แต่เหตุการณ์กลับผิดคาด หลังจากกลับไปถึง ซูซานหลางกับไท่ไท่สามไม่ได้ดุด่านางสักคำ เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองโชคดีมากจริงๆ
แต่หลังจากฟังมารดาเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวังให้ฟัง เฉียวเยว่ก็ยังรู้สึกหวาดกลัว ฮองเฮาทรงให้หมอหลวงมาตรวจร่างกายของพวกเขาสองสามีภรรยาตามที่คาดเดาไว้ล่วงหน้าทุกประการ ดูก็รู้ว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์
ได้ยินว่าฮองเฮาทรงวางแผนที่จะให้ญาติผู้น้องห่างๆ ของตนเองแต่งมาเป็อนุของซูซานหลาง ถึงแม้หมอหลวงจะวินิจฉัยว่าร่างกายของไท่ไท่สามและซูซานหลางไม่มีปัญหาทั้งคู่ ฮองเฮาก็ยังคิดจะยัดเยียดอนุภรรยาเข้ามาให้ได้
ช่างน่าอนาถใจเสียจริง เป็ฮองเฮาดีๆ ไม่ชอบ กลับมาทำเื่สกปรกชั้นต่ำพรรค์นี้
แต่หลายเื่ก็หาได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของฮองเฮา ถึงอย่างไรซูซานหลางก็เป็ศิษย์น้องของฮ่องเต้ พระองค์ย่อมไม่นิ่งดูดายให้เื่นี้บานปลายไปถึงขั้นนั้น
"ดังนั้นทุกอย่างจึงเรียบร้อยดีแล้ว?" เฉียวเยว่ถาม
"ไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะ" ไท่ไท่สามตอบ
เฉียวเยว่พรูลมหายใจอย่างโล่งอก "คนเ่าั้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก ไม่มีเื่ก็จะหาเื่ให้ได้"
แต่ซูซานหลางกลับตักเตือน "เฉียวเยว่ ระวังคำพูดหน่อย เ้าทำตนเองให้ดีก็พอแล้ว"
เฉียวเยว่เบะปาก แต่ไม่โต้ตอบอะไรอีก ในใจของนางย่อมรู้ สาเหตุที่ท่านพ่อท่านแม่เล่าเื่เหล่านี้ให้ฟัง ก็เพราะไม่อยากให้นางถามมากเกินไป สถานการณ์แท้จริงอาจจะน่ากลัวกว่านี้ก็ได้ แต่เฉียวเยว่ก็รู้ว่าเื่มันผ่านไปแล้วก็ควรให้มันผ่านไป ถึงอย่างไรพวกเขาก็ทำอะไรฮองเฮาไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางด้านของพี่สาวจะยิ่งทำตัวลำบากแค่ไหน อย่างไรเสียรัชทายาทก็เป็พระโอรสแท้ๆ ของพระนาง
"พรุ่งนี้เฉียวเยว่ไปเยี่ยมพี่สาวสักหน่อยเถอะ" ไท่ไท่สามเอ่ยปาก
เฉียวเยว่เลิกคิ้ว แต่ก็รับปากอย่างว่าง่าย "เ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว"
ไท่ไท่สามอมยิ้ม "วันนี้แม่เข้าวังแล้ว หากพรุ่งนี้ยังไปหาพี่สาวของเ้าอีกคงจะน่าเกลียดเกินไป แต่เ้าเป็แค่เด็กคนหนึ่งย่อมจะไม่เป็ไร เ้าไปปลอบขวัญพี่สาวของเ้าหน่อย อย่าให้นางคิดมาก พี่สาวเ้ามักทำอะไรเถรตรงเสมอ ยากที่จะเลี่ยง..."
