ตอนเที่ยงเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาเริ่มหยุดลงช้าๆ
อาหารมังสวิรัติของวัดต้าเอินขึ้นชื่ออย่างมาก เจินจูกับผิงอันรวมทั้งผู้คุ้มกันอีกหนึ่งกลุ่มล้วนทานอาหารกันภายในวัด
สามสหายมังสวิรัติ [1] พระอรหันต์หลอมใจ [2] เต้าหู้อบแห้ง ห่อหินมรกต [3] กองมหาสมบัติล้นไหล [4] ซาลาเปาไส้มังสวิรัติ... อาหารที่สั่งล้วนเป็อาหารแนะนำที่มีชื่อของวัดทั้งสิ้น
ผิงอันทานอย่างออกรสออกชาติ เมืองหลวงมีอาหารหลากหลายชนิด ล้วนเป็ชนิดที่ไม่มีให้ได้ทานในท้องถิ่นที่พวกเขาอาศัยอยู่ รสััใหม่ รสชาติก็ไม่เลว อาหารกลางวันจึงรับประทานได้อย่างเรียบง่ายและผ่อนคลาย
เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน เจินจูพบว่าโต๊ะอาหารมังสวิรัติสองโต๊ะจ่ายไปเกือบแปดเหลียง
จุ๊ๆ แพงกว่าอาหารเนื้อสัตว์ยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่สามารถสร้างวัดได้อร่ามเรืองรองเพียงนั้น
แม้ตอนนี้นางจะไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง แต่ยังคิดว่าพระภิกษุเหล่านี้รังแกคนเกินไปแล้ว
เป็เพียงเห็ด เต้าหู้ ผัก ยังล้วนขายได้แพงเพียงนี้
ผิงอันก็จุ๊ปากด้วยเช่นกัน เงินแปดเหลียงที่จ่ายไป ครอบครัวเขาต้องกรอกกุนเชียงเท่าไรจึงจะขายได้เงินมากมายเพียงนี้ จ่ายค่าอาหารมังสวิรัติไปสองโต๊ะ ปริมาณที่ได้ก็น้อยแค่นี้เอง
ราคาสินค้าของเมืองหลวงนี่แพงจริงๆ
หิมะหยุดแล้วแต่พื้นถนนกลับเปียกลื่นอยู่บ้าง บนทางขากลับ รถม้าจึงเร่งได้ช้ากว่าตอนขามา
กระทั่งพวกนางกลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็ปาเข้าไปยามเซินแล้ว
ขณะที่เพิ่งเข้าประตูใหญ่มา เ้าของโรงเตี๊ยมก็รีบะโเรียกพวกนาง หลังจากนั้นกล่าวด้วยความเคารพนบนอบว่า เช้าวันนี้หลังจากที่พวกนางออกไปได้ไม่นาน เจิ้นกั๋วกงกับซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงมาเยี่ยมเยือน พอทราบว่าพวกนางออกไปแล้ว เลยสั่งไว้หนึ่งประโยคว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่แล้วก็กลับไป
เจินจูพยักหน้าขอบคุณเ้าของร้าน หลังจากนั้นกลับไปเขตที่พักของตัวเอง
เมื่อเปิดประตูห้อง เสี่ยวเฮยที่ตื่นอยู่นานแล้วก็พุ่งเข้ามาร้องใส่นางด้วยความไม่พอใจ “เหมียวๆ” ไม่นึกเลยว่าออกไปข้างนอกแล้วจะไม่พาข้าไปด้วย ช่างน่าโมโหยิ่งนัก
เจินจูหยิบหางหมูพะโล้หนึ่งท่อนให้มันอย่างเอาใจ มันถึงได้ชำเลืองมองนางด้วยความไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง แล้วคาบหางหมูไปแทะ
