หลังจากไท่ไท่สามบ่นจู้จี้อยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็กลับออกไป เฉียวเยว่ลูบใบหูที่ร้อนผ่าวของตนเอง แล้วนั่งลงข้างโต๊ะ "ลงมาเถอะ"
นางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
พูดตามตรง อย่าว่าแต่เฉียวเยว่ หรงจ้านเองก็ประหม่าเช่นเดียวกัน เขามองนางเงียบๆ นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า "ดึกมากแล้ว ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเ้า"
เฉียวเยว่โบกมือทันที "กลับดีๆ นะเ้าคะ"
เป็เื่น่าอายอยู่บ้างที่ถูกผู้อื่นได้ยินเื่ส่วนตัวที่พวกนางสองแม่ลูกคุยกัน แม้จะเป็เด็กมองโลกในแง่ดี แต่ถึงอย่างไรเฉียวเยว่ก็เป็สตรี นางขบริมฝีปาก สายตาของหรงจ้านจดจ้องที่ริมฝีปากของนาง ั์ตาเข้มขึ้น ความร้อนรุ่มในร่างกายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เขาก้มศีรษะสงบจิตใจ เอ่ยถ้อยคำเร็วกว่าปรกติ "ข้าไปก่อนล่ะ"
เฉียวเยว่จ้องหรงจ้านตาปริบๆ
"เ้ามองข้าทำไม หันกลับไปเลย" หรงจ้านเอ่ย
เฉียวเยว่รู้สึกว่าคนผู้นี้น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก ใช่ว่าไม่เคยมองเสียเมื่อไร ก็แค่ปีนหน้าต่าง ไม่ได้ปีนเตียงเสียหน่อย
แน่นอนว่านางมิได้เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกไป นางหันหลังกลับมาเงียบๆ ไว้หน้าเขาหน่อย แต่พอหันกลับไปอีกที ปรากฏว่าหรงจ้านไม่อยู่แล้ว "คนผู้นี้ชอบทำตัวลึกลับนักเชียว"
เฉียวเยว่นอนดึก ย่อมไม่ตื่นเช้ามากเป็ธรรมดา แต่หลังจากตื่นแล้ว ได้ยินว่าคุณหนูสามมาหาสองรอบแล้ว นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงให้คนไปเชิญหรงเยว่มาทันที
เชื่อว่านางต้องมีเื่ร้อนใจบางอย่างเป็แน่
"เหตุใดพวกเ้าไม่เรียกข้าเล่า" นางถาม
"คุณหนูสามยืนกรานไม่ให้พวกเรามาเรียกคุณหนูเ้าค่ะ" อวิ๋นเอ๋อร์ตอบ
แต่อวิ๋นเอ๋อร์ทราบว่าคุณหนูของตนนอนดึก จึงไม่อยากให้นางตื่นแต่เช้า ไม่ว่าคุณหนูเจ็ดจะโตแค่ไหน ในสายตาของพวกนาง คุณหนูก็ยังเป็เด็กหญิงตัวน้อยที่้าความคุ้มครองดูแลจากทุกคนเสมอ
ขณะที่คุยกันอยู่หรงเยว่ก็เข้ามา
นางขอบตาแดง ทันทีที่พบเฉียวเยว่ก็เข้ามาจับมือของนางไว้แน่น
"พี่หรงเยว่เป็อันใด? ท่านอย่าร้องไห้ซี" เฉียวเยว่ปลอบประโลม
เห็นนางหลั่งน้ำตา เฉียวเยว่ก็รีบเกลี้ยกล่อม "มีเื่อันใดค่อยๆ พูดกับข้า"
"เฉียวเยว่ เ้าช่วยไปขอร้องท่านย่าแทนข้าได้หรือไม่? ท่านย่าไม่ยอมพบข้าเลย ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว จนป่านนี้ท่านพ่อของข้าก็ยังไม่กลับ ข้าไร้หนทางแล้วจริงๆ"
นางอับจนหนทางแล้วจึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากเฉียวเยว่
"ท่านย่ารักเ้ามาก เ้าช่วยขอร้องท่านย่าแทนข้าที ข้ารู้ท่านแม่ของข้าไม่ดีแค่ไหน ปากก็ร้าย ไม่รู้จักกาลเทศะ แต่เ้าเชื่อข้าเถอะ อย่าว่าแต่ท่านน้าของข้าเลย แม้แต่อนุภรรยาของบิดาข้า นางก็ไม่เคยทำร้ายเช่นนี้ นางชิงชังอนุเ่าั้ก็จริง แต่บุตรของพวกนางมีคนไหนบ้างที่ไม่คลอดออกมาอย่างปลอดภัย แล้วไยแม่ข้าต้องปองร้ายท่านน้าด้วยเล่า เ้าว่าถูกต้องหรือไม่? ตอนนี้ทั้งป้าสะใภ้ใหญ่และท่านน้าต่างบอกว่ามารดาข้าจิตใจอำมหิต แต่เฉียวเยว่ เ้าเชื่อข้าเถอะ ได้โปรดเชื่อข้า แม่ข้าไม่ได้ทำเช่นนี้ นางเพียงปากร้าย แต่ไม่เคยทำเื่เลวร้าย ถึงแม้จะมีความคิดแต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้นหรอก อีกอย่างนั่นคือน้าแท้ๆ ของข้า เหตุใดนางต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?"