ถ้อยคำที่เหลือแม้ไม่ต้องเอ่ยก็รู้กันดี
เฉียวเยว่พยักหน้าทันควัน "ได้เ้าค่ะ ท่านแม่มิต้องเป็ห่วง ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร"
วันต่อมา เฉียวเยว่ไปจวนรัชทายาทแต่เช้าตรู่
ยามนี้รัชทายาทออกจากจวนไปแล้ว เมื่อไม่ต้องพบกับพี่เขย เฉียวเยว่ค่อยรู้สึกโล่งใจ นางไม่อยากพบเขาสักเท่าไร ด้วยเกรงว่าจะก่อให้เกิดข่าวลือเหลวไหลอันใดขึ้นมาอีก
อิ้งเยว่อ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือนานแล้ว ผู้ดูแลจวนพาเฉียวเยว่เข้ามา นางอมยิ้มร้องทักเสียงดัง "พี่สาว"
อิ้งเยว่วางตำราในมือลงทันที เมื่อเทียบกับตอนยังอยู่ที่บ้าน อาภรณ์ที่อิ้งเยว่สวมใส่ดูหรูหรา และมีสีสันสดใสขึ้นมากมาย แต่ทว่าบุคลิกส่วนตัวของนางก็ยังคงเ็าอยู่ แต่แน่นอนว่าเมื่อเห็นน้องสาวของตนเองย่อมจะไม่เหมือนกัน นางมีรอยยิ้ม ยื่นมือมาจิ้มใบหน้ารูปไข่ของน้องสาว "ไยเ้าถึงมาสายนักเล่า"
เฉียวเยว่มองดูพระอาทิตย์ด้านนอกเงียบๆ ก่อนเอ่ยว่า "ข้ามา... ไม่สายเลยนะ"
นางจัดการทำธุระเสร็จแต่เช้าก็ออกมาเลย
แต่พอนึกถึงว่าพี่สาวของตนเองมักตื่นนอนั้แ่ก่อนไก่โห่ เฉียวเยว่ก็ยอมศิโรราบ
"ข้าขึ้นชื่อเื่เกียจคร้านตัวเป็ขนอยู่แล้ว จะตื่นเช้าเหมือนท่านได้อย่างไร" นางเอ่ยเสียงเบา
พอเห็นนางพูดฉาดฉานเช่นนี้ อิ้งเยว่ก็จนปัญญาไม่รู้จะว่าอย่างไร แต่กลับเคยชินเสียแล้ว "จะเกียจคร้านอันใดก็ไม่ว่า แต่อย่างน้อยหาเหตุผลมาอ้างสักหน่อยก็ได้ ยอมรับอย่างชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมัง"
เฉียวเยว่ยิ้มพราย "ความหมายของพี่สาวก็คือไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องมีผ้าปิดอาย [1] ใช่หรือไม่?"
อิ้งเยว่ทอยิ้มอ่อนจาง เฉียวเยว่มองผลไม้บนโต๊ะก็หยิบขึ้นมาผลหนึ่ง แล้วกัดเบาๆ หนึ่งคำ แล้วหรี่ตาเล็กน้อย "พี่สาว ท่านแม่ให้ข้ามาบอกท่านว่า อย่าได้วิตกกังวลใดๆ"
อิ้งเยว่อมยิ้ม "ข้าไม่มีสิ่งใดวิตกกังวล"
เฉียวเยว่ร้องอี๋ ใครจะไปเชื่อ!
อิ้งเยว่กล่าวอย่างช้าๆ "ไยข้าต้องกังวลเล่า? ต่อให้ข้าไม่เชื่อมั่นท่านพ่อกับท่านแม่ แต่ข้าเชื่อมั่นในตัวเฉียวเยว่"
อิ้งเยว่มองเฉียวเยว่ด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มราวกับมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ในถ้อยคำ
เฉียวเยว่ทำหน้าซื่อไร้เดียงสา "ท่านเชื่อข้าจะมีประโยชน์อันใด? ข้าเป็เพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำอะไรไม่ได้หรอก"
อิ้งเยว่หัวเราะออกมาอีกครา เฉียวเยว่พลันรู้สึกว่าพี่สาวของตนมีรอยยิ้มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ถึงแม้จะยิ้มมากขึ้น แต่กลับไม่ได้ดูมีความสุขมากนัก ในทางตรงข้ามกลับดูเหมือนเป็การยิ้มแบบขอไปทีมากกว่า ไม่ได้หมายความว่านางละเลยไม่ใส่ใจ แต่ดูคล้ายเป็เกราะป้องกันที่สร้างขึ้นมาห่อหุ้มอีกชั้น
เฉียวเยว่กุมมือของอิ้งเยว่ แล้วถามว่า "พี่สาว ท่าน... มีเื่อะไรใช่หรือไม่?"
