ดวงอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก ดวงจันทร์ลอยเด่นบนท้องฟ้า ทันใดนั้นพลันมีห่านป่าสองตัวบินผ่านมาบนท้องฟ้า ทำลายความเงียบงันในค่ำคืน
ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่าเสียงร้องใดังมาจากเรือนที่อยู่ไกลออกไปแห่งใดในกำแพงวังหลวง ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้ ได้ยินแล้วช่างบาดหูเป็อย่างยิ่ง
เหยียนอู๋อวี้ที่ยังมิได้เข้าสู่ห้วงนิทราถูกเสียงร้องนี้ดึงดูดให้ตื่นขึ้น แววตาทอดยาวไปข้างนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กลางคืนยามนี้ด้านนอกมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใด
“สนมที่รักกำลังมองสิ่งใดหรือ?” เสียงของซ่งอี้เฉินกลับอ่อนโยน ในมือถือฎีกา ภายใต้แสงเทียน เขาดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
“หม่อมฉันได้ยินเสียงกรีดร้องดังอยู่ไม่ไกลจากเรือนเพคะ จึงอยากดูว่าเกิดอันใดขึ้นเพคะ” เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มเขินอาย ดวงตาสดใสส่องประกาย ปกปิดความคลุมเครือเอาไว้
หากเป็ไปตามที่คาด สิ่งที่ควรจะมาคงมาถึงแล้ว!
หลังสิ้นเสียงนาง นอกเรือนพลันมีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น โคมแดงจำนวนไม่น้อยปรากฏขึ้นในค่ำคืนที่มืดมิด ทำให้เรือนที่เดิมทีมืดสนิทอยู่นั้นพลันสว่างขึ้นในพริบตา
จากนั้นพลันมีคนพูดคุยเสียงเบาดังขึ้นบริเวณประตู ฟังอย่างละเอียดคล้ายจะเป็เว่ยหรูไห่
“เพียงแค่นางกำนัลตาย เื่เช่นนี้จะทำให้ฝ่าากับสนมเหยียนทรงตกพระทัยได้อย่างไร?” นี่เป็เสียงของเว่ยหรูไห่ คล้ายกำลังตำหนิผู้น้อยว่าไม่รู้จักลำดับความสำคัญ
ทว่าคนผู้นั้นมีท่าทีอึกๆ อักๆ ร่างที่บอบบางเป็ทุนเดิมสั่นเทิ้มเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ได้ยินเขาเอ่ยเพียงแค่ “ทว่าสภาพศพนางกำนัลผู้นี้คล้ายเนี่ยซิ่วหนี่ว์กับถงซิ่วหนี่ว์ก่อนหน้านี้เลย บ่าวไม่กล้าไม่รายงานขอรับ”
แม้ทั้งสองคนพูดคุยกันเสียงเบายิ่งนัก ทว่าเสียงกลับลอยเข้าหูของเหยียนอู๋อวี้กับซ่งอี้เฉินชัดเจน
ประสาทััทั้งห้าของผู้ที่ฝึกวรยุทธ์ย่อมเฉียบคมมากกว่าคนทั่วไป
ทว่าเหยียนอู๋อวี้เป็บุตรสาวของนายอำเภอท่านหนึ่ง รู้เื่พิณกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันและภาพวาดบ้างก็นับว่าไม่เลว หากรู้วรยุทธ์ด้วยก็จะยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้ง่าย
ดังนั้นเหยียนอู๋อวี้จึงแสร้งทำเป็ได้ยินไม่ชัดพลางมองไปทางซ่งอี้เฉิน ไม่คาดคิดว่าดวงตาของซ่งอี้เฉินกลับสบสายตาของนางเข้าพอดี
“ฝ่าามองหม่อมฉันเช่นนี้มีอันใดเพคะ?” ใบหน้างดงามของเหยียนอู๋อวี้แดงระเรื่อ ริมฝีปากแดงชาดแสดงท่าทีขวยเขิน
“เ้าอยากรู้อยากเห็นเื่ด้านนอกมากหรือ?” แววตาของซ่งอี้เฉินอึมครึมไม่ชัดเจน ราวกับมีหลากหลายความรู้สึกอยู่ในนั้น
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดอันใดขึ้น ย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็ธรรมดา น่าเสียดายที่ได้ยินไม่ชัดว่าผู้ใดกำลังคุยกันอยู่ด้านนอก” ไม่รู้ว่าเหตุใดเวลาเหยียนอู๋อวี้มองดวงตาคู่นี้จึงมักรู้สึกราวกับว่าเขามองบางสิ่งบางอย่างออก แต่กระนั้นกลับยังคงเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างสงบนิ่ง
“ไม่ได้เื่ อายุปูนนี้แล้ว กลัวตายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ยังไม่เข้ามาอีก?” เพียงแค่ได้ยินซ่งอี้เฉินเรียกเสียงเบา ทว่าเสียงนั้นกลับเข้าสู่ในโสตประสาทของคนด้านนอกได้พอดี
