่สิบปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายา และขั้นรวมชี่ที่ผ่านการทดสอบตอนปลายปี เฉลี่ยแล้วจะถูกผูกขาดกับพรรคเทียนจี ในทางตรงกันข้าม อำนาจของพรรคเทียนอวิ๋น และพรรคเทียนเซียวรวมกันแล้วยังด้อยกว่า ส่วนพรรคเทียนเสวียนเป็พรรคที่แตกต่างสุดในบรรดาทั้งสี่พรรค และภายในพรรคยังมีจำนวนศิษย์น้อยที่สุด
สาเหตุที่พรรคเทียนเสวียนคัดเลือกศิษย์อย่างเข้มงวด นั่นเป็เพราะรับศิษย์ที่มีิญญาาขั้นเหลืองขึ้นไปเท่านั้น เงื่อนไขนี้จึงปิดกั้นผู้คนมากมายที่อยากเข้าร่วมพรรคเทียนเสวียน
เนื่องจากพรรคเทียนเสวียนมีคนไม่มาก ศิษย์ภายในพรรคจึงต้องเข้มงวด พลังไม่เพียงแต่ด้อยกว่าพรรคเทียนจี แต่อัจฉริยะเ่าั้ที่ปลุกิญญาาระดับสูงได้ส่วนใหญ่จะไม่เต็มใจเข้าร่วม จึงนำมาซึ่งการกดดันจากพรรคเทียนจีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ศิษย์ที่เลือกเข้าพรรคเทียนเสวียนก็ยิ่งน้อยลง แต่คนที่รู้เกี่ยวกับสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอย่างถ่องแท้จะเข้าใจดี ความจริงแล้วพรรคเทียนเสวียนมีรากฐานแข็งแกร่งเป็อย่างมาก พลังของหัวหน้าพรรคลึกลับคาดเดาไม่ได้ และไม่ชอบชิงดีชิงเด่นกับอีกสามพรรค
เย่เฟิงยังคงเดินตามฉู่หาน ก่อนหน้านี้ฉู่หานพาเขาไปรับป้ายประจำตัวศิษย์ ซึ่งมีป้ายนี้แล้ว เย่เฟิงก็ถือได้ว่าเป็ศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนอย่างแท้จริง
ขณะนั้นมีลานกว้างปรากฏที่ข้างหน้าเย่เฟิง ทั้งยังมีอาคารก่อสร้างโอ่อ่ารายล้อมอยู่เต็มไปหมด ซึ่งมีคนมากมายอยู่ในลานกว้าง ล้วนแต่เป็ศิษย์สำนักยุทธ์ แต่ส่วนใหญ่มาจากอีกสามพรรคนอกจากพรรคเทียนเสวียน และยังมีแท่นศิลาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลางลานกว้าง
“รายนามขั้นบ่มเพาะกายา รายนามขั้นรวมชี่” เย่เฟิงทอดสายตามองอักษรตัวใหญ่ที่สลักอยู่บนแท่นศิลานั่น
ข้างใต้อักษรตัวใหญ่นี้ยังมีชื่อคนสลักไว้ด้วย รายนามบนแท่นศิลามีสิบคนพอดี ทั้งยังมีแสงแห่งพลังหยวนแผ่ออกจากตัวอักษรจาง ๆ แวบแรกที่เห็นก็เหมือนกับว่าตัวอักษรเหล่านี้ถูกสลักด้วยเครื่องมือ แต่พอสังเกตดูดี ๆ จะพบว่าตัวอักษรเหล่านี้สร้างขึ้นจากพลังหยวน ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง
“ศิษย์พี่ฉู่ นั่นคืออะไรหรือ?” เย่เฟิงกล่าวถามฉู่หานที่อยู่ข้าง ๆ
“นี่คือแท่นศิลาเทียนเสวียนของสำนักยุทธ์พวกเรา ศิษย์ที่อยู่ในสำนักยุทธ์แห่งนี้จะอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาและขั้นรวมชี่ ดังนั้นจึงมีรายนามสองฝั่ง ผู้ที่จะสลักชื่อบนนั้นได้จะต้องเป็อัจฉริยะที่เก่งที่สุดของทั้งสองขั้นพลัง” ฉู่หานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จากนั้นทั้งสองคนเดินมาถึงที่ด้านหน้าแท่นศิลาเทียนเสวียน
