นี่คือมุมมองจากฉือเหริน
จากมุมมองของเย่ชิงหยุนเขาเห็นพื้นที่ใต้ดินของสำนักหลิงซวี่หายไป
จากนั้นมันปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างเงียบเชียบในระยะพันลี้บนฝ่ามือของซูเซวียนในอีกด้านหนึ่งของพื้นที่
และั้แ่ต้นจนจบอีกฝ่ายไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆเลยการกระทำเพียงอย่างเดียวคือการยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อย
พลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้การแสดงวิธีการที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ย่อมทิ้งรอยประทับที่ไม่อาจลบเลือนในใจของเย่ชิงหยุน
หลังจากวิชาการสังหารด้วยสายตาเย่ชิงหยุนย่อมหลงใหลในสิ่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
หากสมาชิกตระกูลเย่รู้ว่าเย่ชิงหยุนขณะติดตามซูเซวียนไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดแต่กลับหมกมุ่นกับกลยุทธ์การอวดพลังต่างๆพวกเขาคงเป็ลมด้วยความโกรธ
ต่อมา
ซูเซวียนและเย่ชิงหยุนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งสุดท้ายสั่งให้เขากลับไปเร็วๆก่อนโบกมือปิดรอยแยกมิติและหายตัวไป
หลังจากเย่ชิงหยุนทำความเคารพต่ออากาศขั้นตอนต่อไปของเขาย่อมเป็การปฏิบัติตามคำสั่งของซูเซวียนอย่างขยันขันแข็ง
เช่นการเขย่าไข่จนแตกการผ่าหนอนและการแสร้งจากไปแต่จริงๆแล้วซ่อนอยู่ในความมืดและอื่นๆ
หลังจากกระทำทั้งหมดนี้และยืนยันว่าไม่มีข้อผิดพลาดเพิ่มเติมเขาก็จากไปอย่างพึงพอใจพร้อมทรัพยากรจำนวนมากที่ปล้นมา
...
ในเวลาเดียวกัน
ที่คฤหาสน์ตระกูลซู
ซูเซวียนหยิบผลไม้ขึ้นมากินอย่างไม่ใส่ใจสายตาของเขาตกอยู่ที่ฉือเหรินในฝ่ามือ
ฉือเหรินประพฤติตัวดีอย่างยิ่งในขณะนี้คุกเข่าอย่างเงียบเชียบในผลึกิญญาศีรษะก้มลงราวกับเด็กที่ทำผิด
เด็กอะไรกันเคยเห็นเด็กอายุหลายล้านปีหรือไม่
ซูเซวียนอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยตัวเองจากนั้นเขาส่ายหัวและกล่าวกับฉือเหริน “จงบอกทุกสิ่งที่เ้ารู้เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์เทพ”
ฉือเหรินย่อมไม่ลังเลเผยทุกอย่างอย่างละเอียดแม้แต่เื่ที่ผู้นำของเผ่าพันธุ์เทพเพลิงมีชู้กี่คนเมื่อใดที่พวกเขาทำสิ่งนั้นและนานแค่ไหนก็ไม่ปิดบัง...
แม้ว่าซูเซวียนจะฟังด้วยความสนใจต้องกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็เื่ไม่สำคัญ
เขาไม่รู้เื่ที่มาของเผ่าพันธุ์เทพต้นกำเนิดหรือจุดประสงค์ของพวกเขาเลย
อันที่จริงนี่ก็ปกติถึงแม้ว่าฉือเหรินจะมีตำแหน่งยาวเหยียดแต่จริงๆแล้วเขาเป็เพียงผู้นำกองทัพเล็กๆของเผ่าพันธุ์เทพเพลิง
และกองทัพที่เก้าที่เขากล่าวถึงนั้นจริงๆแล้วถูกใช้เพื่อรับใช้ภารกิจจิปาถะของกองทัพใหญ่ทั้งแปด
พูดง่ายๆคือเขาเป็เพียงเด็กวิ่งส่งของให้ผู้อื่น
และการบ่มเพาะของเขาที่ใกล้เคียงกับกึ่งจักรพรรดิอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นไม่ได้มาจากการบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็งแต่มาจากโอกาสบังเอิญที่เขาได้รับโอสถระดับจักรพรรดิทำให้เขาบรรลุระดับนี้หลังจากดูดซับมัน
ด้วยเหตุนี้รากฐานของเขาจึงไม่มั่นคงทำให้เขาไม่สามารถก้าวสู่ขอบเขตกึ่งจักรพรรดิได้
ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าอันดับของฉือเหรินในเผ่าพันธุ์เทพเพลิงไม่สูงพอที่จะเข้าถึงความลับระดับสูง
“ท่าน...นี่คือทั้งหมดที่ข้ารู้ส่วนที่เหลือข้าไม่รู้จริงๆ…”
ในฝ่ามือของซูเซวียนฉือเหรินเล่าประสบการณ์ทั้งเล็กและใหญ่ของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกือบทั้งหมด
แต่เขาไม่กล้าบ่นแม้แต่น้อยระมัดระวังอย่างยิ่งเกรงว่าหากอีกฝ่ายไม่พอใจอาจบดขยี้เขาได้ง่ายๆ
“อืม”
ซูเซวียนตอบอย่างไม่ใส่ใจในความจริงขณะนี้เขาไม่ได้สนใจฉือเหรินเลยแต่กำลังมองไปที่ทั้งโลก
เขากำลังค้นหาเผ่าพันธุ์ต่างแดนโบราณเช่นฉือเหริน