เว่ยหรูไห่ขาอ่อนยวบอย่างอธิบายไม่ได้ จังหวะก้าวเดินอ่อนแรงผลักประตูตำหนักเดินเข้าไป ก่อนจะคุกเข่าตัวสั่นเทาพลางกล่าวว่า “บ่าวกลัวว่าจะรบกวนฝ่าา พระวรกายฝ่าาสำคัญยิ่ง จะให้มายุ่งเกี่ยวกับเื่ของนางกำนัลเหล่านี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่เจิ้นได้ยินว่าสภาพการตายของนางกำนัลผู้นี้เหมือนกับซิ่วหนี่ว์ทั้งสองคนทุกประการ?” น้ำเสียงของซ่งอี้เฉินสงบนิ่ง ดวงตาคมหยุดอยู่บนร่างของเว่ยหรูไห่
“พ่ะย่ะค่ะ...…” ไม่รู้เหตุใดเว่ยหรูไห่จึงได้รู้สึกคล้ายถูกสอดแนมทุกความคิดในใจ จึงรีบเอ่ยตอบรับด้วยท่าทีลนลานอย่างบอกไม่ถูก
แม้เหยียนอู๋อวี้รู้ความจริงนานแล้ว ทว่ายังคงแสร้งทำเป็ว่าเพิ่งรู้ พลางเอ่ยว่า “หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับหม่อมฉันอีกแล้วเพคะ!”
เหยียนอู๋อวี้เอ่ยพลางลุกขึ้นยืน ทำทีเป็เดินออกไปนอกประตู
ซ่งอี้เฉินก้มมองฎีกาที่ยังกองพะเนินเป็ูเา แววตาพลันขึงขังขึ้นมา ทว่าเขายังคงโยนพู่กันในมือทิ้งพร้อมกับลุกขึ้นเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที
ขณะที่เดินผ่านเว่ยหรูไห่ เขามองต่ำด้วยแววตาเ็าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “วันหลังเถียงกันให้ห่างจากประตูเจิ้นหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหรูไห่รับคำอย่างระมัดระวัง เหงื่อเม็ดใหญ่บนขมับไหลหยดลงพื้น
อากาศภายในห้องอบอุ่น ทว่าขณะที่ออกนอกประตูห้องไป บางครั้งมีลมพัดมาเป็ระลอกชวนให้รู้สึกหนาวสั่น
“นายหญิง ท่านเป็อันใดไป?” ป้าโฉ่วเห็นเหยียนอู๋อวี้จากระยะไกล เมื่อเห็นว่าอาภรณ์ของนางบางมากจึงขมวดคิ้ว ก่อนเอ่ยตำหนิเสียงเบา “ท่านใส่อาภรณ์บางถึงเพียงนี้จะต้องเป็หวัดแน่นอนเ้าค่ะ”
ป้าโฉ่วเอ่ยพลางเข้าไปกระซิบใกล้หูนาง “แท้จริงแล้วเป็พิษแบบเดียวกันเ้าค่ะ เพียงแต่ครั้งนี้คล้ายเป็การกินยาพิษฆ่าตัวตาย ไม่คล้ายถูกฆ่าเ้าค่ะ”
แววตาของเหยียนอู๋อวี้เปล่งประกาย ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงฝีเท้าแ่เบาจากระยะไกลกำลังเดินมาทางตนเอง นางจึงกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนกทันที “ตายด้วยพิษชนิดเดียวกันจริงหรือ? ยังไม่รีบพาข้าไปดูอีก”
ป้าโฉ่วเห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนไป หางตาพลันเหลือบไปเห็นชุดสีเหลืองทองจากระยะไกลกำลังเข้ามาใกล้จึงเข้าใจได้ทันที นางถอยไปอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีนอบน้อมก่อนนำทางนางไปยังสถานที่เกิดเหตุ
นายบ่าวทั้งสองเคลื่อนไหวไม่ต่างกัน
ซ่งอี้เฉินกลับแสดงสีหน้าราวกับใช้ความคิด “ฝ่าา เรายังจะไปอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เว่ยหรูไห่ที่อยู่ด้านข้างปาดเหงื่อบนขมับ ทั้งร่างงองุ้มด้วยท่าทีนอบน้อม
“ไป จะไม่ไปได้อย่างไร? หากเจิ้นไม่ไป ละครฉากนี้จะเล่นต่อได้หรือ?” ซ่งอี้เฉินยกยิ้มมุมปากชั่วร้ายยิ่งนัก โดยเฉพาะในดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนอกสนใจ
ทันทีที่เหยียนอู๋อวี้เดินเข้าไป ทุกคนในห้องต่างทยอยแหวกเป็ทาง มองเพียงครู่เดียวนางก็เห็นสภาพน่าเวทนาภายในห้อง
นางกำนัลที่เกิดเื่คุ้นหน้ายิ่งนัก นางนอนแน่นิ่งอยู่บนเก้าอี้ เงยหน้ามองข้างบน คราบเืสีดำเลือนรางกระจายอยู่ทั่วร่างของนาง
เฮอะ...…เหยียนอู๋อวี้เยาะเย้ยในใจ คดีก่อนหน้ายังไม่ทันแก้ไข อีกฝ่ายก็โยนมาใส่ร่างนางอีกเื่ สร้างเื่ได้ยิ่งใหญ่เสียจริง อุบายนี้สามารถนำออกมาโอ้อวดได้อีกหรือ?
