อวี่เหวินเจี๋ยเหลือบมองเหนียนอีหลาน เห็นใบหน้านางแข็งทื่อจนเหมือนมีรอยยิ้มที่ดูจะแข็งเกร็งเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
เมื่อมองไปทางสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆรอยยิ้มของอวี่เหวินเจี๋ยก็ยิ่งดูแฝงนัยล้ำลึก "ดูเหมือนว่าคู่แข่งของเ้าจะไม่ใช่เหนียนอีหลาน แต่เป็คนอื่น"
เขารู้ดีว่านิสัยน้องสาวของตน ั้แ่ไหนแต่ไรมา นางไม่เคยต่อสู้โดยไม่ได้เตรียมตัว
ก่อนที่จะมาแคว้นเป่ยฉี นางได้ทำการสืบข่าวสตรีทุกนางในเป่ยฉีว่าพวกนางเก่งกาจอะไรและมีความสามารถอะไร นางล้วนสืบหามาหมดสิ้น และเหนียนอีหลานผู้ซึ่งคาดว่าจะกลายเป็สาวงามอันดับหนึ่งในเป่ยฉีเป็เป้าหมายสำคัญของนาง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า...
คิ้วอันงดงามของอวี่เหวินหรูเยียนขมวดลงเล็กน้อยทว่าครู่หนึ่ง บนใบหน้าก็กลับมามีรอยยิ้มมั่นใจอีกครั้ง"ท่านพี่ไม่เชื่อในตัวข้าหรือ?"
“ข้าคิดว่าสตรีนางนั้นตรงกับรสนิยมของท่านพี่เลยเชียวนะทว่าคิดไม่ถึงเลยว่า...” อวี่เหวินหรูเยียนถอนหายใจอย่างอดไม่ได้สายตาก็ฉายแววเฉียบแหลมขึ้นมาทันที “อี้หนู ไปตรวจสอบเื่ของนางมาให้หมดข้า้ารู้ให้ที่เร็วที่สุด"
อวี่เหวินเจี๋ยมองการกระทำของอวี่เหวินหรูเยียน อดไม่ได้ที่จะยิ้มแย้มออกมา"ข้าจะไม่เชื่อในตัวเ้าได้อย่างไร เ้าคือสตรีผู้งดงามที่สุดในตงหลีของข้า"
ถ้าไม่เชื่อในตัวนางครั้งนี้เบื้องบนจะยอมให้นางมาเป่ยฉีได้อย่างไร?
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี่เหวินหรูเยียนแปรเปลี่ยนกลับมาอ่อนโยนอีกครั้งความเพียบพร้อมก็ยังสูงส่งกว่าเหนียนอีหลาน
อีกด้านหนึ่ง บนหลังม้าพันธุ์งาม บุรุษชุดดำและหน้ากากสีเงินบนใบหน้าแพรวพราวอย่างยิ่งท่ามกลางแสงแดดแรงจ้า ฉากเมื่อครู่นั้นเขาเองก็เห็นั้แ่ต้นจนจบ
คิ้วใต้หน้ากากของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
"ใต้เท้าฮูหยินและคุณหนูมาถึงแล้วขอรับ พวกนางอยู่ในรถม้านั่นใต้เท้า้าจะเข้าไปหาหรือไม่ขอรับ?"
องครักษ์เฉิงเชิงด้านหลังเอ่ยถึงขึ้นมา
ฉู่ชิงได้สติกลับมาทันใดเหลือบมองไปที่รถม้าของจวนแม่ทัพ "ไม่ต้อง ทุกอย่างได้รับการยืนยันแล้วหรือ?”
เฉิงเชิงสะดุ้งเล็กน้อย กล่าวอย่างเร่งรีบ"ทำตามคำสั่งใต้เท้าเรียบร้อยแล้วขอรับ ยืนยันแล้วว่าเื่นี้เกี่ยวข้องกับตระกูลฉินเ้าเมืองชุ่นเทียนขอรับ ใต้เท้า..."