ขณะที่นางออกไปข้างนอก บนโต๊ะทานอาหารทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้วางเนื้อตากแห้งไว้มากมาย เ้าแมวตัวนี้อุปนิสัยหยิ่งทะนงยิ่งนัก ไม่กินเลยแม้แต่คำเดียว โธ่เอ๋ย... ช่างเป็พ่อแมวทูนหัวจริงๆ
ส่วนเสี่ยวฮุยประพฤติตัวดีอย่างมาก มันกินเนื้อตากแห้งส่วนที่เตรียมไว้ให้มันอย่างว่านอนสอนง่าย หลังจากนั้นให้มันไปพักผ่อนที่ห้องของผิงอัน เจินจูเคยบอกกับมันไว้ก่อนแล้วว่าตอนกลางวันห้ามออกจากห้อง ระวังถูกคนจับไป
เดิมทีหนูก็เป็สัตว์ที่กลางวันหมอบกลางคืนออกข้างนอกอยู่แล้ว เสี่ยวฮุยจึงหลับอยู่ในห้องอย่างปลอดภัยสบายอุรา
หลัวจิ่งกับหลัวสือซานรีบกลับมาถึงโรงเตี๊ยมก่อนอาหารเย็น
เจินจูให้เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมยกอาหารเข้ามาในห้อง สามคนจึงเริ่มทานอาหารอย่างไม่รีบร้อนอยู่ในห้องรับแขก
“พี่ชายยู่เซิง วันนี้ตอนกลางวันพวกข้าทานอาหารกันอยู่ที่วัดต้าเอิน อาหารมังสวิรัติสองโต๊ะจ่ายเงินไปเกือบแปดเหลียงแน่ะ แพงยิ่งนัก ล้วนเป็ผัก ถั่ว และเต้าหู้ทั้งนั้น ไม่นึกเลยว่าจะขายได้แพงเพียงนี้” ผิงอันหันไปบ่นพึมพำกับหลัวจิ่ง
หลัวจิ่งยิ้ม “วัดต้าเอินเป็สถานที่ที่เหล่าฮูหยินของครอบครัวท่านอ๋องท่านโหวและตระกูลสูงศักดิ์ชอบเข้าไปสักการะมากที่สุด ไม่รู้ว่าเงินค่าตะเกียงน้ำมันและธูปหอมที่บริจาคทุกปีทั้งหมดเป็เท่าไร ตะเกียงและธูปภายในวัดไม่เคยมอดดับลงเลย ผู้เลื่อมใสศรัทธาที่เข้ามากราบไหว้บูชาทุกปีมีมากมาย ทางวัดต้องจัดหาอาหารมังสวิรัติไว้ให้เพียงพอ ห้องครัวของวัดต้องปรุงอาหารพิถีพิถันเพิ่มขึ้น โต๊ะมังสวิรัติเลยแพงมากกว่าโต๊ะอาหารทั่วไปไม่น้อย”
“เหอะ หากรู้ว่าแพงเพียงนั้นั้แ่แรก ไม่สู้กลับมาทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมจะดีกว่าหรือ แม้อาหารมังสวิรัติของพวกเขาจะอร่อยมากแค่ไหนก็ไม่มีเนื้อให้ทาน ข้ารู้สึกว่าไม่เพียงพอให้อิ่มเลย” ผิงอันคีบขาหมูปรุงรสที่หั่นชิ้นใหญ่ขึ้นแทะหนึ่งชิ้น
เจินจูเหลือบมองเขาอย่างขบขันหนึ่งที “กับข้าวมังสวิรัติหนึ่งโต๊ะล้วนเข้าท้องเ้าไปทั้งหมด ยังมีหน้ามาเอ่ยว่าทานไม่อิ่มอีก”
“เขาอยู่ในวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตพอดี ทานได้มากก็เป็เื่ปกติ” หลัวจิ่งช่วยพูดแทนผิงอัน
“กล่าวได้ราวกับว่าเ้าอายุเจ็ดสิบแปดสิบแล้วอย่างไรอย่างนั้น เ้าก็เพิ่งจะอายุสิบหกปีเองไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่ทานให้มากหน่อยล่ะ” เจินจูมองเขาราวกับยิ้มและไม่ยิ้ม
“ข้าทานมากแล้ว เ้าดู ทุกมื้อล้วนสองถ้วยทั้งนั้น เ้าสิทานเพียงครึ่งถ้วยเอง”
เขาใช้ตะเกียบชี้ไปที่ถ้วยข้าวของนาง