หรงเยว่จับมือของนางไว้แน่น สั่นระริกไปทั้งตัว นางรู้ว่าเื่แบบนี้ไม่ควรมาขอให้เฉียวเยว่ช่วยเหลือ แต่เวลานี้นางอับจนหนทางไม่รู้จะหันไปพึ่งใครจริงๆ
บิดาของนางตอนนี้ก็ยังหาตัวไม่พบ ท่านอาสามเข้าวังถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา
คนที่นางขอความช่วยเหลือได้จึงมีเพียงเฉียวเยว่แล้ว
"ข้ารู้ ข้ารู้ว่าท่านเป็ห่วงป้าสะใภ้รอง" เฉียวเยว่เอ่ยเสียงเบา
หรงเยว่พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง "บัดนี้ท่านแม่ข้าอยู่โถงบูชาบรรพชน ข้าไม่รู้ว่านางเป็อย่างไรบ้าง"
หรงเยว่ร้องไห้ออกมา แม้ว่านางจะโตกว่าเฉียวเยว่ค่อนข้างมาก แต่ถึงอย่างไรก็เป็คุณหนูที่ไม่เคยมีประสบการณ์ชีวิตมากมาย นางไหนเลยจะรู้ว่าท่านน้าแท้ๆ ของตนจะทำเช่นนี้
เฉียวเยว่เข้าใจความรู้สึกของหรงเยว่ ดึงให้นางนั่งลงแล้วพูดอย่างจริงจัง "ท่านลองตรองดู ขนาดท่านยังเข้าใจเหตุผล แล้วท่านย่าจะมองไม่ออกได้อย่างไร"
หรงเยว่พยักหน้า "ข้ารู้ ข้ารู้ แต่ท่านย่าไม่พูดอะไรเลย มิหนำซ้ำท่านแม่ของข้าก็ถูกจับไปขัง ข้า..."
นางไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ
"ครานี้ท่านน้าของท่านชี้ตัวว่าเป็มารดาของท่าน ท่านลองคิดดู หากท่านย่าปล่อยมารดาท่านออกมา โดยไม่มีหลักฐานหักล้างสักชิ้น แล้วจะโน้มน้าวให้ทุกคนเชื่ออย่างไร?"
"เวลานี้ ท่านควรไปหาบิดาของท่าน และหาหลักฐานเพื่อมาหักล้างคำกล่าวหาเ่าั้ ต่อให้ทุกคนรู้ว่านางใส่ร้ายป้ายสี แต่พวกเราก็ต้องมีหลักฐาน พูดให้ไม่น่าฟัง คนที่นาง้าใส่ร้ายแต่แรกก็คือพวกข้าสองแม่ลูกมิใช่หรือ? แต่นี่เป็ความซวยของมารดาท่าน ที่พาตัวไปหานางเอง นางกลัวว่าเื่จะถูกเปิดโปง ก็เลยฉวยโอกาสใส่ความมารดาท่านเสียเลย" เฉียวเยว่พูดอย่างจริงจัง
หรงเยว่พยักหน้า นางร้อนใจจนเลอะเลือนไปจริงๆ "เ้าพูดถูก"
เฉียวเยว่พูดอีกครั้ง "ข้าจะไปดูสถานการณ์ที่เรือนของท่านย่า และสอบถามให้ท่านดู แต่ข้าคิดว่าท่านย่าจะไม่ปล่อยมารดาของท่านจนกว่าจะมีหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของนาง มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำให้ทุกคนเชื่อถือได้ แต่ท่านไม่ต้องกังวลว่าท่านย่าจะลงโทษนาง เื่นี้ ขอเพียงเป็คนมีความคิดอ่านสักหน่อยก็จะมองออกว่ามารดาท่านถูกปรักปรำ สิ่งที่ขาดตอนนี้คือหลักฐาน นางไม่มีทางอยู่ดีๆ จะไม่เอาเด็กไว้ นอกเสียจากว่า..."