“ส่งให้อู่จั้ว[1]ตรวจแล้วหรือยัง?” เสียงของเหยียนอู๋อวี้ยากที่จะปกปิดความตื่นตระหนก ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่ง ทั้งยังซ่อนอยู่ในคืนอันมืดมิด ไม่มีผู้ใดเห็นได้ชัดเจน
ในเวลานี้ด้านนอกประตูมีเสียงคนเดินขวักไขว่ จากนั้นนางกำนัลและขันทีหลายคนต่างพากันเดินถือโคมแดงเข้ามาทีละคน
ตามด้วยเสียงะโดังมาจากระยะไกล ค่อยๆ เข้าใกล้มามากยิ่งขึ้น
“เต๋อเฟยเสด็จ...…”
สิ้นเสียงนั้นกลับเห็นเพียงแค่นอกประตูที่รายล้อมไปด้วยนางกำนัล ไกลออกไปมีเต๋อเฟยสวมชุดสีน้ำเงินเข้ม สวมปิ่นทองนกเฟิ่งหวงบนศีรษะเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู
ปกตินางจะสวดมนต์ทุกวัน บนร่างกายจึงมีกลิ่นอายความสงบ แม้ท่าทางจะแลดูอ่อนแอ ทว่ายามที่ดวงตาคู่นั้นของนางกวาดสายตามองไปทั่วทุกคนภายในบริเวณ นางกำนัลกับขันทีเ่าั้ต่างพากันก้มศีรษะต่ำโดยไม่รู้ตัว
“ข้าได้ยินมาว่าทางนี้เกิดเื่ขึ้นกับน้องหญิง จึงรีบมาในทันที” เดินทางอยู่ครึ่งชั่วยาม ยามนี้เต๋อเฟยได้มาถึงแล้ว นางช่างเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเหยียนอู๋อวี้ นางจึงรีบอธิบาย “พี่หญิงอยู่แถวนี้พอดี จึงได้มาเร็ว น้องหญิงอย่าได้นึกสงสัยเลย”
นางเอ่ยจบพลันเหลือบไปเห็นซ่งอี้เฉินเดินออกมาจากมุมมืด แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องบนร่างเขากลับยิ่งเพิ่มความรู้สึกคาดเดาไม่ได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ นางรีบคุกเข่าคำนับทันที
เหยียนอู๋อวี้ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าตื่นใ ทว่าหางตากลับสนใจภายในห้องอยู่ตลอด
ทันใดนั้นพลันเกิดลมพัดมาระลอกหนึ่ง ประตูห้องที่เปิดอยู่พลันปิดลงโดยไร้สัญญาณเตือน
เสียงเอี๊ยดอ๊าดในคืนที่มีคนเพิ่งเสียชีวิตฟังดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก นางกำนัลหลายคนต่างพากันสะดุ้งใ
ทว่าหลังจากที่พวกเขาลุกขึ้นกลับสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงรีบคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง
มีเพียงเหยียนอู๋อวี้ที่เห็นเงาดำเคลื่อนผ่านภายในห้องชั่วขณะที่ประตูปิดลง
ขันทีน้อยด้านข้างลุกลี้ลุกลนเปิดประตูอีกครั้ง ทว่าในห้องกลับไร้ซึ่งความผิดปกติใด และยิ่งไม่มีร่องรอยของคนชุดดำ
“ฝ่าา หม่อมฉันกลัวเพคะ...…” เหยียนอู๋อวี้เดินไปอยู่ข้างกายซ่งอี้เฉินด้วยท่าทางตื่นใ ปลายเท้าพลันเขี่ยหินก้อนเล็กขึ้นมาก่อนเตะเข้าไปภายในห้องทำให้เกิดเสียงดังด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ซ่งอี้เฉินหน้าเปลี่ยนสี รีบเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
เงาดำเคลื่อนผ่านสายตาเขาและทะลุหนีออกไปทางหน้าต่าง
เงาร่างอีกคนพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าพลางกอดเขาไว้อย่างแแ่
หัวใจของเขาพลันสั่นสะท้าน
เชิงอรรถ
[1] อู่จั้ว หมายถึง ขุนนางที่ชันสูตรศพ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้