาทุกวันก็ไม่มีข่าวอะไร นางรอจนร้อนใจไปหมด
วันนั้นเขาออกไปปฏิบัติงานนอกเมือง จนกระทั่งดึกจึงกลับเข้าเมืองถึงได้รู้เื่ที่เ้าสำนักทิ้งข้อความเอาไว้ให้
รอกระทั่งเขารีบมาถึงกองทัพตรวจสอบอาวุธ ทางกองทัพก็กลับมาเงียบสงบเหมือนเดิมแล้ว เขาซ่อนตัวอยู่ในความมืดดูสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่งถึงจะแฝงตัวเข้าไป ได้ยินองครักษ์คนหนึ่งบอกว่าก่อนหน้านี้มีนักฆ่าแฝงตัวเข้ามา ถึงได้รู้ว่านักฆ่าผู้นั้นกลับออกไปได้อย่างปลอดภัย
หลายวันมานี้เขาส่งคนไปจับตาดูที่กองทัพอยู่ตลอด หวังว่าจะรีบหาคนที่เกี่ยวข้องหรือคนที่มาติดต่อเื่ค้าอาวุธออกมาได้
ฉินรั่วเปิดสมุดบัญชีเล่มนั้นแล้วพูดอย่างครุ่นคิด “หนูฉายคิดว่า คนของกองทัพตรวจสอบอาวุธจะทำลายบัญชีพวกนี้”
“ทำลายหลักฐานไปก็ไม่เป็ผล เปิ่นกงรู้สึกว่าหากจับหางเส้นเล็กๆ ได้สักเส้นหนึ่งแล้วจึงจะสาวไปถึงพวกตัวใหญ่ๆ ได้”
ดวงตาของมู่หรงฉือพลันวาววับก่อนจะเลิกคิ้วยิ้มอย่างเ้าเล่ห์
หรูอี้ยิ้มแล้วถาม “เตี้ยนเซี่ยคิดวิธีอะไรดีๆ ได้หรือเพคะ?”
มู่หรงฉือยิ้มลึกลับ “ฉินรั่ว ส่งข้อความไปหาหรงจ้าน”
ฉินรั่วตอบรับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปทำงานตามคำสั่ง
วันต่อมา มู่หรงฉือกับฉินรั่วมาถึงที่หอไม้ไผ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสวนสาธารณะซู่อวี้เซวียน
ป่าไม้รกทึบสีเขียวชอุ่ม ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นเล็กน้อย สดชื่นขึ้นมาสักหน่อย
บนชั้นสองของหอ ฉินรั่วเปิดประตูไม้ไผ่เข้าไป บุรุษวัยกลางคนด้านในก็ลุกขึ้น ตอนที่เห็นผู้มาเยือนดวงตาพลันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตื่นตระหนกเป็อย่างมาก
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ครั้นเขาได้สติกลับมาก็โค้งตัวอย่างสั่นเทา “กระหม่อมถวายบังคมองค์รัชทายาท”
มู่หรงฉือค่อยๆ นั่งลง ฉินรั่วรินน้ำชาให้สองถ้วย ก่อนจะยิ้มแล้วพูด “ผู้จัดการสวี่เชิญนั่งเถิด”
“กระหม่อมมิบังอาจ”
หอไม้ไผ่เย็นสบาย ตัดกับอากาศร้อนด้านนอกอย่างสิ้นเชิง ผู้จัดการสวี่กลับเหงื่อไหลโซมกาย ในหัวตอนนั้นไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร
เหตุใดถึงเป็องค์รัชทายาทที่อยากจะเจอเขากัน?