“งั้นต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่ในสองรายนามนี้ได้?” เย่เฟิงกล่าวถาม เขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับแท่นศิลาเทียนเสวียนเป็อย่างมาก อีกอย่างเขายังเห็นชื่อเฉินอ้าวเทียนอยู่ในสามรายนามที่อยู่บนสูงสุดของรายนามขั้นรวมชี่ เฉินอ้าวเทียนอยู่อันดับที่ 3 ของขั้นรวมชี่ นี่เป็การพิสูจน์พลังของเฉินอ้าวเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทางสำนักจะจัดการทดสอบหนึ่งครั้งใน่ปลายปีของทุกปี ยามนั้นศิษย์ของสี่พรรคจะชิงดีชิงเด่นกัน ทั้งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาและขั้นรวมชี่ ใครที่ได้สิบอันดับแรก ชื่อของคนนั้นก็จะได้ไปอยู่บนแท่นศิลาเทียนเสวียน และได้เพลิดเพลินไปกับเกียรติยศที่รุ่งโรจน์” ฉู่หานตาทอประกายคมกริบ ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววมุ่งมั่น ดูเหมือนฉู่หานให้กำลังใจตัวเอง
อีกสามเดือนจะเป็วันทดสอบอีกครั้ง ยามนั้นเขาจะต้องเอาชื่อของตัวเองขึ้นไปอยู่บนนั้นให้ได้ และกำจัดความเสียใจเมื่อปีที่แล้วไปให้หมดสิ้น
“นอกจากการทดสอบแล้ว ยังมีวิธีอื่นหรือไม่?” เย่เฟิงกล่าวถาม เขารู้ว่าการที่เข้าพรรคของเยว่กู่ได้นั้น ศิษย์พี่ฉู่คนนี้ต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน แต่บนรายนามของแท่นศิลาเทียนเสวียนกลับไม่มีชื่อของอีกฝ่ายอยู่เลย ดูท่าศิษย์พี่ฉู่ก็คิดอยากเข้าไปอยู่ในรายนามนี้มาก ๆ
“มี หากเ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอ ก็สามารถท้าดวลกับใครก็ได้ที่อยู่ในสองรายนามนี้ หากอีกฝ่ายตอบตกลงและเมื่อเ้าเอาชนะได้ ชื่อของเ้าก็จะไปแทนที่ก่อนรายนามของอีกฝ่าย” ฉู่หานกล่าว
สายตาของเย่เฟิงทอประกาย วิธีที่สองที่ฉู่หานว่ามาเป็วิธีที่ตรงและง่ายกว่า
อย่างไรก็ตามการมีแท่นศิลาเทียนเสวียน ทำให้เชื่อว่ามีศิษย์สำนักไม่น้อยที่พยายามเพราะรายนามนี้ ขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มการแข่งขันระหว่างพวกเขาอีกด้วย นี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง และการปะทะกันไม่น้อย อาจกล่าวได้ว่าทางสำนักยุทธ์เทียนเสวียนชาญฉลาดมากที่ใช้สองรายนามนี้มากระตุ้นเหล่าศิษย์
“เข้าใจแล้ว!”
เย่เฟิงมองฉู่หานด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฉู่ต้องแข็งแกร่งมากเป็แน่ ในการทดสอบปลายปี ศิษย์พี่ฉู่ต้องเข้าไปอยู่ในรายนามนี้ได้แน่นอน”
“ฉู่หาน? เศษสวะอย่างเขาก็อยากไปอยู่บนแท่นศิลาเทียนเสวียนด้วยหรือ? ไร้สาระ!” ขณะนั้นมีเสียงเยือกเย็นดังมาจากบางแห่ง
เย่เฟิงและฉู่หานขมวดคิ้วแน่น จากนั้นจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นสามคนกำลังเดินมาทางพวกเขา ซึ่งล้วนแต่เป็คนรุ่นเยาว์ ดูจากการแต่งกายแล้ว สามคนนี้มาจากพรรคเทียนจี คนที่เป็หัวหน้ามีรูปร่างผอมแห้งมาก ดวงตาฉายแววล้ำลึก ขณะมองพวกเย่เฟิง สีหน้าก็เต็มไปด้วยความดูถูก ส่วนอีกสองคนก็เช่นกัน ดวงตาฉายแววโอหังราวกับไม่เห็นเย่เฟิงและฉู่หานอยู่ในสายตา
“เจิ้งเชา!” แววตาของฉู่หานฉายแววเยือกเย็นเป็พิเศษขณะมองเจิ้งเชาที่เดินมาทางนี้พร้อมกล่าวว่า “ข้าพูดกับศิษย์น้องเย่กันสองคน แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับเ้า? เ้านี่ช่างแส่เื่ชาวบ้านเสียจริง!”