"เด็กมีปัญหา! ท่านหมอ! ใช่ ต้องไปหาท่านหมอที่ท่านน้าไปพบอยู่เป็ประจำ"
หรงเยว่ก็ไม่โง่เขลา หลังได้คำเตือนจากเฉียวเยว่ ก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว "ข้าต้องรีบแล้ว อย่าให้ถูกคนชิงตัดหน้าไปก่อน"
...
เฉียวเยว่มาถึงเรือนหลัก ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสวดมนต์ เห็นเฉียวเยว่มาก็เอ่ยว่า "ข้ารู้เ้าเป็เด็กจิตใจดี ทนการรบเร้าของหรงเยว่ไม่ได้"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า ตอบเสียงใส "ข้ายินยอมเองเ้าค่ะ ข้าทนเห็นพี่สามเดือดเนื้อร้อนใจไม่ได้จริงๆ แต่ข้าเกลี้ยกล่อมนางแล้ว"
เฉียวเยว่รู้ว่าท่านย่าเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก "ท่านย่าเ้าคะ บางเื่เมื่อเรือถึงหัวสะพานย่อมจะตรงเอง [1] ทุกคนต่างรู้ว่าควรทำเช่นไร เมื่อป้าสะใภ้ใหญ่รับหน้าที่ดูแลจัดการภายในจวน บางเื่ก็ควรมอบหมายให้นางได้พอดี"
นางทอยิ้มอ่อนๆ "แม้ว่าเื่นี้จะเป็เื่ของเรือนใหญ่ แต่ข้าคิดว่าป้าสะใภ้ใหญ่ต้องตัดสินอย่างเป็ธรรมแน่นอนเ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่ามองเฉียวเยว่ด้วยความประหลาดใจอยู่นาน "เด็กคนนี้ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก เื่ราวไหนเลยจะเรียบง่ายอย่างที่เ้าคิด?" ฮูหยินผู้เฒ่าทอยิ้มน้อยๆ
เฉียวเยว่ส่ายหน้า เอ่ยตามตรง "ไม่ใช่ว่าข้าคิดอะไรง่ายๆ พวกท่านมักรู้สึกว่าข้าไร้เดียงสา แต่ไม่ใช่เสียหน่อย ข้าเฉลียวฉลาดที่สุด ท่านย่าเชื่อหรือไม่ หากท่านเป็ฝ่ายมอบหน้าที่ให้ป้าสะใภ้ใหญ่จัดการ นางต้องตัดสินอย่างยุติธรรมแน่นอน ป้าสะใภ้ใหญ่หาใช่คนเบาปัญญา นอกจากนี้ความสามารถในการตรวจสอบเื่นี้ นางย่อมมีอยู่ มิเช่นนั้นจะจัดการทุกอย่างในจวนอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยได้อย่างไร"
เฉียวเยว่ลากเบาะเข้ามา ด้วยเกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเจ็บ แล้วลุกขึ้นไปรินน้ำมาให้
แม้เฉียวเยว่จะดูไม่อินังขังขอบ และไม่มีเล่ห์กลล้ำลึกอันใด แต่แท้จริงแล้วนางใส่ใจผู้คนมาก ฮูหยินผู้เฒ่ารับถ้วยมา เอ่ยถามว่า "เมื่อวานเ้าใหรือไม่?"
เด็กดีๆ ต้องมาถูกคนจิตใจโสมมเหล่านี้จดจ้องเล่นงาน ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ปวดใจ "เื่ในบ้าน เ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางไม่ใส่ใจมากนักก็สบายใจไม่น้อย เมื่อวานเฉียวเยว่โกรธจัด แสดงความเฉียบคมออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่านางไม่พูดอะไร แต่หลานของตนเองทั้งคน นางย่อมดูออก ถึงแม้ตอนนั้นนางจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็ห่วงตนเอง ถึงยังไว้หน้าคนน่ารังเกียจเ่าั้
"เื่ในครอบครัว ไม่ว่าจะน่ารังเกียจแค่ไหน ย่าก็จะไม่ให้กระทบมาถึงเ้า ขอเพียงเ้าตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวันก็พอ"
ฮูหยินผู้เฒ่าเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ "จะว่าไป อาสะใภ้รองของเ้าก็โง่เขลาเหลือเกิน อยู่ดีๆ ก็ถูกคนเล่นงานเอาได้ หากเปลี่ยนเป็ผู้อื่น ไหนเลยจะลงเอยเช่นนี้ หากพี่หญิงสามของเ้าออกเรือนไป ไม่มีคนเป็ที่ปรึกษาให้นาง ก็ไม่รู้จะก่อเื่อีกมากมายเท่าไร"