เช้าวันนี้ ตอนที่เขากำลังเดินทางออกจากเรือนไปยังกองทัพตรวจสอบอาวุธ เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบปีก็มาส่งจดหมายให้เขาฉบับหนึ่ง ด้านในจดหมายเขียนง่ายๆ เพียงสองบรรทัดว่า มีคนอยากจะเจอเขา หากเขาไม่มาพบ เื่อาชญากรรมที่เขาเคยทำเอาไว้จะถูกประกาศออกไปให้คนรู้
เขาลังเลอยู่ชั่วหนึ่งถ้วยชา ถึงได้ตัดสินใจบอกว่าป่วยไม่ไปที่กองทัพ แล้วมาเจอคนลึกลับผู้นี้
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็องค์รัชทายาท
“เปิ่นกงจำได้ เ้าคือผู้จัดการในห้องบัญชีของกองทัพตรวจสอบอาวุธ” มู่หรงฉือกล่าวกลั้วหัวเราะ ท่าทางพูดจาด้วยง่ายมาก
“พ่ะย่ะค่ะ” ผู้จัดการสวี่ก้มหน้าอย่างระมัดระวัง มือทั้งสองข้างวางอยู่ตรงหน้า องค์รัชทายาทเรียกให้เขามาที่นี่ จะต้องเกี่ยวข้องกับกองทัพตรวจสอบอาวุธแน่
“ผู้จัดการสวี่ หากเปิ่นกงจำไม่ผิด เ้ามีบิดามารดา บุตรชายหญิง ทั้งครอบครัวพึ่งพาเ้าในการดำรงชีวิตสินะ” มู่หรงฉือหัวเราะเสียงเย็น
“ที่เตี้ยนเซี่ยพูดมานั้นถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนล้วนพึ่งพากระหม่อมในการดำรงชีวิต”
“เปิ่นกงได้ยินมาว่าเมื่อเดือนก่อนเ้าย้ายมาที่เรือนหลังใหม่ ถึงแม้ว่าเรือนใหม่นั้นจะเทียบกับจวนหลังใหญ่หรูหราไม่ได้ แต่ว่าเมื่อเทียบกับเรือนห้าห้องของเ้าก่อนหน้านี้ก็นับว่าสบาย เพียงแต่ด้วยเบี้ยหวัดอันน้อยนิดของเ้า เ้าซื้อเรือนใหม่หลังนั้นได้อย่างไร?”
“เื่นี้...มีบางเื่เตี้ยนเซี่ยอาจไม่รู้ เรือนหลังก่อนของกระหม่อมมีน้ำรั่ว ไม่สามารถพักได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ...กระหม่อมถึงได้กัดฟันยืมเงินสหายกับสหายร่วมงานมาสองร้อยตำลึงเพื่อซื้อเรือนเก่า ให้ท่านพ่อท่านแม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายขึ้นสักหน่อย” ผู้จัดการสวี่พูดอธิบายติดๆ ขัดๆ วกไปวนมาอย่างคนเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ดวงตาหลุกหลิก มองดูก็รู้ว่าไม่ได้พูดความจริง
“ผู้จัดการสวี่ เ้าช่างเหิมเกริมนัก!” มู่หรงฉือตวาดเสียงแข็ง “เ้ายังไม่รู้ความผิดอีกหรือ?”
ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง ก่อนจะตอบกลับอย่างต่ำต้อย ทั้งยังกล้าๆ กลัวๆ “กระหม่อมไม่รู้ว่าทำอะไรผิด ขอเตี้ยนเซี่ยแถลงไขพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาที่นางจ้องเขาคมกริบดั่งมีด ราวกับจะเฉือนเนื้อเขาทิ้ง “เ้าลอบค้าอาวุธ มีโทษร้ายแรง! เปิ่นกงได้สมุดบัญชีมาแล้ว อีกทั้งยังส่งสมุดบัญชีไปยังห้องทรงงาน อวี้หวางจะต้องลงโทษเ้า ปะาสามชั่วโคตร!”
เสียงปึงดังขึ้นพร้อมกับผู้จัดการสวี่คุกเข่าลงไปกับพื้นอย่างแรง พูดด้วยความทุกข์ใจ “เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมไม่ได้ลอบค้าอาวุธ...เตี้ยนเซี่ยโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนเถิดพ่ะย่ะค่ะ...”
มู่หรงฉือดื่มชาด้วยท่าทางไม่ยี่หระ ฉินรั่วหัวเราะเสียงเย็น “ผู้จัดการสวี่ หากเ้าไม่ได้ลอบค้าอาวุธ เหตุใดถึงมีเงินมากมายไปซื้อเรือนได้เล่า? ถึงแม้เรือนหลังนั้นจะไม่ได้ใหญ่โต อีกทั้งยังค่อนข้างเก่า แต่อย่างน้อยก็ต้องมีราคาหลายร้อยตำลึง เ้าจะไปเอาเงินมากมายหลายร้อยตำลึงนั้นมาจากไหน? จะยืมเงินหลายร้อยตำลึงมันไม่ง่ายเลย หากเ้าไม่พูดความจริง พรุ่งนี้คำสั่งปะาสามชั่วโคตรจะถูกประกาศลงไป เ้าอยากจะให้บิดามารดาใช้ชีวิตดีๆ แต่สุดท้ายกลับลากพวกเขาให้มาตายอยู่ใต้มีดปะาอย่างนั้นหรือ”
ใบหน้าของเขาทั้งร้อนใจทั้งหวาดกลัว ก่อนจะกัดฟันตอบออกไป “เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมไม่ได้ลอบค้าอาวุธจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่เป็คนอื่น...”