อิ้งเยว่เลิกคิ้ว "มีเื่?"
"วันนี้ท่านดูไม่มีความสุขเลย หากท่านบอกว่าไม่มีอะไร ข้าคงจะไม่เชื่อ" เฉียวเยว่ตอบ
อิ้งเยว่มีเื่ไม่สบายใจอยู่จริงๆ แต่ไรมานางเป็คนเข้มแข็ง แต่พอเห็นสีหน้าห่วงใยของเฉียวเยว่ ก็รู้สึกอดกลั้นไม่อยู่ แต่เพราะแม่หนูน้อยคนนี้ทำสิ่งใดมักไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาภายหลัง นางถึงไม่อยากบอกอะไร ได้แต่พูดเพียงว่า "เ้าคิดมากไปแล้ว แต่ถึงแม้จะมีเื่ ข้าก็จัดการเองได้ เ้าจะมีประโยชน์อันใด"
"แต่สองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวนะเ้าคะ"
เฉียวเยว่พูดอย่างจริงจัง "พี่สาว ไม่ว่าเื่ไหนก็อย่าแบกรับอยู่คนเดียว ท่านยังมีพวกเราอยู่เสมอ"
อิ้งเยว่ไม่อยากพูดกับนางมากเกินไปนัก "เ้าคิดแต่เื่สนุกอย่างเดียวก็พอแล้ว"
เฉียวเยว่เห็นสีหน้านางก็รู้ว่าอิ้งเยว่จะไม่พูดอย่างแน่นอน นางจึงเลิกถาม แล้วหันมาฉอเลาะอย่างน่าเอ็นดู "เหลวไหล ข้าใช่คนที่สนใจแต่เื่สนุกเสียที่ไหน ข้ายังเป็พิราบน้อยส่งสารอีกด้วย นี่ก็มาส่งข่าวแทนท่านแม่อยู่มิใช่หรือ?"
อิ้งเยว่หัวเราะพรืดออกมา แล้วพูดยั่วเย้า "ข้าได้ยินว่าพิราบน้อยไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน มีงานยุ่งมากทุกวัน"
เฉียวเยว่ไหนเลยจะยอมรับ "ข้าบริสุทธิ์ใจจริงๆ นะเ้าคะ"
อิ้งเยว่มองนางอย่างพินิจ ยิ่งพิศก็ยิ่งรู้สึกว่าเฉียวเยว่สวยขึ้นมาก แม้แต่พี่สาวอย่างนางก็ยังยอมรับ
"ข้าได้ยินว่าเ้ากับอวี้อ๋องเข้ากันได้ดียิ่ง"
เฉียวเยว่ขบคิดถึงความหมายในคำพูดนี้ แล้วถามออกไป "ยังมี... ข่าวลืออย่างอื่นอีกหรือ?"