“ฮ่า ๆ ๆ!” เจิ้งเชาและอีกสองคนเดินมาถึงที่ด้านหน้าพวกเย่เฟิง กล่าวพลางแสยะยิ้ม “เกี่ยวอะไรกับข้างั้นเหรอ? มันก็ไม่เกี่ยวกับข้าจริง ๆ แหละ ข้าก็แค่ไม่อยากให้เ้าฝันลม ๆ แล้ง ๆ น่ะ”
เจิ้งเชามองฉู่หานด้วยสายตาดูถูก กล่าวว่า “อีกสามเดือนจะเป็วันทดสอบของสำนักอีกครั้ง ยามนั้นข้าเจิ้งเชาจะไม่ใช่แค่อยู่บนแท่นศิลาเทียนเสวียน แต่ชื่อของข้าจะเลื่อนลำดับไปเรื่อย ๆ ส่วนเ้าฉู่หานก็เป็ได้แค่หินรองฝ่าเท้าข้า”
ฉู่หานคิ้วขมวดพลางมีไอเย็นแผ่ออกจากร่าง ก่อนกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “เจิ้งเชาเ้ามันหน้าไม่อายเสียจริง ๆ การทดสอบคราวก่อน หากเ้าไม่ใช้วิธีสกปรกเพื่อเอาชนะข้า เ้าก็ไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของข้าได้”
เย่เฟิงรับฟังเงียบ ๆ เพียงไม่นานก็เข้าใจเื่ราวที่เกิดขึ้น ที่แท้ศิษย์พี่ฉู่หานกับเจิ้งเชามีความแค้นส่วนตัวกัน
ในการทดสอบของ่ปลายปีที่แล้ว เจิ้งเชากับฉู่หานได้ปะทะกัน ซึ่งเจิ้งเชาใช้วิธีสกปรกเอาชนะฉู่หาน ทำให้ฉู่หานพลาดความฝันที่นามของเขาจะได้อยู่บนแท่นศิลาเทียนเสวียน ส่วนเจิ้งเชากลับได้อยู่อันดับที่ 10 ของรายนามขั้นบ่มเพาะกายา ที่เดิมทีนั่นควรเป็ชื่อของฉู่หาน
“เจิ้งเชาคนนี้ช่างเลวทรามยิ่งนัก” เย่เฟิงพึมพำในใจพลางตาทอประกายเยือกเย็น
แต่ขณะเดียวกันก็มีคนมากมายในลานกว้างเห็นความขัดแย้งนี้ จึงมองมาทางนี้ด้วยความสนอกสนใจ ทั้งยังมีอีกหลายคนจับกลุ่มกระซิบกระซาบ
“เศษสวะก็คือเศษสวะ พอแพ้ก็หาเื่อื่นมาอ้าง ฉู่หาน เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า จากนี้ไปทางที่ดีเ้าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีกจะดีกว่า พวกเ้าสองคน ไสหัวไปซะ!” เจิ้งเชายิ้มอย่างเหยียดหยามและพูดจาดูถูกฉู่หานอย่างไม่สนใจใคร
ฉู่หานไม่ขยับตัว แต่สายตากลับดูน่ากลัวเป็อย่างมาก หลังจากเจิ้งเชาได้อยู่บนแท่นศิลาเทียนเสวียนก็ได้รางวัลจากทางสำนักมากมาย หนำซ้ำพลังก็ยังแกร่งขึ้นมาก
หากให้เขาสู้กับเจิ้งเชาตอนนี้ มีความเป็ได้สูงที่เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายจริง ๆ
“เจิ้งเชา เ้าก็อย่าประมาทมากไปล่ะ เจอกันในอีกสามเดือน!” ฉู่หานกัดฟันพูดด้วยความไม่พอใจ จากนั้นเขาหันไปมองเย่เฟิง กล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์น้องเย่ เราไปกันเถอะ!”