“ใคร?” มู่หรงฉือถามเนือยๆ ผู้จัดการสวี่คนนี้ใบหน้าซื่อสัตย์ เป็คนขี้ขลาด ถึงแม้จะร่วมมือกับพวกว่านฟางหวังเทา แต่ก็เป็คนที่กตัญญูต่อบิดามารดาเป็อย่างยิ่ง ดูแลครอบครัวอย่างดี นางจึงตัดสินใจใช้เื่นี้มากดดันเขา
“เป็...ใต้เท้าว่านกับใต้เท้าหวังพ่ะย่ะค่ะ” ผู้จัดการสวี่รู้ว่าปกปิดต่อไปก็รังแต่จะทำให้บิดามารดาชราติดร่างแหไปด้วย “ใต้เท้าว่านกับใต้เท้าหวังร่วมมือกัน บีบบังคับให้กระหม่อมร่วมมือกับเขา...หากกระหม่อมไม่ทำตามคำสั่งของเขา พวกเขาจะสังหารกระหม่อมทั้งครอบครัว...”
“เปิ่นกงให้โอกาสเ้าทำความดีความชอบลดทอนความผิด เ้าคัดลอกบัญชีการซื้อขายอาวุธมาให้เปิ่นกงฉบับหนึ่ง”
“พวกเขาจะต้องรู้...เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมไม่อยากตาย...”
“เ้าระวังตัวก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”
“...พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเขาลอบค้าอาวุธ ก่ออาชญากรรม ช้าเร็วจะต้องถูกจับได้ เพียงแต่พวกเขาจิตใจโเี้กว่าเ้า ไม่แน่ว่าพวกเขาจะผลักเื่นี้มาที่ตัวเ้า อยากจะให้เ้าเป็แพะรับบาป ดังนั้นเ้ามีเพียงทางเลือกเดียว ฟังคำสั่งของเปิ่นกง ตอนที่ตัดสินโทษเปิ่นกงจะคุ้มครองเ้าเอง” มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยเตี้ยนเซี่ย” ผู้จัดการสวี่รู้อยู่แล้วว่าว่านฟางกับหวังเทานั้นพึ่งพาไม่ได้ โชคดีที่องค์รัชทายาทสามารถปกป้องเขากับครอบครัวได้
“เปิ่นกงถามเ้า คนที่ติดต่อว่านฟางกับหวังเทาเพื่อซื้ออาวุธนั้นเป็ใคร?”
“ใต้เท้าว่านกับใต้เท้าหวังปกติแล้วก็เป็คนลึกลับ เื่สำคัญเช่นนี้ไม่มีทางบอกกระหม่อมหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้น่นี้กองทัพตรวจสอบอาวุธมีอะไรที่ไม่ปกติหรือไม่?”
“นอกจากเื่ที่ผู้จัดการโจวถูกสังหาร กระหม่อมก็คิดไม่ออกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้ารีบคัดลอกสมุดบัญชีที่แท้จริงพวกนี้ออกมาให้เปิ่นกงชุดหนึ่ง”
มู่หรงฉือส่งสัญญาณให้ฉินรั่วพาเขาออกไป ผู้จัดการสวี่เดินมาถึงหน้าประตู จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมนึกออกได้แล้ว ใต้เท้าว่านกับใต้เท้าหวังชื่นชอบหยก เวลาว่างก็จะไปดูหยกที่หลิงหลงเสวียนพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากฉินรั่วส่งเขากลับไปแล้วก็กลับมา “เตี้ยนเซี่ย หลิงหลงเสวียนนั้นขายหยกจริงๆ ที่นั่นเป็แหล่งขายหยกที่ล้ำค่าที่สุดในเมืองหลวงเพคะ”
มู่หรงฉือยกถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยท่าทางครุ่นคิด “ไปบอกให้หรงจ้านไปสืบเกี่ยวกับหลิงหลงเสวียนมา”
ฉินรั่วรับคำสั่งก่อนจะออกไป
ไม่นานนัก มู่หรงฉือกับฉินรั่วก็ออกมาจากสวนสาธารณะ แล้วนั่งรถม้ากลับไปที่ตำหนักบูรพา
ระหว่างที่นั่งรถผ่านถนนใหญ่อันครึกครื้น ตอนที่พวกนางนั่งอยู่บนรถก็ได้ยินคนที่เดินผ่านไปมากำลังพูดกันว่ามีขุนนางผู้หนึ่งตาย รถม้าจึงหยุดลง ฉินรั่วลงจากรถม้าแล้วไปถามว่าใครที่ตายไป อีกฝ่ายบอกว่าเหมือนจะเป็ขุนนางสกุลจวง
ตอนนี้เอง มู่หรงฉือเห็นเสิ่นจือเหยียนควบม้าผ่านไป ด้านหลังยังมีคนของศาลต้าหลี่ตามหลัง
“ฉินรั่ว รีบขึ้นมา” นางะโเรียก ก่อนจะสั่งให้คนขับรถม้าตามไป “ตามใต้เท้าเสิ่นไป”
“ขอรับ” คนขับรถรีบเลี้ยวรถม้าไปทันที
ฉินรั่วะโขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็วแล้วมุดเข้าไปในตัวรถ “เตี้ยนเซี่ย เ้าพนักงานของกรมโยธาธิการจวงฉินตายแล้ว”
มู่หรงฉือพูดอย่างครุ่นคิด “จือเหยียนคงจะรีบไปทำคดีที่สกุลจวง”
ฉินรั่วถาม “เตี้ยนเซี่ยก็จะตามไปทำคดีด้วยหรือไม่เพคะ?”