อิ้งเยว่กลอกตาใส่นาง "ไฉนเ้าถึงความรู้สึกไวเช่นนี้"
"แน่นอนอยู่แล้วซี เพราะข้าเฉลียวฉลาด คนเรายิ่งฉลาดเท่าไร ก็มักจะคิดมากเสมอ" เฉียวเยว่ตอบทันควัน
"ไม่มีใครพูดอะไรหรอก แต่ข้าคิดว่าเ้าอยู่ให้ห่างจากอวี้อ๋องมากหน่อยจะดีกว่า อย่างไรเสียเ้าก็มิใช่เด็กเล็กๆ แล้ว" พูดมาถึงตรงนี้ อิ้งเยว่ก็หัวเราะออกมา "เ้าจะเชื่อข้าได้อย่างไร ข้านี่คิดมากไปจริงๆ"
เฉียวเยว่หัวเราะออกมายกใหญ่ "ไยพี่สาวถึงคิดเช่นนี้เล่า"
"ข้ารู้สึกว่าอวี้อ๋องเป็คนล้ำลึกคาดเดาไม่ได้" อิ้งเยว่ตอบ
"ท่านไม่ต้องเป็ห่วงข้า ดีหรือไม่ ข้าสามารถตัดสินใจเองได้ อีกอย่างพี่จ้านเห็นข้าั้แ่เล็กจนโต และเขาก็เอ็นดูข้ามาั้แ่เด็ก เขาไม่ดีกับผู้อื่นมิได้หมายความว่าจะไม่ดีต่อข้า ท่านว่าถูกต้องหรือไม่?"
อิ้งเยว่ไม่ตอบ เอาแต่เม้มริมฝีปาก
แต่เฉียวเยว่กลับพูดต่อไปว่า "ข้าก็เป็คนเช่นนี้เอง แต่ไรมามักเห็นญาติมิตรสำคัญกว่าเสมอ ดังนั้นถึงเขาจะไม่ดีกับผู้อื่น แต่ก็ยังเป็พี่ชายที่ดีมากในหัวใจของข้า"
อิ้งเยว่ย้อนถามกลับทันที "เป็แค่พี่ชายจริงหรือ? ไม่ใช่อย่างอื่นแน่นะ?"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ ยิ้มอย่างไร้เดียงสา "คำพูดของพี่สาวข้าไม่เห็นด้วย ใช่มิใช่ก็ไม่เห็นจะสำคัญตรงไหนเลย เื่ของภายภาคหน้าใครเล่าจะสามารถบอกได้ ถึงอย่างไร คนเราก็ไม่อาจมองเห็นอนาคต และข้าก็คิดว่าการมองเห็นอนาคตคือสิ่งที่น่ากลัวและไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย"
่เวลาขณะคุยกัน เฉียวเยว่ก็กินผลไม้จนหมดเกลี้ยง นางเช็ดมือแล้วถามว่า "พี่สาว มีของอร่อยอย่างอื่นอีกหรือไม่?"
อิ้งเยว่อับจนถ้อยคำ "เ้านี่มันเด็กตะกละจริงๆ ั้แ่เล็กจนโตก็ยังเหมือนเดิม"
จนกระทั่งถึงตอนเย็น เฉียวเยว่เตรียมตัวกลับ ก็หิ้วตะกร้ากลับไปด้วยสองใบเต็มๆ นางยิ้มพลางกำชับเป็มั่นเหมาะ "พี่สาวต้องหาเวลามาเล่นกับข้าบ้างนะ"
อิ้งเยว่โบกมือให้ด้วยความจนใจ
จวนรัชทายาทอยู่ไม่ไกลจากจวนสกุลิ่มากนัก เฉียวนั่งอยู่บนรถม้า พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นิ่จื้อรุ่ยกำลังกลับจวน ทั่วทั้งตัวเขากำจายกลิ่นอายปฏิเสธผู้คนมิให้เข้าใกล้ เฉียวเยว่นึกถึงวันนั้นที่ิ่จื้อรุ่ยลอบเข้ามาในจวนซู่เฉิงโหวกลางดึก นางไม่เคยคุยกับใครถึงเื่นี้เลย แต่มานึกดูตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาทำสิ่งใดอยู่กันแน่
เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก ขณะที่ยังลังเลใจอยู่ จู่ๆ ิ่จื้อรุ่ยก็หันกลับมา สายตาของทั้งคู่ชนกันพอดี เขาอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ผงกศีรษะให้นาง