เย่เฟิงเข้าใจความหมาย แต่เขากลับไม่ก้าวเท้าออกไป
“ช้าก่อน” เย่เฟิงกล่าว การที่เจิ้งเชาบอกว่าให้พวกเขาสองคนไสหัวไป มันทำให้เขาไม่พอใจ เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาชี้นิ้วสั่ง ต่อให้เจิ้งเชาจะแข็งแกร่งมากก็ตาม
“ศิษย์น้องเย่ นี่เ้า...” ฉู่หานทั้งประหลาดใจ และไม่เข้าใจการกระทำของเย่เฟิง
แต่ขณะนั้นชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เจิ้งเชาเดินออกมา พวกเขามองเย่เฟิงด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนกล่าวว่า “นายน้อยเจิ้งให้เ้าไสหัวไป เ้าไม่ได้ยินรึไง?”
สองคนนี้คือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 ส่วนเจิ้งเชาคือผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่อบนแท่นศิลาเทียนเสวียน พลังก็แกร่งกล้า ดังนั้นทั้งสองจึงติดตามอยู่ข้างกายและบางครั้งก็ได้รับผลประโยชน์อยู่บ้าง
เหตุผลที่พวกเขาไม่เอ่ยถึงฉู่หาน นั่นเพราะฉู่หานแข็งแกร่งกว่าพวกเขา พวกเขาเลยไม่กล้ายั่วยุ จึงเลือกเย่เฟิงที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ก่อน เพื่อแสดงศักยภาพของพวกเขาให้เด่นชัด
“ได้ยินแล้วน่า” เย่เฟิงตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ได้ยินแล้วทำไมยังไม่รีบไปอีก หรืออยากให้พวกข้าลงมือก่อนถึงจะไปได้?” หนึ่งในสองคนนั้นตวาดใส่เย่เฟิงเสียงดัง
“เ้าสองคนจะลงมือบีบให้ข้าไปงั้นเหรอ?” เย่เฟิงแสยะยิ้มดูถูก
“พรรคเทียนจีก็งั้น ๆ แหละ มีแต่คนเลวทรามทั้งนั้น สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเป็แหล่งเพราะพันธุ์สัตว์หรือไง?”
“หมอนี่บ้าไปแล้วหรือ? แม้แต่เจิ้งเชาเขาก็ยังกล้าล่วงเกิน?” คำพูดจาเสียดสีของเย่เฟิง ทำให้ผู้คนรอบข้างตะลึงงัน เจิ้งเชาคือผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่อบนแท่นศิลาเทียนเสวียน พลังแกร่งกล้ามาก ผู้ติดตามเขาก็ยังร้ายกาจมากด้วย ไม่ใช่ศิษย์ใหม่อย่างเย่เฟิงจะไปล่วงเกินได้
เมื่อเย่เฟิงกล่าวเช่นนั้นก็เป็การล่วงเกินเจิ้งเชาและชายหนุ่มสองคนนั้นแล้ว มีหรือพวกเจิ้งเชาจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ
“คนนี้เป็ใครกัน ทำไมถึงกล้าล่วงเกินเจิ้งเชาขนาดนี้ เขาจบเห่แน่!” มีคนคนหนึ่งในท่ามกลางฝูงชนทอดถอนใจราวกับรู้สึกเสียใจแทนเย่เฟิง
กฎของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนนั้นป่าเถื่อนและโหดร้าย ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่ง และไม่เคยมีข้อจำกัดในศึกต่อสู้ระหว่างศิษย์ การที่เย่เฟิงไปล่วงเกินพวกเจิ้งเชา นี่เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?
“เ้าอยากรนหาที่ตายงั้นเหรอ?” หนึ่งในชายหนุ่มสองคนนั้นกล่าวกับเย่เฟิงด้วยรอยยิ้มเย็นะเื พลางมีไอเย็นแผ่ออกจากร่าง
“พวกเ้าจะทำอะไร? อยากจัดการศิษย์น้องข้าก็ผ่านด่านข้าไปก่อน!” ฉู่หานเอาตัวมาขวางด้านหน้าเย่เฟิง เขากลัวเย่เฟิงจะโดนลูกหลงไปด้วย
“ศิษย์น้องเย่ เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา รีบหนีไป กลับไปที่พรรคเพื่อขอความช่วยเหลือ!” ฉู่หานกล่าวกับเย่เฟิงอย่างเร่งรีบ นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกอบอุ่นใจ ศิษย์พี่ฉู่คนนี้เป็คนมีศีลธรรม ทั้งยังปกป้องคนอื่น
“เศษสวะ คู่ต่อสู้ของเ้าคือข้าต่างหาก จะไปปกป้องเ้าเด็กนั่นทำไม?” ขณะนั้นเสียงของเจิ้งเชาดังขึ้นอีกครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้