ตระกูลฉิน เ้าเมืองชุ่นเทียนและจวนแม่ทัพเกี่ยวข้องกันจากการแต่งงานหากเื่ราวที่สืบค้นมาถูกเปิดเผยเกรงว่าจะพัวพันเกี่ยวข้องไปถึงจวนแม่ทัพไม่มากก็น้อย
เขาอยากจะถามว่าเื่นี้จะให้รายงานขึ้นไปหรือให้จบลงอย่างลับๆไปเสีย ทว่ายังไม่ทันเอ่ยจบ ฉู่ชิงก็ขี่ม้าเข้าไปทางประตูอันชิ่งแล้ว
เหนียนยวี่ถูกจ้าวอี้พาเข้าวังหลวงไปถึงตำหนักเสวียนเจิ้ง[1]คนทั้งสองจึงลงจากหลังม้า
จ้าวอี้กำลังจะอุ้มเหนียนยวี่ลงจากม้าทว่าเหนียนยวี่กลับะโลงไปก่อนก้าวหนึ่ง จ้าวอี้รู้สึกประหลาดใจกับทักษะความคล่องแคล่วนั้น ทว่าไม่นานรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของจ้าวอี้แลดูหลงใหลปลาบปลื้มขึ้นอย่างมาก เขาลูบหัวเหนียนยวี่เบาๆ"ข้าลืมไปเลยว่าเ้าทำตัวเป็บุรุษมาสิบห้าปีแต่ต่อจากนี้ก็ต้องเป็สาวงามบ้างแล้ว ตัวเฉกเช่นเด็กชายบ่อยๆ เช่นนั้นจะแต่งออกไปได้อย่างไร”
ดูเหมือนจ้าวอี้จะหยอกล้อนางจนกลายเป็ความเคยชินไปแล้วเหนียนยวี่ชายตามองเขาอย่างเสียแรงเปล่า "ท่านอ๋องมู่ ท่านควรจะรู้ว่าเมื่อครู่ท่านมองข้าเป็บุรุษแต่ในสายตาคนอื่นกลับไม่มีใครคิดเช่นนั้น ความลำบากของข้า หยุดไม่อยู่แล้ว"
"ทำไม ใครกล้าหาเื่เ้า" จ้าวอี้เข้าใจความหมายที่เหนียนยวี่สื่อเมื่อครู่ปฏิบัติกับนางเช่นบุรุษงั้นหรือ? เขาไม่ได้ทำเสียหน่อย!
จ้าวอี้เอื้อมมือออกไปรั้งคอเหนียนยวี่เฉกเช่นปกติดึงเหนียนยวี่เข้ามาใกล้เขาอย่างจงใจ เมื่อเข้าใกล้ คิ้วหล่อเหลาของจ้าวอี้อดไม่ได้ที่จะขมวดเข้าหากัน ราวกับเจออะไรบางอย่างทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งยิ้มอย่างเจิดจ้าสว่างไสว"ไม่ทันได้สังเกตเห็นเลย นึกไม่ถึงว่าเสี่ยวยวี่เอ๋อร์จะโตแล้วให้ข้าดูหน่อยสิ..."
จ้าวอี้พูดพลางจับไหล่ทั้งสองข้างของเหนียนยวี่ ให้นางหันหน้ามาหาเข้าหาคล้ายกำลังมองประเมินอย่างครุ่นคิด"เมื่อเทียบกับรูปร่างผอมกะหร่องเมื่อสองเดือนที่แล้วก็ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาหน่อย อืม...ดูจะมีรูปร่างเช่นสตรีบ้างแล้วแต่เสื้อผ้าบนตัวก็ดูจะเรียบๆ ไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เป็ไร..."
ความหมายของประโยค "แต่ก็ไม่เป็ไร" ที่จ้าวอี้เอ่ยออกมานั้นไม่ชัดเจนนักเอ่ยจบ เขาก็ยกมือลูบหัวนาง คราวนี้กลับไม่เหมือนที่ลูบอย่างหลงใหลก่อนหน้านี้ ลูบแรงมากจนทำให้ผมของเหนียนยวี่พันกันยุ่งทั้งยังดึงปิ่นมุกบนศีรษะของเหนียนยวี่หลุดออกมา
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว เห็นรอยยิ้มร้ายกาจที่บนใบหน้าของจ้าวอี้"ท่านอ๋องมู่ อย่างไรก็อยู่ในวังหลวง ผมเหนียนยวี่ หากมีผู้อื่นมาเห็นเข้า..."
“เ้าวางใจเถิดข้าคือองค์ชายมู่ผู้น่าเกรงขามสง่างาม มีเปี่ยวเกอฐานะสูงศักดิ์เช่นข้าอยู่ด้วยปะทะก็ปะทะ อย่างไรก็ไม่มีผู้ใดกล้าพาตัวเ้าไปแน่” จ้าวอี้เลิกคิ้วยิ้มแย้มหยิบปิ่นปักผมด้ามนั้นเก็บลงไปในอก ยกแขนยาวๆ เกี่ยวคอเหนียนยวี่ต่อ "ไปเถิด จะพาเ้าไปที่หนึ่ง"
วันนี้ดูเหมือนจ้าวอี้จะอารมณ์ดีเป็อย่างยิ่งเขาจึงลากเหนียนยวี่ไปด้วย ไม่รู้ว่าแค่กลัวคุณหนูตระกูลขุนนางเช่นนางจะก่อเื่ให้วงศ์ตระกูลแล้วจะโดนทำโทษหรือไม่
เหนียนยวี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าไปในตำหนักฉางเล่อ นางเพิ่งจะเข้าใจคำพูดของจ้าวอี้ว่าแท้จริงแล้วคือสถานที่ใด
ตำหนักฉางเล่อ ที่ประทับของไทเฮาฉางหนิง
ตามที่เหนียนยวี่รู้ การลอบสังหารที่นอกประตูเมืองวันนั้นหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนเข้าไปบังธนูที่ยิงมาทางฉางไทเฮาจนได้รับาเ็และเขาก็พักรักษาตัวอยู่ที่ตำหนักฉางเล่อมาตลอด
ไม่แปลกใจที่จ้าวอี้เข้าวังก็มุ่งหน้ามาตำหนักฉางเล่อทันทีเขาคงจะมาหาจ้าวเยี่ยน
เหนียนยวี่เข้าใจแจ่มแจ้งแต่คนที่อยู่ในตำหนักฉางเล่อ ไม่ใช่แค่จ้าวเยี่ยนคนเดียวหรือ?
