วันนี้ที่เมืองตงหลิงคึกคักเป็พิเศษ
ทั่วทั้งตระกูลจั๋วประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสี
เมื่อข่าวการกลับมาของจั๋วฟู่ไห่แพร่สะพัดออกไป ก็มีผู้คนเข้ามามอบของขวัญไม่ขาดสาย แต่นอกจากกลุ่มการค้าที่มีสัมพันธไมตรีต่อกัน ตระกูลจั๋วล้วนปฏิเสธทั้งหมด
ณ ทางเดินในสวน จั๋วอวิ๋นเซียนเดินไปทางห้องโถงหลักอย่างเร่งรีบ เพราะเขาไม่ได้เจอบิดามาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว จึงรู้สึกคิดถึงมากเป็พิเศษ
……
ห้องโถงหลักในเวลาเดียวกันมีคนในตระกูลมารวมตัวกันไม่น้อย รวมทั้งปู่รองของจั๋วอวิ๋นเซียน...จั๋วไท่หยวน ยังมีอารอง อาสามและลูกพี่ลูกน้องอีกหลายคน
จั๋วฟู่ไห่นั่งอยู่ตรงที่นั่งประธาน มีจั๋วอวี้หวั่นอยู่ด้านข้างกาย
“ท่านพ่อ! ลูกขอคารวะท่านพ่อ”
เมื่อจั่วอวิ๋นเซียนก้าวเข้าไปในห้องโถง เขาก็เดินตรงไปด้านหน้าจั๋วฟู่ไห่และคำนับอย่างนอบน้อม
ที่นี่คือห้องโถงหลัก มีผู้าุโมากมายกำลังดูอยู่ กฎระเบียบมีย่อมต้องปฏิบัติ แต่จั๋วอวิ๋นเซียนรู้สึกอย่างชัดเจนว่าบรรยากาศในห้องโถงค่อนข้างอึมครึม
“อวิ๋นเซียนปิดภาคเรียนแล้วหรือ? ดี ดี ดี!”
น้ำเสียงของจั๋วฟู่ไห่อบอุ่นมาก เขาเดินเข้าไปตบบ่าบุตรชายด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า “อีกสามวันก็จะเป็พิธีเซ่นไหว้แล้ว ครั้งนี้พ่อจะได้จัดการเื่ของเ้าด้วยพอดี มานั่งข้างๆ ข้าสิ!”
“เื่ของข้าหรือ? เื่อะไรกัน? ท่านพ่อ...”
จั๋วอวิ๋นเซียนนั่งลง สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนทันที ร่างกายแข็งทื่อ! เขาเหมือนเห็นเื่ที่น่ากลัวมากจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นไหว “ท่านพ่อ ขะ...แขนของท่าน! เกิดอะไรขึ้นกับแขนของท่าน!”
ขณะกำลังกล่าว จั๋วอวิ๋นเซียนรีบเดินเข้ามาจับแขนเสื้อข้างซ้ายของบิดา ทว่ามันกลับว่างเปล่า ไม่มีแขนหลงเหลือแล้ว
“ท่านพ่อ! เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดแขนของท่านถึงได้...”
จั๋วอวิ๋นเซียนมองบิดาด้วยสายตาแดงก่ำ จั่วฟู่ไห่กลับโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจั๋วฟู่ไห่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แค่แขนข้างเดียว ไม่ได้ทำให้ข้ากลายเป็คนพิการเสียหน่อย ไยต้องทำหน้าทำตาอ่อนแอราวกับเด็กสาวด้วย”
“พี่หญิง!”
เมื่อเห็นสายตาของจั๋วอวิ๋นเซียนหันมาที่นาง จั๋วอวี้หวั่นอ้าปากแต่ไม่ได้พูดอะไร ท้ายที่สุดก็ก้มหน้าลงเงียบๆ
แต่ผู้คนเหมือนจะรู้สถานการณ์ของจั๋วฟู่ไห่นานแล้ว ทุกคนทำได้เพียงส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ ไม่มีใครกล่าวตอบ
“พอได้แล้ว ข้าบอกเ้าเองแล้วกัน”
จั๋วฟู่ไห่ส่ายศีรษะกล่าวอย่างขมขื่น “เดิมทีการเดินทางครั้งนี้นับว่าค่อนข้างราบรื่น แต่ระหว่างทางขากลับค่อนข้างอันตราย...”