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน แต่ไม่ช้ารอยยิ้มของนางก็ต้องแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เบื้องหน้ามีคนชุดดำโรยตัวลงมาจาก้า บุกเข้าทำร้ายิ่จื้อรุ่ย
ไม่ช้าก็เกิดการต่อสู้ชุลมุนวุ่นวายไปหมด เฉียวเยว่ไม่มีเวลาแม้แต่จะตกตะลึง นางเลิกม่านรถะโออกไป "พวกเ้ารีบไปช่วยเร็วเข้า"
นางพาองครักษ์มาด้วย สองคนในนั้นอยู่คุ้มกันรถม้า อีกสองคนที่เหลือรีบวิ่งออกไปช่วยเหลือ
เฉียวเยว่รู้ว่าตนเองอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะเป็ตัวกีดขวาง จึงออกคำสั่ง "พวกเรารีบไปกันเถอะ"
ทว่าพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีคนบุกเข้ามาทางนี้ ขณะที่เฉียวเยว่ยังตั้งตัวไม่ติด รถม้าก็คว่ำลงกับพื้น นางรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว ก่อนจะหมดสติไปอย่างสมบูรณ์
...
ขณะฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงไม้ที่แกะสลักอย่างประณีต นางนวดศีรษะของตนเองอย่างงุนงง
"คุณหนูเจ็ด ท่านฟื้นแล้ว?" ม่านประตูถูกเลิกขึ้น พร้อมกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
เฉียวเยว่ช้อนตาขึ้นมองก็เห็นว่าเป็อวิ๋นเอ๋อร์ นางอยากลุกขึ้นมานั่ง อวิ๋นเอ๋อร์ก็เข้ามาประคองทันที
เฉียวเยว่รู้สึกว่าสมองของตนเองกำลังปั่นป่วน รู้สึกชาหนึบไปทั้งตัว และปวดหัวจนแทบะเิ
"คุณหนู ท่านเป็อันใดหรือไม่? เมื่อครู่ท่านหมอมาดูอาการท่านแล้ว บอกว่าไม่เป็อะไรมาก แต่ไม่รู้ว่าตรวจละเอียดดีแล้วหรือเปล่า ข้าไปตามเขามาอีกดีกว่า" อวิ๋นเอ๋อร์ขมวดคิ้วเอ่ยถามเสียงเบา สีหน้าเจือไปด้วยความวิตกกังวล
แต่เฉียวเยว่รั้งแขนของนางไว้แล้วส่ายหน้า "ข้าไม่เป็อันใด"
"แค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย ข้า... เดี๋ยวนะ พี่จื้อรุ่ยเป็อย่างไรบ้าง?"
"นายน้อยิ่ไม่เป็อันใดแล้วเ้าค่ะ มือสังหารเ่าั้ถูกธนูระดมยิงจนตายหมดแล้ว" อวิ๋นเอ๋อร์เล่า "นายท่านสามรู้ว่าฟื้นขึ้นมาจะต้องถามเื่นี้แน่ ด้วยเหตุนี้จึงไปสอบถามมาแล้ว นายน้อยิ่ได้รับาเ็เล็กน้อย ไม่หนักหนาสาหัสเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่ค่อยโล่งอกได้เสียที
"ไม่เป็ไรก็ดี ข้าอยากนอนพักเงียบๆ สักครู่ เ้าออกไปเถอะ" เฉียวเยว่นวดจุดไท่หยาง แล้วลงไปนอนอีกครา
"เ้าค่ะ" อวิ๋นเอ๋อร์ยอบกายเล็กน้อยแล้วเดินออกไป ทว่าใบหน้าก็ยังแฝงแวววิตกกังวลอยู่หลายส่วน
...
[1] ผ้าปิดอายหมายถึงกางเกงชั้นใน ผ้าปิดของลับ หรือใช้ในความหมายว่าปกปิดสิ่งที่น่าอัปยศอดสูก็ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้