เมื่อเข้าไปในตำหนักฉางเล่อ เสียงของมู่อวี๋[2]ดังกระทบเข้ามาในหูฉางไทเฮาทำบุญเข้าวัดตลอดทั้งปี ก่อนที่จะไปฝึกจิตบำเพ็ญเพียรที่เขาฉีชาน ก็จัดแจงสร้างห้องพระในตำหนักฉางเล่อแห่งนี้
ได้ยินเสียงของมู่อวี๋แว่วเข้ามาในหูภาพเงาร่างของไทเฮาก็ผุดขึ้นมาในหัวของเหนียนยวี่อย่างอดไม่ได้ ดวงตาและคิ้วดูใจดีมีเมตตาเพียบพร้อมสง่างาม ทว่ายามใช้อำนาจก็ทำให้เหล่าทหารสามพันนายเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาได้
นึกถึงชาติก่อน คืนที่หลีอ๋องเข้ายึดวัง...
เหนียนยวี่หันมองไปทางห้องพระดวงตาเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“นั่นคือฉางไทเฮา เสด็จป้าของข้ายามนี้น่าจะกำลังสวดมนต์เช้าอยู่" จ้าวอี้คิดว่าเหนียนยวี่สงสัยที่มาของเสียงมู่อวี๋จึงรับหน้าที่เป็คนอธิบายให้นาง เห็นนางดูตึงเครียดไปทั้งตัวจ้าวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะใช้แขนยาวๆ รั้งคอเหนียนยวี่เข้ามาอย่างเอาใจใส่"เ้าไม่ต้องกลัว เสด็จป้าข้าใจดีมาก นางอายุเท่ากันกับเสด็จแม่ของข้าไม่เคยทำให้ผู้อื่นลำบากใจเลยสักครั้ง
ใจดีมากงั้นหรือ?
เหนียนยวี่ยิ้มนิด หัวเราะหน่อยท่านอ๋องมู่ช่างใสซื่อเสียจริง หากวันหนึ่งเขาพบว่า สิ่งที่เขาคิดมาตลอดว่าเสด็จป้าผู้แสนใจดีไม่เคยทำให้คนอื่นลำบากใจแท้จริงไม่ได้ใจดีสักนิด และคนคนนั้นที่เขาเคารพสนิทสนมมาเสมอ ท่านพี่หลีอ๋อง พี่น้องคนสนิทที่เก่งกว่าในสายตาเขาั้แ่ต้นจนจบมองเขาเป็ศัตรูมาตลอด ถึงกับปะาชีวิตเขาอย่างโเี้ ท่านอ๋องมู่ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ผู้นี้จะมีท่าทีตอบสนองอย่างไร?
ในชาติก่อน จ้าวเยี่ยนยึดวังหลวงแต่ก็ไม่ได้สังหารจ้าวอี้ในเหตุการณ์นั้นทันที เขาจับตัวจ้าวอี้ไว้ในคุกหลวงหลังจากรอจนได้ขึ้นครองราชย์ ก็สั่งตัดหัวจ้าวอี้ที่ประตูอู่เหมินด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่สมเหตุสมผล
ในวันนั้น จ้าวเยี่ยนคุมการปะาด้วยตัวเองและจ้าวอี้...
ยามนั้นหัวใจของเขาคงจะเ็ปยิ่งกว่าร่างกายของเขาเสียอีก!
และความเ็ปของพวกเขา มาจากคนเพียงคนเดียว
ที่แท้ เขากับนาง...คาดไม่ถึงว่าจะเป็คนหัวอกเดียวกัน!
“ท่านอ๋องมู่..." จู่ๆเหนียนยวี่ก็เอ่ยปากขึ้น แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมาพูดออกไปแล้ว ถึงเพิ่งจะรู้สึกตัวทว่าคำที่หลุดปากเอ่ยออกมาแล้วก็มิอาจยืนค้อนกลับ ท่านอ๋องมู่ก็มองมาอย่างระมัดระวัง
[1] ตำหนักเสวียนเจิ้ง (宣政殿) เป็ที่ทำการประจำวันของจักรพรรดิและเป็สถานที่ที่บรรดาขุนนางชั้นสูงจะมาเข้าเฝ้ารับคำสั่งราชการ
[2]มู่อวี๋ หรือเรียกอีกอย่างว่าบักฮื้อ หรือ ปลาไม้เป็อุปกณ์ที่ใช้เคาะตามจังหวะระหว่างสวดมนต์