“ความสามารถในการทานก็มากมายเพียงนั้น ฝืนทานลงไปอีกไม่ได้เลยหรือ”
นางหันไปย่นจมูกใส่เขา
สองคนเ้ามาข้าไป หยอกล้อกันอย่างมีความสุข อาหารหนึ่งมื้อทานจนกับข้าวไม่หลงเหลือความร้อนแล้วถึงเลิกทานได้
พอน้ำชาร้อนขึ้นโต๊ะ ผิงอันก็ลูบหนังท้องที่อ้วนกลม ถอนหายใจด้วยความรู้สึกพึงพอใจ
“พี่ชายยู่เซิง ท่านคงไม่รู้ วันนี้ข้ากับท่านพี่เกือบชนเข้ากับสตรีผู้หนึ่งตอนอยู่วัดต้าเอิน น่าโมโหนักเชียว เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นางที่เดินอย่างรวดเร็วไม่มองทาง อีกนิดเกือบชนข้า แล้วยังปรักปรำว่าข้าจะชนนางอีก สาวรับใช้ผู้นั้นของนางช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก อ้าปากได้ก็ด่าทอขึ้นทันที น่าโมโหจริงๆ”
“ยังพบเข้ากับเื่เช่นนี้ด้วย? พวกเ้าไม่ได้ถูกเอาเปรียบใช่ไหม?” หลัวจิ่งได้ยินดังนั้น จึงหันไปมองทางเจินจู
คิ้วงามของนางเลิกขึ้น พร้อมกับใช้ดวงตาสีดำสุกสว่างถามกลับ ...นางเป็คนที่จะถูกเอาเปรียบได้หรือ?
หลัวจิ่งหลุดหัวเราะออกมา ใช่สินะ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ใช่กระต่ายน้อยนิ่มนวลโอนอ่อนผ่อนตามเสียหน่อย
“ฮิๆ ท่านพี่ของข้าร้ายกาจยิ่งนัก ต่อว่าต่อขานพวกนางอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงเดินจากมาอย่างวางท่าใหญ่โต” ผิงอันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แล้วนึกถึงคำพูดของเ้านายกับสาวรับใช้ ที่กล่าวไว้ก่อนที่พวกตนจะเดินจากมา “ได้ยินนางบอกว่าเป็บุตรีของไท่พูซื่อชิง นามว่าถังชิงอวี่อะไรสักอย่าง หน้าตาท่าทางเหมือนดอกไม้ขาวดอกเล็ก แต่ที่จริงแล้วมากแผนการอย่างยิ่ง”
“พี่ชายยู่เซิง ท่านรู้จักดอกไม้ขาวดอกเล็กไหม เป็ผู้ที่ภายนอกสวยสะอาดบริสุทธิ์ ดูอ่อนแอ บอบบางน่าทะนุถนอม แต่ที่จริงแล้วเป็สตรีเ้าแผนการ อาศัยว่าลักษณะภายนอกนิ่มนวลไว้คอยฉวยโอกาสฉกชิงความเห็นใจและความน่าสงสารไปจากผู้อื่น”
ผิงอันนำคำศัพท์ใหม่ที่เจินจูบอกแก่เขา มาบอกต่อหลัวจิ่งอย่างไม่ตกหล่นสักคำ
เจินจูประคองหน้าผาก เ้าเด็กนี่จำคำศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยได้ยินเหล่านี้แม่นยำยิ่งนัก
นางก้มหน้าลงกระตุกยิ้ม จึงไม่เห็นการแสดงออกที่แข็งทื่อเล็กน้อยบนใบหน้าหลัวจิ่ง
เหตุใดบังเอิญเพียงนั้น? นางมองสองพี่น้องทีหนึ่งด้วยความประหม่า
เพิ่งมาถึงเมืองหลวงวันแรกก็บังเอิญพบถังชิงอวี่แล้ว ช่างเป็ท่ามกลางความมืดสลัวเคว้งคว้าง ย่อมมีเจตจำนงฟ้าลิขิต [5] จริงเลย เดิมทีเขาคิดว่าเมืองหลวงก็ใหญ่โตเพียงนี้ พวกเขาพักอยู่เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น ความเป็ไปได้ที่จะพบกันเลยมีต่ำมาก