จั๋วฟู่ไห่อธิบายสิ่งที่พบเจอมาอย่างง่าย
เดิมทีการค้าทุกอย่างราบรื่น แต่หลังจากที่จั๋วฟู่ไห่ประมูลผลหยินหยางมาได้ก็ไปดึงดูดความสนใจของขั้วอำนาจไม่น้อย และระหว่างทางกลับก็เผชิญกับการลอบโจมตีของยอดฝีมือกลุ่มหนึ่ง ทำให้เกิดการต่อสู้วุ่นวาย...ตอนนั้นซีโหลวเหวินอวี่พาบุตรสาวเดินทางมาพร้อมกลุ่มการค้าของจั๋วฟู่ไห่ด้วย คิดไม่ถึงว่าสองพ่อลูกซีโหลวเหวินอวี่จะตกอยู่ในอันตราย เพื่อช่วยพวกเขาทั้งสองคนแล้ว จั๋วฟู่ไห่จึงถูกตัดแขนขาดไปข้างหนึ่ง...
ท้ายที่สุดจั๋วฟู่ไห่ต้องใช้ไพ่ตายออกมา อาศัยพลังที่แข็งแกร่งทำให้รอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิด
……
เมื่อได้ยินคำอธิบายของจั๋วฟู่ไห่ จั๋วอวิ๋นเซียนยืนนิ่งเงียบๆ กำมือแน่น ความยินดีจากการวิวัฒนาการจิติญญาในตอนแรก กลายเป็ความเ็ปใจในทันที
เขารู้ว่าบิดาเสี่ยงนำผลหยินหยางกลับมา ทั้งหมดล้วนทำเพื่อเขา
ในความจริงแล้ว แขนซ้ายขาดไปข้างหนึ่งเป็แค่เื่เล็ก สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนระดับกำเนิดปราณแล้วมีผลกระทบมีไม่มากนัก แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่แล้ว กลับส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง
ในเมืองชายแดน คนที่ควบรวมตราประทับระดับสูงได้มีเพียงสองคนเท่านั้น คนแรกคือ ‘ดาบทองคำ’ ต้วนอู๋เหิง อีกคนก็คือ ‘กระบี่กระเรียน’ จั๋วฟู่ไห่
ทว่าเมื่อร่างกายพิการ เจ็ดจิตไม่สมบูรณ์ เท่ากับว่าเส้นทางแห่งวิถีเซียนจบลงแล้ว
จั๋วฟู่ไห่คือความภาคภูมิใจของทุกคนในตระกูลจั๋ว คือสายเืหลักที่มีศักยภาพเหนือกว่าบรรพบุรุษรุ่นแรก ทว่าบัดนี้เส้นทางวิถีเซียนจบสิ้นแล้ว ความสำเร็จในอนาคตจะหยุดลงเพียงเท่านี้ แล้วจะนำพาตระกูลจั๋วก้าวเดินไปในเส้นทางอันรุ่งโรจน์ได้อย่างไร?
ทุกคนเคยคิดหาวิธีสร้างแขนใหม่แล้ว แต่ของวิเศษเหล่านี้มีน้อยยิ่งนัก แต่ละอย่างล้วนเป็สมบัติแห่งฟ้าดินที่ล้ำค่ามาก ทั้งราชวงศ์ต้าถังล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแค่เมืองชายแดน
ไม่สิ! ยังมีสถานที่หนึ่งน่าจะสามารถหาของวิเศษเช่นนี้ได้ นั่นก็คือ ‘พันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์’
เพียงแต่พันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์สูงส่งยิ่งนัก ไม่มีทางช่วยเหลือคนอย่างไร้เหตุผลแน่ ทุกสิ่งล้วนต้องพึ่งพลังเพื่อนำมา
จั๋วอวิ๋นเซียนครุ่นคิด ทันใดนั้นก็นึกวิธีหนึ่งขึ้นได้! มีเื่เล่ากันว่า เงินมายาของมิติมายาสุญญตาสามารถแลกเปลี่ยนกับทรัพยากรของพันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้ ถึงแม้จั๋วอวิ๋นเซียนจะไม่เคยลองทำมาก่อน แต่นี่คือความหวังเดียวของเขา
……
เมื่อเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนหดหู่ จั๋วฟู่ไห่ขยี้ศีรษะแล้วกล่าวว่า “เอาเถอะ พ่อไม่ได้ตายเสียหน่อย ทำท่าทางจะเป็จะตายไปให้ใครดูกัน? มานั่งตรงนี้ อีกประเดี๋ยวพ่อจะแนะนำคุณหนูคนหนึ่งให้ลูกรู้จัก”
“……”
จั๋วอวิ๋นเซียนนั่งลงเงียบๆ ในสมองนึกแต่วิธีหาเงินมายา
จากนั้นจั๋วฟู่ไห่เรียกลุงเยี่ยน “เหล่าเป่ย รีบไปเชิญผู้นำตระกูลซีโหลวกับคุณหนูซีโหลวมาปรึกษาเื่งานแต่งของอวิ๋นเซียนเร็ว”
“งานแต่งของข้าหรือ? ข้า...”