มู่หรงฉือยิ้มพลางเอ่ย “ไปดูก็ไม่เสียหาย อย่างไรวันนี้ก็ไม่มีอะไรทำ”
จวนสกุลจวงไม่ใหญ่มาก ตั้งอยู่ในตรอกที่ห่างไกล ตอนนี้ปากทางเข้าตรอกมีประชาชนมามุงดูอยู่ไม่น้อย ทั้งยังคอยวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่เนืองๆ รถม้าไม่สามารถเข้าไปได้
คนขับรถจึงทำได้แค่เอารถม้าไปจอดอยู่ริมถนน หลังมู่หรงฉือกับฉินรั่วลงจากรถแล้วก็รีบเดินเข้าไปในตรอกทันที
เสิ่นจือเหยียนเข้าประตูใหญ่ไปแล้ว มู่หรงฉือรีบตามเข้าไป “จือเหยียน...จือเหยียน...”
ทว่าคนในที่เกิดเหตุมีมากเกินไป เสียงก็ดังจอแจ เขาจึงไม่ได้ยินพลางพูดคุยกับเ้าหน้าที่จากจวนจิ่งจ้าวอยู่
ด้านหน้าประตูใหญ่มีเ้าพนักงานจากศาลต้าหลี่สองคนยืนขวางไม่ให้พวกนางเข้าไป
“จือเหยียน”
เมื่อทำอะไรไม่ได้ มู่หรงฉือจึงได้แต่เรียกเขาอีกครั้งหนึ่ง
เสิ่นจือเหยียนมองมาเห็นก็ใ รีบมาพาพวกนางเข้าไปทันที แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของนางออกไป
“เตี้ยนเซี่ยได้ยินข่าวการตายของใต้เท้าจวงถึงได้มาหรือ?” เขาคาดเดา
“เปิ่นกงอยู่บนถนนพอดี ตอนที่กำลังจะกลับตำหนักบูรพาก็ได้ยินคนบนถนนพูดถึงเื่นี้ แล้วก็เห็นเ้าควบม้าไป เปิ่นกงก็เลยตามมา” มู่หรงฉือยิ้มพร้อมอธิบาย กวาดตามองสภาพด้านหน้าเรือน
“ตอนเช้าสกุลจวงพบว่าใต้เท้าจวงเสียชีวิต จึงรีบแจ้งไปยังจวนจิ่งจ้าว จวนจิ่งจ้าวได้รับแจ้งความก็ส่งคนมาดู ต่อมาก็ส่งคนไปแจ้งที่ศาลต้าหลี่” เขาพูดเสียงเบาแล้วยิ้มเ้าเล่ห์ “นี่เป็คดีของจวนจิ่งจ้าว ข้าไม่สามารถเอางานมาไว้ภายใต้ข้าได้”
“มีคดีคนตายเกิดขึ้น มีศพให้ชันสูตร นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใต้เท้าเสิ่นชอบที่สุดหรือ?” ฉินรั่วพูดหยอก
“ข้าเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ทันได้เห็นศพเลย” เสิ่นจือเหยียนยิ้มอ่อนโยน
ตอนนี้เองมีพนักงานสองคนเดินเข้ามา “ใต้เท้าเสิ่น หัวหน้ากองปราบกับอู่จั้ว[1]เชิญให้ท่านเข้าไปดูด้านในขอรับ”
เสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงฉือมองตากัน ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
ด้านหลังเรือน บรรดาภรรยาและบุตรีกำลังคุกเข่าร้องไห้อยู่บนพื้น น้ำตาไหลพราก บ่าวรับใช้ยืนอยู่ด้านข้างก้มหน้าไม่พูดไม่จา
มือปราบจากจวนจิ่งจ้าวเชิญพวกเขาเข้ามาในห้อง หัวหน้ามือปราบ อู่จั้วกับมือปราบอีกสองคนอยู่ในห้องตำรา
หัวหน้ามือปราบพูด “ใต้เท้าเสิ่น ท่านเก่งกาจเื่การชันสูตรศพ ดังนั้นจึงขอเชิญท่านให้เข้ามาดูสักหน่อย”
เชิงอรรถ
[1] อู่จั้ว คือตำแหน่งในกองปราบที่มีหน้าที่ตรวจสอบศพ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้