เฮ้อ เขาข่มความรู้สึกที่ยุ่งยากเกินกว่าจะจัดการเอาไว้ กระแอมไอทีหนึ่ง “ไม่ถูกเอาเปรียบก็ดี อ่า... ใช่สิ ได้ยินหลิวอี้กล่าวว่า วันนี้เจิ้นกั๋วกงกับเซียวจวิ้นมาแล้วไม่พบพวกเ้า เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเ้าสองคนรออยู่ที่โรงเตี๊ยมดีกว่า อย่าให้คนวิ่งมาเสียเปล่าเลย”
เจินจูหมดคำพูด สองพ่อลูกนี่ขยันวิ่งมาเพียงนี้เพื่ออะไรกัน? พวกเขายังมีความคิด้าหญ้าสงบจิติญญาอีกหรือ นางก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีไปแล้วนี่ ยังคิดจะทำอะไรอีกนะ
เอาเถอะ อย่างไรเสียจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพื่อเล่นสนุก
“ผิงอัน เ้าไปหยิบเนื้อพะโล้ในโถแล้วไปเลี้ยงเสี่ยวฮุยทีสิ” นางสั่งให้ผิงอันออกไปก่อน
ผิงอันตอบรับและจากไป
เจินจูปรับสีหน้าให้เป็ปกติ “ยู่เซิง สอบถามสถานที่พักระหว่างเดินทางออกมาจากวังได้หรือไม่?”
คิ้วดกดำของหลัวจิ่งขมวดขึ้น “เมื่อวานลูกน้องข้ามาถึงเมืองหลวงก็เริ่มแยกย้ายกันไปจัดการสอบถามแล้ว แต่องครักษ์ขององค์ไท่จื่อล้วนเป็ผู้มีฝีมือสูงที่ถูกดึงตัวมาจากยุทธภพจำนวนไม่น้อย มีความระวังตัวสูงอย่างมาก หากอยากรู้ร่องรอยการเดินทางขององค์ไท่จื่อในชั่วครู่ชั่วยาม เป็เื่ไม่ง่ายเลย”
นี่เป็สิ่งที่จัดการไม่ง่ายแล้ว เจินจูเท้าคางด้วยมือข้างเดียวคิดพิจารณา นางไม่อยากให้ถึงเวลาแล้วก็ยังหาร่องรอยสถานที่พักระหว่างเดินทางขององค์ไท่จื่อไม่เจอ พอสุดท้ายก็กลับไปอย่างเสียเที่ยวเปล่า
รสชาติที่เหมือนมีคมดาบอยู่เหนือศีรษะตลอดเวลาไม่อาจสบายใจได้เลย จะให้คนทั้งครอบครัวใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวลไปวันๆ ไม่ได้
ไม่อย่างนั้น สอบถามจากทางกู้ฉีสักหน่อย เพราะการเคลื่อนไหวถวายสมุนไพรจากคนในจวนสกุลกู้ถูกค้นพบ กลุ่มองค์ไท่จื่อคงไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ อย่างแน่นอน สองฝ่ายนับขึ้นมาแล้วก็เป็ผู้มีความเคียดแค้นต่อศัตรูเหมือนกัน
คิ้วที่ขมวดขึ้นเล็กน้อย ถูกท้องนิ้วอ่อนนุ่มลูบคลึงที่หัวคิ้วเบาๆ นางเงยหน้าขึ้น เห็นั์ตาสีดำพาให้จมดิ่งอยู่ในความมืดมิดที่ลึกซึ้ง
“อย่าขมวดคิ้วเลย ข้าจะจัดการให้ดี” เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น สายตาอยู่ในระนาบเดียวกับนาง มือใหญ่และแห้งกุมมือเล็กนิ่มผิวละเอียดของนางไว้
เจินจูเกิดความขัดเขินขึ้นทันที ยื่นมืออีกข้างไปตีเขา
“เื่ขององค์ไท่จื่ออย่ารีบร้อนเลย ข่าวคราวที่ได้มาเมื่อวานคือ องค์ไท่จื่อถูกฮ่องเต้สั่งลงโทษ ไม่อนุญาตให้เขาออกจากตำหนักบูรพา ดังนั้นหากเขาคิดจะออกจากวังก็ทำได้เพียงเลี่ยงประตูหน้า และเข้าออกจากประตูข้างเท่านั้น ขอบเขตลดลงไปไม่น้อย องค์ไท่จื่ออุปนิสัยดุร้ายนั่งอยู่ไม่ติดที่ จะต้องทนไม่ได้แน่นอนหากต้องเอาแต่หมกตัวอยู่ในวังตลอดเวลา พวกเราแค่จับจ้องให้ดี ร่องรอยสถานที่พักขณะเดินทางออกมาของเขาต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอน”
เขาคว้ามือเล็กของนางไว้ พลางลูบไล้นิ้วเล็กเรียวยาวที่นุ่มนิ่มของนางอย่างนุ่มนวล เล็บมือสีขาวอมชมพูอ่อนนุ่มตัดเข้ารูปอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย มีเสี้ยวพระจันทร์สีขาวอยู่ด้านในเล็บ มืองามหนึ่งคู่น่ามองจนเขาไม่อาจละสายตาจากไปได้
ใบหน้าเจินจูเปลี่ยนเป็สีแดงมีเืฝาดขึ้นทันที มือสองข้างถูกมือใหญ่อันอบอุ่นของเขาห่อหุ้มไว้ กอบกุมอยู่กลางฝ่ามือเสมือนสิ่งล้ำค่าก็ไม่ปาน ทำให้หัวใจดวงน้อยของนางเหมือนมีกระแสไออุ่นหลั่งไหลเข้าไปเคลือบไว้อยู่ชั้นหนึ่ง
ทันใดนั้นเขาก้มศีรษะลง ริมฝีปากอุ่นชื้นของเขาบรรจงจูบลงบนปลายนิ้วของนาง ััอ่อนนุ่มอย่างมาก
ใบหน้าของนางร้อนยิ่งขึ้นจนกลายเป็สีแดงเข้ม “…เ้า รีบปล่อยเลยนะ อีกเดี๋ยวผิงอันก็จะมาแล้ว!”
เสียงของนางสั่นเล็กน้อย คิดจะชักมือให้ออกห่างจากการเกาะกุมของเขาอย่างเสียมิได้
แต่หลัวจิ่งกลับฝังใบหน้าเข้าไปในฝ่ามือของนาง ไม่ยอมขยับตัวอยู่นานมาก นางมักมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้เขาสบายใจได้ ขอแค่อยู่ข้างกายนาง เขาก็อยากจะเข้าไปใกล้นางมากขึ้น อยากัันาง โอบกอดนางไว้ ไปจนกระทั่งจูบนาง
เขาฝืนข่มใจที่เต้นระรัวอย่างรุนแรงเอาไว้ข้างใน ปล่อยมือสองข้างของนางออก แต่กลับฉวยโอบกอดเอวบางไว้แทน เขาได้กลิ่นหอมที่มีเฉพาะบนกายของนางและกอดนางไว้แน่นภายใต้อ้อมแขนของนาง
ความร้อนผุดขึ้นบนแก้มของเจินจูอย่างไม่สามารถหยุดได้ นางเขินหน้าแดงจนอยากจะผลักเขาออกไป แต่เมื่อมือสองข้างััลงบนเส้นผมสีดำสนิทของเขา ก็ตัดใจทำไม่ได้เล็กน้อย
’แอ๊ด’ ผ่านไปอยู่นาน ประตูห้องด้านข้างมีเสียงเปิดออก
หลัวจิ่งลุกขึ้นยืนอย่างอาลัยอาวรณ์ กลับไปนั่งบนตำแหน่งที่เดิม
เจินจูหน้าแดงมองค้อนเขาหนึ่งที หลังจากนั้นจัดเสื้อคลุมส่วนบนให้เป็จีบเล็กน้อย
...ยามราตรีอันมืดมิด หิมะเริ่มร่วงหล่นลงมาอย่างเอื่อยเฉื่อยอีกครั้ง
เมื่อเข้าสู่เดือนสิบสอง อุณหภูมิทางเหนือเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลหนาวเย็นจนหยดน้ำกลายเป็น้ำแข็งแล้ว
เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยไม่ได้รับผลกระทบจากความหนาวเย็นนี้ พอเข้าสู่่กลางคืนก็หนีออกไปวิ่งเล่นทั่วทุกสารทิศตามเดิม
หลังจากหนึ่งแมวหนึ่งหนูวิ่งออกไปจากฉลุหน้าต่างแล้ว เจินจูก็เริ่มครุ่นคิดขึ้น
ที่โรงเตี๊ยมกว่างฟาห่างไกลจากพระราชวังอยู่ครึ่งชั่วยาม หากใช้ระดับความเร็วของเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุย เวลาหนึ่งเค่อน่าจะไปถึงได้
แต่พวกมันไม่เคยเห็นลักษณะขององค์ไท่จื่อ ต่อให้เข้าใกล้ตำหนักบูรพาที่องค์ไท่จื่อประทับอยู่ก็คงแยกไม่ออก
อีกอย่างหลัวจิ่งกับกู้ฉีล้วนกล่าวไว้ ว่าตำหนักบูรพาการป้องกันเข้มงวด ความเสี่ยงในการเข้าออกพระราชวังก็มากเกินไป นางไม่สามารถให้เสี่ยวเฮยหรือเสี่ยวฮุยเข้าไปตกอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนั้นได้
หากเป็เช่นนี้ วิธีการที่ดีที่สุดเห็นจะเป็รอให้องค์ไท่จื่อออกจากตำหนักมาข้างนอก แล้วหาโอกาสลงมือในตอนที่การป้องกันอ่อนแอ
เฮ้อ แต่สถานที่พักระหว่างเดินทางออกมาขององค์ไท่จื่อสืบหาไม่ง่ายเลย
เจินจูพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอิฐ เตียงอิฐที่ก่อไฟแล้วของทางเหนือสบายอย่างมาก นอนอยู่้าต่อให้ไม่ห่มผ้านวมก็ไม่หนาวจนเกินไป
นางปรากฏกายเข้ามาในมิติช่องว่าง
กลิ่นหอมของหญ้าสงบจิติญญาโชยเข้าจมูกทันที นางนอนลงบนพรมหญ้าสีม่วงอ่อนแน่นิ่ง
เวลาผ่านไปนานครู่หนึ่ง นางถึงได้หยัดกายลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปใกล้แปลงสมุนไพร
มุมหนึ่งของแปลงสมุนไพรได้ปลูกพืชต้นเตี้ยอยู่หนึ่งต้น เป็ต้นที่นางปลูกไว้ก่อนออกเดินทางมาเมืองหลวง
ต้นนี้มีชื่อว่า ’เกาทัณฑ์พิษ [6]’ เป็พืชที่มีพิษรุนแรงอย่างหาสิ่งใดมาเปรียบไม่ได้ชนิดหนึ่ง ยางของมันเมื่อได้ััเข้ากับาแจะก่อให้เกิดอาการหัวใจชา จากนั้นเืจะแข็งตัวและหายใจไม่ออกจนตายในที่สุด
นี่เป็สิ่งที่ได้มาจากหลิวผิง
ม่านถัวหลัวทำให้คนสูญเสียสติตกอยู่ในความรู้สึกหลอนเท่านั้น แม้สามารถรักษาได้ในระยะเวลายาวนาน่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังสามารถกลับมามีสติได้ แน่นอนว่าหากสูดดมเข้าไปในปริมาณที่มากเพียงพอ ก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ด้วยเช่นกัน
องค์ไท่จื่ออุปนิสัยดุร้ายจิตใจโเี้ปานนั้น หากจัดการเขาให้อยู่หมัดไม่ได้ในครั้งเดียว หลังจากนั้นคงบ้าคลั่งและเคียดแค้นเป็แน่ ถอนหญ้าไม่ถอนถึงโคน วันข้างหน้าจะเกิดปัญหาที่ยากจะจบลงด้วยดี
ยางของต้นเกาทัณฑ์พิษชนิดนี้ ทาไว้บนคมมีดหรือบนหัวธนู ััเืปิดกั้นลำคอ [7] ถึงแก่ชีวิตทันที รุนแรงยิ่งกว่าพิษของม่านถัวหลัวยิ่งนัก เป็ยาพิษที่ต้องเตรียมมาจากบ้านเพื่อฆ่าคนโดยเฉพาะ
เจินจูรดน้ำให้พืชผลที่อยู่ในแปลงสมุนไพรอย่างเชื่องช้า แล้วจึงออกมาจากมิติช่องว่าง
ในค่ำคือฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ นางห่อตัวเองอยู่ในผ้าห่มแต่สมองกลับคิดไปต่างๆ นานาไม่หยุด
เชิงอรรถ
[1] สามสหายมังสวิรัติ หรือ ซู่ซานเชียน คือ อาหารมังสวิรัติประเภทผัด โดยส่วนใหญ่จะใช้วัตถุดิบผัดเพียงสามอย่าง วัตถุดิบหลักสามอย่างโดยมากคือ ผักสด เห็ดเข็มทอง เห็ดฟาง ผัดออกมาเป็อาหารหนึ่งชนิด หรืออาจจะใช้เห็ดหอม เห็ดหูหนูดำ ดอกไม้จีนเข้าไปแทนก็ได้
[2] พระอรหันต์หลอมใจ หรือ หลัวฮั่นจาย คือ อาหารเจที่มีส่วนผสมหลักได้แก่ ผักสด เห็ดที่สามารถทานได้และผักประเภทถั่ว อาหารชนิดนี้มีชื่อมาจากการที่พระอรหันต์สิบแปดองค์มาชุมนุมในห้องโถง ให้กลิ่นอายผู้มีบุญบริสุทธิ์สะอาดมารวมตัวกันอยู่ในที่เดียว
[3] ห่อหินมรกต หรือ เฝ่ยชุ่ยอวี้เจวี้ยน คือ อาหารง่ายๆ วัตถุดิบหลักใช้กะหล่ำปลี เห็ดเข็มทอง แคร์รอต หน่อไม้ เป็วัตถุดิบหลัก ที่ได้ชื่อว่า ‘ห่อหินมรกต’ เพราะใช้กะหล่ำปลีพันผักทั้งหมดไว้ด้านใน สีของกะหล่ำปลีเป็สีเขียวและขาวคล้ายชิ้นหยก
[4] กองมหาสมบัติล้นไหล หรือ จินอวี้หม่านถัง วัตถุดิบหลักได้แก่ ข้าวโพด แคร์รอต แตงกวา บางที่อาจมีไข่ไก่ วุ้นเส้น เป็ต้น ที่ได้ชื่อว่า ‘กองมหาสมบัติล้นไหล’ เพราะจินและอวี้ หมายถึง ‘ทองและหยก’ ซึ่งเป็สมบัติล้ำค่า ส่วนหม่านถัง หมายถึง ‘เต็มไปทั่ว’ (ทั้งบ้าน) ซึ่งข้าวโพด แคร์รอต และแตงกวามีสีสันงดงามเหมือนเงินทองกับชิ้นหยก
[5] ท่ามกลางความมืดสลัวเคว้งคว้าง ย่อมมีเจตจำนงฟ้าลิขิต หมายถึง คนไม่อาจคาดเดาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็โชคชะตา หรือขณะที่ไม่ทันได้รู้สึกตัวก็เกิดเื่นั้นๆ ขึ้นมาเสียแล้ว
[6] เกาทัณฑ์พิษ หรือ ยางน่อง โดยยางน่องมี 2 ชนิด ได้แก่ ยางน่องต้น กับยางน่องเครือ (ยางน่องเถา) นอกจากพิษจะอยู่ที่ยางของต้นแล้ว เมล็ดก็มีความอันตรายเช่นกัน เพราะมีสารไกลโคไซด์ที่เป็พิษต่อหัวใจ เรียกว่า สโตรแฟนตินจี, คอมบิคาซิต โคลีน และไตรโกเนลลีน ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและทำให้หัวใจเต้นช้าลงไม่เป็จังหวะ และหัวใจวาย ที่สำคัญห้ามััถูกแผลเพราะอาจดูดซึมเข้าสู่ร่างกายออกฤทธิ์ถึงตายได้
[7] ััเืปิดกั้นลำคอ หมายถึง เมื่อพิษเข้าสู่าแและแทรกซึมในกระแสเื จะทำให้หลอดเืแข็งตัว หัวใจกลายเป็อัมพาต และหายใจไม่ออกจนถึงแก่ความตาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้