เฉียวเยว่ยิ้มพลางทำเสียงเข้ม "แต่ท่านย่าจะห้ามมิให้พี่หญิงสามออกเรือนไม่ได้นะเ้าคะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าตีมือน้อยๆ ของนาง แล้วหัวเราะบ่นว่า "ยายหนูคนนี้นี่ พูดเหลวไหลอีกแล้ว ความปรารถนาสูงสุดของย่าคืออยากให้พวกเ้าได้แต่งงานกับคนที่ดี ่นี้ก็ดูคนให้พี่สาวสองสามคนของเ้าไม่น้อย อิ้งเยว่พี่สาวเ้าออกเรือนไปแล้ว คนอื่นๆ จะรอช้าไม่ได้"
เฉียวเยว่กลับไม่เห็นว่าจะเป็อันใด "ต้องมีสักคนที่เหมาะสม หากรีบร้อนเกินไปอาจเจอแต่พวกพึ่งพาไม่ได้ พี่หญิงสามเป็คนดีมาก บุรุษธรรมดาไหนเลยจะคู่ควรกับนาง"
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะ แล้วถอนหายใจ "ไฉนเ้าถึงเหมือนป้าสะใภ้รองของเ้านัก"
เฉียวเยว่เบะปากค่อนแคะ "ข้าไม่เหมือนสักหน่อย ข้ามองเห็นความดีงามของพี่หญิงสามจริงๆ แต่ป้าสะใภ้รองนางมั่นใจแบบสุ่มสี่สุ่มห้า คิดแต่จะเอาหน้าท่าเดียว"
เฉียวเยว่ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยคำใด ชิงยกสองมือขึ้นประนมทันควัน "ข้ามิควรลามปามผู้าุโ ท่านย่าอย่าตำหนิข้าเลยนะเ้าคะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าถูกนางหยอกเย้าเช่นนี้ ก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย "ยายหนูคนนี้ รู้ว่าไม่ถูกก็ยังจะพูดอีก"
"นั่นก็เพราะท่านย่าไม่ใช่คนนอก หากอยู่ต่อหน้าคนนอก ข้าวางตัวเหมาะสมยิ่ง" เฉียวเยว่พูดฉอเลาะ
จริงอย่างที่ฉีอันพูดอยู่บ่อยๆ พี่สาวของเขามีทักษะในการแสดงละครเป็หนึ่งในใต้หล้า
"เหมาะสม ไกวเยว่ของย่าวางตัวเหมาะสมที่สุด" ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะ
แท้จริงแล้วเด็กในบ้านส่วนใหญ่ล้วนแต่รู้ความ ไม่ว่าเฉียวเยว่ หรงเยว่หรือเด็กผู้ชายอีกสองสามคน ล้วนแต่รู้จักขอบเขตว่าสิ่งใดควรมิควร กลับเป็ผู้ใหญ่เสียอีกที่ใช้ไม่ได้ แต่ละคนล้วนไม่มีความเป็ผู้ใหญ่เอาเสียเลย เป็ตัวอย่างที่ดีให้แก่บุตรหลานไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้น "พูดขึ้นมาแล้ว มีอีกเื่ที่ย่าต้องคุยกับเ้า"
"ท่านย่าโปรดชี้แนะ" เฉียวเยว่ตอบรับทันที
ไม่รู้ว่าเป็เื่ใด ท่านย่าถึงดูจริงจังนัก
"ได้ยินว่าอีกสองวันแม่ทัพิ่จะกลับมาเมืองหลวง ฮูหยินของเขาก็เดินทางมาพร้อมกันด้วย"
เฉียวเยว่กลับไม่ทราบเื่นี้ แม้ว่านางจะดูเป็สาวน้อยรู้ทุกเื่ แต่แท้จริงแล้วนางสนใจแต่เพียงเื่ภายในครอบครัวของตนเองเท่านั้น เื่ของผู้อื่นล้วนไม่อยู่ในความสนใจของนางมาแต่ไหนแต่ไร
"หืม? อะไรนะเ้าคะ? ท่านย่าอยากให้ข้าไปเยี่ยมเยือนหรือ?"
เฉียวเยว่เอานิ้วมือชนกันอย่างน่ารัก
"ไม่ใช่ ตรงกันข้าม ย่าอยากให้เ้าเฉยชากับทางนั้นหน่อย อย่าไปใกล้ชิดมากนัก และอย่าไปข้องเกี่ยวกับจื้อรุ่ยมากเกินไปด้วย"
ไม่ทันที่เฉียวเยว่จะตอบรับ นางก็พูดอีกว่า "จื้อรุ่ยอายุสิบเจ็ดแล้ว พ้นปีใหม่ไปก็เข้าสิบแปด ถึงวัยอันควรที่จะตบแต่งภรรยา ย่าไม่อยากเกี่ยวดองกับตระกูลของพวกเขา"
...
[1] เมื่อเรือถึงหัวสะพานย่อมจะตรงเอง หมายถึง เื่ราวเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะสามารถคลี่คลายได้เอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้