อันที่จริงเขาเคยััถึงสิ่งมีชีวิตต่างแดนที่หลับใหลเหล่านี้มาก่อนเมื่อเขาสำรวจโลกแต่ตอนนั้นความสนใจของเขาอยู่ที่สิ่งอื่นและวางแผนจะจัดการกับพวกมันในภายหลังจึงเป็เพียงการมองผ่านๆ
บัดนี้เมื่อโอกาสนี้มาถึงเขาก็จัดการกับมันอย่างไม่ใส่ใจ
ทว่าแม้ว่าซูเซวียนจะเห็นสิ่งมีชีวิตต่างแดนที่หลับใหลบางส่วนเขาพบว่าทั้งหมดเช่นฉือเหรินล้วนใกล้เคียงกับระดับกึ่งจักรพรรดิ
บางส่วนยังต่ำกว่าระดับนี้
ส่วนผู้ที่อยู่ในหรือสูงกว่าระดับกึ่งจักรพรรดิไม่มีเลย
เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตต่างแดนเหล่านี้เช่นฉือเหรินคงมีอันดับไม่สูงพอ
ต่อให้ปลุกและสอบถามพวกเขาคงไม่รู้สิ่งใด
“น่าสนใจหน่อยเดิมทีข้าคิดว่าประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูลซูคือความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้แต่ไม่คาดว่าจะมีสิ่งที่ซ่อนอยู่อีกหลังจากตระกูลซู…”
แสงประหลาดวาบในดวงตาของซูเซวียนนี่น่าสนใจยิ่งนัก
และด้วยความคิดข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ต่างแดนโบราณในโลกนี้ถูกเขารับรู้ทันที
ข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ต่างแดนโบราณนี้ย่อมเป็ความลับอย่างยิ่งถูกเก็บรักษาอย่างระมัดระวังโดยกองกำลังต่างๆที่ศึกษาเกี่ยวกับพวกเขาไม่อนุญาตให้ผู้อื่นรู้
น่าเสียดายที่ต่อหน้าซูเซวียนไม่มีสิ่งใดซ่อนได้
ด้วยความคิดเดียวของราชันะเต๋าทั้งหมดจะสั่นสะท้านนับประสาความลับ
ดังนั้นซูเซวียนเข้าใจทุกอย่างในทันทีแต่เขาพบว่าสิ่งที่บันทึกโบราณส่วนใหญ่บันทึกไว้คือชื่อและการแนะนำความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์เหล่านี้
เช่นเผ่าพันธุ์เทพ์ที่แข็งแกร่งที่สุดมีลักษณะเหมือนเทพ์โดยทรงพลังอย่างยิ่งและมีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในเผ่า
เผ่าพันธุ์เทพขนนกที่อยู่อันดับสองก็ไม่ห่างกันมาก…
โดยรวมแล้วเป็เช่นนี้แต่แทบไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับความลับอื่นๆหรือเหตุผลที่พวกเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยในที่สุด
“ดูเหมือนข้าจะต้องเดินทางไปยังแม่น้ำแห่งกาลเวลา”
ดวงตาของซูเซวียนวูบวาบเมื่อเขาย้อนขึ้นไปก่อนหน้านี้เขาได้ข้าม่ประวัติศาสตร์หนึ่งและลงไปในอดีตอันไกลโพ้นเพื่อตรวจสอบตระกูลซูโบราณ
เมื่อนึกย้อนกลับไป่ประวัติศาสตร์นั้นน่าจะเป็่ที่เผ่าพันธุ์เทพเคลื่อนไหวมากที่สุด
หากเขาไปที่นั่นทุกอย่างย่อมชัดเจน
ทันทีโดยไม่ลังเลด้วยความคิดร่างของซูเซวียนเลือนรางอีกครั้งย่างก้าวเข้าสู่มิตินั้น
และเนื่องจากฉือเหรินอยู่ในฝ่ามือของซูเซวียนและถูกห่อหุ้มด้วยพลังของราชันะเขาจึงติดตามมาด้วย
จากนั้นเขาก็ได้เห็นภาพที่น่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิต
เขาเห็นแม่น้ำยาวอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตไม่รู้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดแทงทะลุฟ้าดินไหลอย่างสง่างาม
เมื่อรู้สึกถึงพลังแห่งกาลเวลาที่ทำให้ขนลุกความคิดที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งก่อตัวในใจของฉือเหริน
นี่...นี่คงไม่ใช่แม่น้ำแห่งกาลเวลาจริงๆใช่ไหม
การมีอยู่ของแม่น้ำแห่งกาลเวลาเป็ตำนานมาโดยตลอดและถูกส่งต่อมานานมากไม่เพียงแต่ฉือเหรินรู้เื่นี้แต่ผู้คนมากมายใต้ฟ้าแห่งนี้ก็รู้
ทว่าไม่มีใครเคยเห็นมัน
ฉือเหรินเคยมองมันเป็เพียงตำนานหัวเราะเยาะมัน
แต่บัดนี้เขาเห็นแม่น้ำแห่งกาลเวลาด้วยตาของตัวเองตำนานกลายเป็ความจริง
“ข-ข-ข-ข-ข…”
ฉือเหรินติดอ่างคำว่าข้านานมากไม่สามารถพูดคำที่สองได้
อารมณ์ของเขาเป็การผสมผสานระหว่างความตื่นเต้นสุดขีดและความสยดสยอง
ความตื่นเต้นย่อมมาจากการเห็นแม่น้ำแห่งกาลเวลาในตำนานชีวิตของเขาไม่สูญเปล่า
และความสยดสยองย่อมมาจากพลังอันน่าสะพรึงกลัวสุดขีดของซูเซวียน
การที่สามารถย่างก้าวเข้าสู่แม่น้ำแห่งกาลเวลาได้อย่างง่ายดายนั่นมันผิดปกติเกินไปแล้ว