จั๋วอวิ๋นเซียนมึนงง ตอนนี้เขาสับสนมาก เขาไม่ได้สนใจเื่ความรักของหนุ่มสาวแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อเห็นท่าทางดีใจของบิดา คำพูดปฏิเสธก็ถูกกลืนกลับไป
……
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลุงเยี่ยนพาพ่อลูกซีโหลวมาถึงห้องโถงหลัก
“ซีโหลวเหวินอวี่แห่งหุบเขาซีซานคารวะผู้นำตระกูลจั๋ว คารวะสมาชิกตระกูลจั๋วทุกท่าน...”
ซีโหลวเหวินอวี่สุภาพเรียบร้อย สง่างามเปิดเผย ทำให้ผู้คนรู้สึกดีด้วย
ซีโหลวรั่วเมิ่งเดินตามด้านหลัง นางกล่าวคารวะอย่างว่าง่าย “ซีโหลวรั่วเมิ่งคารวะท่านลุง คารวะพี่หญิงจั๋ว...คารวะผู้าุโทุกท่าน”
หลังจากทั้งสองฝ่ายทักทายกันเรียบร้อยก็กลับเข้าที่นั่ง บรรยากาศค่อยๆ คึกคักขึ้น
หลังทักทายกันเสร็จสิ้น จั๋วฟู่ไห่จงใจเบี่ยงประเด็นมาที่เด็กทั้งสองคน “อวิ๋นเซียน รั่วเมิ่งก็คือคุณหนูที่พ่อพูดถึงเมื่อครู่ พี่เหวินอวี่กับข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตต่อกัน ทุกคนล้วนเป็ครอบครัวเดียวกัน ต่อไปพวกเ้าก็ควรจะใกล้ชิดกันให้มาก”
ซีโหลวรั่วเมิ่งก้มหน้าอย่างเขินอาย ผู้คนรอบด้านอดขำขันไม่ได้
“รั่วเมิ่งหรือ? ซีโหลว...รั่วเมิ่ง?”
เดิมทีจั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้ใส่ใจ ทว่าเมื่อได้ยินคำว่า ‘รั่วเมิ่ง’ ในสมองของเขาอดนึกถึงฉากที่สีเฟยเหยียนเหยียดหยามเขาเมื่อเดือนก่อนไม่ได้ เขาจำได้ชัดเจน สีเฟยเหยียนบอกว่าเขาไม่คู่ควรกับน้องหญิงรั่วเมิ่ง หวังว่าเขาจะรู้จุดยืนตัวเอง ยอมยกเลิกงานแต่ง มิเช่นนั้นจะต้องเสียใจ
เหตุใดถึงบังเอิญเช่นนี้!
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่เชื่อว่าจะมีเื่บังเอิญเช่นนี้ สีเฟยเหยียนมิได้เสียสติ อีกฝ่ายรู้เื่นี้มานานแล้ว ดังนั้นถึงได้เดินทางไกลมาบอกกับเขา
“โอ้ เขาก็คืออวิ๋นเซียนหรือ? ช่างเป็คนมีพร์จริงๆ!”
ซีโหลวเหวินอวี่กวาดสายตามองจั๋วอวิ๋นเซียน เขาเผยรอยยิ้มอย่างเป็กันเอง ดูเหมือนจะพอใจกับว่าที่ลูกเขยคนนี้ไม่น้อย
ที่จริงแล้วนอกจากพร์และศักยภาพที่ต่ำต่อยแล้ว หน้าตาของจั๋วอวิ๋นเซียนก็ค่อนข้างหล่อเหล่า โดยเฉพาะกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา ถึงอย่างไรก็สืบทอดสายเืโดดเด่นของผู้บำเพ็ญเซียนมา ทั้งยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม
จั๋วอวิ๋นเซียนลุกขึ้นโค้งคำนับและนั่งลงกลับที่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากพูดอะไรมาก
