หลังจากฆ่าคนเหล่านี้ เย่เฟิงก็หยุดทันที จากนั้นกุมหอกมารพร้อมเดินไปข้างหน้าช้า ๆ โดยไร้ซึ่งจุดหมาย
“ไม่ได้ หากเป็เช่นนี้ต่อไป เ้าหมอนี่ได้กลายเป็มารจริง ๆ แน่ ข้าต้องหาวิธีหยุดเขา!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวขณะมองแผ่นหลังของเย่เฟิง จากนั้นมีไข่มุกสีแดงอ่อนเม็ดหนึ่งปรากฏในมือนาง ก่อนนางจะบดขยี้มัน
“วูบ!” ทันใดนั้นแสงจ้าออกจากไข่มุกแล้วพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะแตกออกเป็ดอกไม้ไฟที่สว่างจ้าทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน
เจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่ 9 ณ ลานประลองราชวงศ์ กงซุนเชียนที่อยู่ในสภาวะบำเพ็ญตบะลืมตาขึ้น พร้อมแสงจ้าประกายในดวงตา “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางหนูหลิงเอ๋อร์ เห็นทีข้าต้องออกไปข้างนอกสักรอบแล้ว”
เมื่อกล่าวจบ ยันต์เคลื่อนย้ายมิติพลันปรากฏในมือของกงซุนเชียน เมื่ออาคมสำแดง พลังมิติก็เข้าปกคลุมร่างกงซุนเชียน จากนั้นร่างเขาค่อย ๆ จางหาย จนกระทั่งหายตัวไปจากเจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่ 9
หอวิชาชั้นที่ 1 ณ สำนักยุทธ์เทียนเสวียน เฒ่าจิงที่กำลังนั่งหลับตาต้องลืมตาขึ้นฉับพลันในวินาทีที่กงซุนหลิงเอ๋อร์บดขยี้ไข่มุกเม็ดนั้น
“ดอกไม้ไฟรุ้งนภา เฒ่ากงซุนโผล่หัวออกมาแล้วสินะ ไม่เจอกันตั้งหลายสิบปี ไม่รู้ว่าตบะของเฒ่ากงซุนจะก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว?” เฒ่าจิงกล่าว จากนั้นเขากะพริบร่างออกไป ก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางความมืด
ครู่ต่อมา กงซุนเชียนปรากฏตัวที่ด้านหน้ากงซุนหลิงเอ๋อร์ เมื่อเห็นสภาพอิดโรยของหลานสาวตน พลันแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของเขา “นางหนู ใครเป็คนทำเ้า?”
“อย่าเพิ่งถาม ท่านปู่ ท่านรีบหาวิธีช่วยเขาก่อนเถอะ!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยความร้อนใจ จากนั้นกงซุนเชียนมองไปตามทิศทางที่นิ้วของกงซุนหลิงเอ๋อร์ชี้บอก ก่อนจะเห็นเย่เฟิงถือหอกมารและมีไอมารปกคลุมร่าง จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “อาวุธในมือของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ด้วยตบะของข้า ดูเหมือนจะควบคุมอาวุธชิ้นนี้ไม่ได้เช่นกัน”
“เฒ่ากงซุน ห่างหายไปหลายสิบปี ในที่สุดเ้าก็ปรากฏตัวเสียที!” ขณะนั้นมีเสียงดังมาจากฟากฟ้า เมื่อกงซุนเชียนและกงซุนหลิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเงาร่างหนึ่งลอยมา เป็ชายชราคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเฒ่าจิง
“เฒ่าจิง เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” กงซุนเชียนจำเฒ่าจิงได้ทันที จึงกล่าวเช่นนั้น
“ไม่เจอกันหลายสิบปี ตบะของเ้าก้าวหน้าไปไม่น้อยเลยนะ” เฒ่าจิงกล่าวพลางยิ้มจาง ๆ พร้อมเจตจำนงต่อสู้ลุกโชนในดวงตา
“เฒ่าจิง วันนี้ข้าไม่ว่างมาทะเลาะกับเ้า เ้าดูนั่น เด็กนี่ใช่ศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนของเ้าหรือไม่?” กงซุนเชียนเอ่ยถาม เขากับเฒ่าจิงเคยประมือเมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนั้นทั้งสองต่อสู้กัน แต่กลับตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ แม้ไม่ได้พบกันนานเป็สิบ ๆ ปี ทั้งสองคนก็ยังคงอยากแลกเปลี่ยนวิชาอยู่เสมอ
เฒ่าจิงชะงักไปเล็กน้อย เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ แต่รู้สึกได้ถึงไอมารที่คละคลุ้งไปทั่วอากาศ เขายังไม่ทันตรวจสอบก็เห็นเย่เฟิงเกือบถูกไอมารกัดกินอย่างสมบูรณ์
“จิตสำนึกของเ้าเด็กนี่ถูกอาวุธมารในมือกัดกิน เฒ่ากงซุน เ้ามีวิธีจัดการอะไรไหม?” หลังจากสำรวจเย่เฟิงหนึ่งรอบ เฒ่าจิงก็เผยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น
“ตอนนี้เขากำลังสูญเสียจิตสำนึกของตัวเองไป หาก้าช่วยเขา ก็ต้องปิดผนึกไอมารนั่น” กงซุนเชียนกล่าว
“ข้าจะถ่วงเขาเอง ส่วนเ้าเฒ่าจิงไปปิดผนึกมัน” กงซุนเชียนกล่าว
“ได้!” เฒ่าจิงพยักหน้า ซึ่งทั้งสองคนเป็คนแน่วแน่และเด็ดขาด จากนั้นพวกเขาทะยานร่างไปหาเย่เฟิงทันที
ดูเหมือนเย่เฟิงจะััได้ถึงกลิ่นอายที่กำลังเข้าใกล้ตัว จึงหันไปอย่างฉับพลัน ดวงตาฉายแสงมารคู่นั้นกวาดมองเฒ่าจิงและกงซุนเชียน จู่ ๆ ไอมารส่งเสียงคำราม ก่อนจะพุ่งเข้าไปปกคลุมร่างของพวกเขาสองคน
“ลงมือ!” แววตาของกงซุนเชียนเปลี่ยนไปดุดัน ฝ่ามือพลันแปรเปลี่ยนเป็กรงเล็บ ก่อนจะคว้าไปที่ร่างเย่เฟิงหมายพยายามควบคุมร่างอีกฝ่าย
“ย้าก!” เย่เฟิงแผดเสียงคำราม ทันใดนั้นหอกมารกลายเป็ลำแสงทำลายล้าง พุ่งเข้าหากงซุนเชียน ซึ่งหลังจากดูดเืไปมากมาย หอกมารก็เปลี่ยนไปทรงพลังขึ้นหลายเท่า แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะอย่างกงซุนเชียนที่มีพลังกล้าแกร่ง การที่เผชิญหน้ากับหอกของเย่เฟิงที่สามารถคุกคามชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะเช่นนี้ กงซุนเชียนก็มิกล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว จากนั้นเขาชักกรงเล็บกลับ ก่อนจะหายตัวไปจากที่เดิมในพริบตา แล้วไปปรากฏตัวที่ด้านหลังเย่เฟิงในนาทีต่อมา พร้อมสองมือจับไหล่เย่เฟิง ด้วยพลังมหาศาลจึงทำให้เย่เฟิงขยับตัวได้ยาก
“เฒ่าจิง ลงมือเร็ว!” กงซุนเชียนะโเสียงดังลั่น เขาอาศัยพลังของขั้นยุทธ์เทวะ จึงสามารถหยุดยั้งอีกฝ่ายได้ แต่ว่าเย่เฟิงกลับดิ้นรนไม่หยุด เขาถูกไอมารกัดกินจิตสำนึกจึงถูกไอมารควบคุมและเปลี่ยนไปคลุ้มคลั่ง จนไม่มีสติสัมปชัญญะ
“วูบ!” พลังปิดผนึกที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกจากฝ่ามือของเฒ่าจิง จากนั้นเขาเหยียดนิ้ว ก่อนพลังปิดผนึกจะไปเยือนร่างเย่เฟิงในพริบตา มันกลายเป็ตราปิดผนึกสีแดงแล้วประทับลงบนตัวเย่เฟิงในทันที เพื่อ้ายับยั้งไอมารในร่างเย่เฟิง
“อ้าก!” เย่เฟิงแผดเสียงคำราม เมื่อเขาถูกปิดผนึก พลังก็ะเิออกมาและหลุดออกจากการควบคุมของกงซุนเชียน จากนั้นเขาก็วาดฝ่ามือมารโจมตีกงซุนเชียนต่อทันที
“ปัง!” กงซุนเชียนถูกซัดจนกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว พร้อมกระอักเืออกมา
“ฟิ้ว!” แต่ไม่รอให้กงซุนเชียนตอบสนอง เย่เฟิงก็แทงหอกมารที่อัดแน่นไปด้วยพลังมารมหาศาลหมายทะลวงร่างกงซุนเชียน นี่ทำให้กงซุนเชียนตื่นตระหนก ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ เขาย่อมมีปฏิกิริยาเฉียบไว จึงสำแดงท่าร่างของตนและหลบหนีหอกนั้น
“วูบ ๆ ๆ!” ขณะเดียวกันเฒ่าจิงที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเขาเห็นว่าพลังปิดผนึกใช้ไม่ได้ผล จึงปล่อยพลังปิดผนึกไปอีกสามครั้งอย่างต่อเนื่อง จากนั้นพลังปิดผนึกแผ่ซ่านไปทั่วร่างเย่เฟิง แต่จู่ ๆ ดวงตาสีแดงเืคู่นั้นของเย่เฟิงก็หันไปมองเฒ่าจิง ก่อนหอกมารจะเปลี่ยนทิศทางไปหาเฒ่าจิงแทน นี่ทำให้เฒ่าจิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นหลบหนีรังสีหอกสามสายของเย่เฟิง ในขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยพลังปิดผนึกออกไปอย่างต่อเนื่องอีกสามครั้ง
“อ้าก!” เย่เฟิงแผดคำรามไม่หยุด จากนั้นได้ยินเสียงะเิดังสนั่น ภายใต้แรงต่อต้านที่ทรงพลังของเย่เฟิง ทำให้ตราปิดผนึกบนตัวเย่เฟิงแตกสลายทั้งหมด
“อั่ก!” เมื่อตราปิดผนึกพวกนั้นถูกทำลาย เฒ่าจิงก็อาเจียนออกมาเป็ลิ่มเื เห็นชัดว่าได้รับผลกระทบอย่างมาก
“วูบ!” เย่เฟิงแทงหอกมารอีกครั้ง ซึ่งเป้าหมายคือหัวใจของเฒ่าจิง
“กึก!” จู่ ๆ กงซุนเชียนตรึงร่างเย่เฟิงจากทางด้านหลัง ก่อนจะะโขึ้นว่า “เฒ่าจิง ตราผนึกธรรมดาทำอะไรเขาไม่ได้ รีบใช้ตราผนึกโลหิตเร็วเข้า!”
จากการตรึงของกงซุนเชียน เย่เฟิงจึงเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้เฒ่าจิงหลบหอกนั้นไปได้ จากนั้นเขากรีดนิ้วแล้วบีบเืหยดใส่ฝ่ามือข้างขวา ก่อนจะผสานเข้ากับพลังปิดผนึกแล้ววิวัฒนาการเป็ลวดลายผนึกที่ทรงพลังยิ่งกว่า
เฒ่าจิงพึมพำบางอย่าง นาทีต่อมาลวดลายผนึกในฝ่ามือเขาเปล่งแสงเรืองรอง ก่อนจะลอยออกไปเยือนร่างเย่เฟิง ทันใดนั้นพลังปิดผนึกไร้ที่สิ้นสุดไหลเวียนไปทั่วร่างเย่เฟิง เข้าต่อต้านไอมารพวกนั้นและค่อย ๆ กำราบพวกมันทีละนิด แต่พลังปิดผนึกไม่หยุดแค่นั้น มันไหลไปทั่วทุกส่วนของร่างกายเย่เฟิง ปิดเส้นลมปราณทุกจุด จนเย่เฟิงรู้สึกเวียนหัว ก่อนจะหมดสติไปในที่สุด
“ฟึ่บ!” วินาทีที่เย่เฟิงหมดสติ หอกมารก็หายไปเช่นกัน โดยกลับเข้าไปในร่างเย่เฟิงเช่นเดิม ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะสงบนิ่งอีกครั้ง
“เฮ้อ!” เมื่อเห็นเย่เฟิงหมดสติไป เฒ่าจิงและกงซุนเชียนก็ถอนใจยาว รู้สึกว่าเรี่ยวแรงหายไปเกือบหมด
“ในที่สุดก็สำเร็จ ไม่รู้ว่าเ้าเด็กนี่ไปได้อาวุธที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาจากไหน ไม่คิดว่าจะทำให้คนแก่อย่างพวกเราสองคนต้องผลาญพลังไปมากเช่นนี้ถึงจะกำราบได้” กงซุนเชียนกล่าว
“ร่างเย่เฟิงถูกไอมารกัดกินอย่างสมบูรณ์ ตราผนึกโลหิตของข้ายับยั้งเขาไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ ตราผนึกนี่ก็จะถูกไอมารนั่นทำลาย ถึงเวลานั้นจะไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้อีก” เฒ่าจิงเผยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับกล่าวต่อว่า “จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ รีบพาเขากลับไปที่สำนักยุทธ์ก่อนเถอะ!”
“ได้” กงซุนเชียนตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเื่นี้เช่นกัน จากนั้นเขาแบกเย่เฟิงขึ้นหลัง ก่อนพวกเขาจะมุ่งหน้าสู่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ห้องของเย่เฟิง ณ สำนักยุทธ์เทียนเสวียน เฒ่าจิง กงซุนเชียน ฉินเจิ้นถิง ฉินเยียนหราน พวกเขาล้วนอยู่ที่นี่และกำลังมองเย่เฟิงที่สลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยเฉพาะฉินเยียนหราน หลังจากงานชุมนุมหวงปั่งสิ้นสุดลง นางก็รอคอยเย่เฟิงมาตลอด แต่บัดนี้สิ่งที่นางพบกลับเป็เย่เฟิงที่เสมือนศพร่างหนึ่ง เื่นี้ทำให้นางยอมรับไม่ได้ จู่ ๆ น้ำตาเอ่อซึมออกจากดวงตาคู่งามของฉินเยียนหราน ก่อนจะกล่าวกับเฒ่าจิงว่า “ท่านอาจารย์ เย่เฟิงเขาเป็อะไร แล้วจะฟื้นเมื่อไร?”
เฒ่าจิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม “เขาถูกไอมารกัดกร่อน แต่ถูกข้าปิดผนึกไว้ชั่วคราว จะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขา”
“นางหนู นี่คือเม็ดยาเทพ เ้าให้เขากินก่อน อาจจะมีประโยชน์กับเขา พวกเราช่วยเขาได้เพียงเท่านี้ ต่อไปเขาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ ก็ต้องทดสอบจิตสำนึกดั้งเดิมสุดที่อยู่ในจิติญญาของเขาแล้ว” กงซุนเชียนกล่าวพร้อมกับส่งเม็ดยาไปให้กงซุนหลิงเอ๋อร์ จากนั้นกงซุนหลิงเอ๋อร์รับเม็ดยามา ก่อนจะใส่เข้าปากเย่เฟิงพลางคิดในใจว่า “เ้าบ้า เ้าต้องทนให้ได้ ข้ารอแลกเปลี่ยนวิชากับเ้าอยู่นะ!”
“ไปเถอะ เขาต้องพักผ่อน พรุ่งนี้อาจเกิดปาฏิหาริย์ก็เป็ได้” เฒ่าจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียใจ เขาอยู่มาร้อยปีขึ้น แต่นี่เป็ครั้งแรกที่พบเจอคนถูกไอมารกัดกร่อนร่างกาย หากเขากับกงซุนเชียนไม่รีบขจัดไอมารในร่างเย่เฟิง ย่อมไม่เป็ผลดีต่อเย่เฟิงในอนาคต หรือไม่แน่อาจจะเกิดหายนะขึ้นได้ ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม ทำได้เพียงรอคอยเท่านั้น
ฉินเยียนหรานไม่คิดจะออกไป ราวกับกลัวว่าเย่เฟิงจะจากนางไป ฉินเจิ้นถิงจึงเดินมาหาแล้วโน้มน้าวฉินเยียนหราน แม้นางไม่ยอม แต่นางรู้ว่าอยู่ที่นี่ไปอาจจะส่งผลกระทบต่อเย่เฟิง ดังนั้นนางและคนอื่น ๆ จึงเดินออกจากห้องนี้ไปเช่นกัน
บริเวณนอกห้อง เซวียิ ซ่งกัง หลิวเจียง ฉู่หาน เฉิงเฟย นักดาบแขนเดียว อวิ๋นเจี๋ย เยว่กู่ และคนอื่น ๆ ต่างตั้งมั่นอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นพวกเฒ่าจิงเดินออกมา พวกเขาก็ปรี่เข้าไปซักถามทันที แต่พอได้คำตอบ สีหน้าของทุกคนก็เคร่งเครียดและรู้สึกเป็ห่วงเย่เฟิงมากกว่าเดิม
ภายในห้อง เย่เฟิงนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง แม้ไอมารในร่างจะถูกปิดผนึกชั่วคราว แต่ยังคงมีพลังมารเบาบาง ขณะนั้นภายในร่างกาย ฤทธิ์ยาอันบริสุทธิ์ถูกหลอมละลายทันที ก่อนจะกลายเป็กระแสพลังอันอบอุ่นและไหลเวียนไปทั่วทุกเส้นลมปราณ แต่ไอมารที่ถูกปิดผนึกในร่างมิอาจระบายออกไปได้ มันจึงเริ่มกัดกินอวัยวะภายในทีละนิด ๆ
สีหน้าของเย่เฟิงดูเ็ป แม้อยู่ในสภาวะไร้จิตสำนึก แต่วิชากลมารก็โคจรของมันเอง พลังนั้นเริ่มย่อยไอมารที่ไหลเวียนอยู่ในร่างพวกนั้น ขณะเดียวกันในหอแห่งหนึ่งของจวนเซิ่งอ๋อง หลังจากเซิ่งอ๋องได้ข่าวว่าเย่เฟิงยังไม่ตายก็บีบแก้วน้ำชาในมือแตกละเอียด จากนั้นกล่าวกับองค์ชายใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “องค์ชายใหญ่ เย่เฟิงดวงแข็งมาก ขนาดส่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงไปเป็สิบ ๆ คนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้”
“เขาหนีไปได้อย่างไร?” จ้าวหยางขมวดคิ้ว ความปรารถนาของเขาที่้าให้เย่เฟิงตายไม่ด้อยไปกว่าเซิ่งอ๋องเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ใช่แค่หลบหนี กระบวนทัพที่ข้าส่งไปถือว่าทรงพลังมาก ตามหลักแล้วต้องฆ่าเย่เฟิงที่อยู่ขั้นรวมชี่ได้แน่นอน แต่ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงหลายสิบคนที่ส่งไป รวมทั้งเหยียนว่านซานผู้ช่วยข้า พวกเขาล้วนไม่มีใครรอดชีวิตกลับมา ต่างตกตายในศึกต่อสู้ทั้งหมด!”
“อะไรนะ?” จ้าวหยางได้ยินเช่นนั้นก็ต้องใและรู้สึกเหลือเชื่อเป็อย่างมาก
ต้องทราบว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงหลายสิบคนนั้นเพียงพอที่จะก่อตั้งสำนักชั้นยอดหนึ่งได้เลย แม้จะเป็จวนเซิ่งอ๋อง แต่บ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงได้มากเพียงนี้ย่อมไม่ใช่เื่ง่าย ทว่าบัดนี้เย่เฟิงกลับฆ่าผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้จนเกลี้ยง ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
“หรือกงซุนเชียนจะโผล่มาช่วยเย่เฟิง?” ไม่ว่าจ้าวหยางคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกเสียที จึงเอ่ยถามเช่นนั้น
“ที่ข้าได้ข่าวมา เวลานั้นกงซุนเชียนไม่ได้ปรากฏตัว แต่ผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ถูกฆ่าอย่างไร ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด” เซิ่งอ๋องกล่าวพร้อมเผยสีหน้าปวดใจ มีผู้ฝึกยุทธ์ตายเยอะเพียงนี้ แม้จวนเซิ่งอ๋องเขาจะมีผู้ฝึกยุทธ์มากมาย แต่าแนี้ก็ยังลามไปถึงรากฐานของจวนเซิ่งอ๋องอยู่ดี
“จะเป็ไปได้อย่างไร? กงซุนเชียนไม่แทรกแซง เช่นนั้นเย่เฟิงก็ต้องตายสิถึงจะถูก แล้วจะฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงทุกคนได้อย่างไร?” จ้าวหยางยังคงคิดไม่ตก
“ไม่ว่าผู้ใดเข้ามาแทรกแซง ก็จะปล่อยเย่เฟิงคนนี้ไว้ไม่ได้ ตอนนี้เย่เฟิงคงกลับไปที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนแล้ว ทำไมพวกเราไม่ใช่โอกาสนี้โจมตีสำนักยุทธ์เทียนเสวียน หากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนไม่ยอมส่งตัวเย่เฟิงรวมถึงสามคนจากตระกูลเย่นั่นมา พวกเราก็เปิดศึกกับพวกเขาโทษฐานซ่อนตัวคนร้าย!” เซิ่งอ๋องกล่าว
จ้าวหยางกะพริบตาปริบ ๆ เขาเดินไปเดินมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยุดแล้วหันมาอย่างฉับพลัน พร้อมแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา “เมื่อทำแล้ว ต้องทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อพวกเรา้ากำจัดสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมานาน ไยไม่ลงมือเลยเล่า?”
เซิ่งอ๋องพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนทั้งสองจะะเิหัวเราะ และระหว่างนี้จะเห็นได้ว่าแสงเยือกเย็นนั้นปะทุออกจากดวงตาของอีกฝ่าย
เช้าวันรุ่งขึ้น มีกำลังทหารจำนวนหนึ่งมาเยือนหน้าประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน กำลังทหารกลุ่มนี้มีหลายพันนาย ซึ่งร้อยกว่านายที่อยู่แนวหน้ามีตบะอ่อนด้อยที่สุดคือขั้นยุทธ์แท้ ส่วนแนวหลังเป็ทหารชุดเกราะ ถืออาวุธครบมือ ทั้งยังมีไอสังหารแผ่ออกจากร่าง พวกเขาคือผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า
อย่างไรก็ตามองค์ชายใหญ่จ้าวหยางและเซิ่งอ๋องก็อยู่ในกองทัพนี้เช่นกัน ส่วนผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้เป็คนที่องค์ชายใหญ่จ้าวหยางระดมมา ซึ่งมีสำนักศึกษาเสินเจียง หอชิงหลง และสำนักอี่เทียนเข้าร่วมด้วย และจำนวนของผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ก็เหนือกว่าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนหลายขุม ดังนั้นจ้าวหยางและเซิ่งอ๋องจึงมั่นใจเต็มเปี่ยม
พวกเขารอคอยวันนี้มานานแล้ว หากกำจัดสำนักยุทธ์เทียนเสวียนสำเร็จ องค์ชายใหญ่ก็จะได้รับอำนาจาา 90 ใน 100
“เอี้ยด!” จู่ ๆ ประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนค่อย ๆ เปิดออก จากนั้นกลุ่มผู้าุโและกลุ่มอัจฉริยะรุ่นเยาว์จำนวนหนึ่งซึ่งนำโดยฉินเจิ้นถิงปรากฏตัวต่อสายตาของพวกจ้าวหยาง
“มิทราบว่าองค์ชายใหญ่รวมกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์มาเยือนสำนักยุทธ์เทียนเสวียนข้ามีธุระอันใด?” ฉินเจิ้นถิงเอ่ยถามพร้อมคำนับจ้าวหยาง และรู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเจตนาไม่ดี
“ผู้าุโฉินสบายดีไหม งั้นข้าขอพูดตามตรง ข้ามาเพื่อจับกุมคนร้าย หากผู้าุโฉินส่งมอบสี่คนนั้นมาให้ข้า ข้าสัญญาว่าจะถอนกำลังทันที” จ้าวหยางกล่าวตรง ๆ โดยไม่อ้อมค้อม
“จับกุมคนร้าย? ในสำนักยุทธ์ข้ามีที่ไหนกันเล่า องค์ชายใหญ่พูดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้หรือไม่?” ฉินเจิ้นถิงเอ่ยถามพลางยิ้มเย็นเยือก
“เซวียิ ซ่งกัง หลิวเจียง สามคนนี้คือคนร้ายตระกูลเย่ในปีนั้น ทุกคนล้วนมีคดีติดตัว ซึ่งมีคนพบเห็นว่าสามคนนี้หนีเข้าไปในสำนักยุทธ์ท่าน เื่นี้ท่านคงไม่เถียงข้าง ๆ คู ๆ หรอกใช่ไหม?” จ้าวหยางกล่าวพลางแสยะยิ้ม
“เหตุใดฉินเจิ้นถิงต้องปฏิเสธเล่า? สามคนนี้อยู่ในสำนักยุทธ์ข้าจริง แต่ผู้แซ่ฉินอยากแก้ต่างอะไรสักหน่อย สามคนนี้เป็ผู้ชายที่มีเืเนื้อ หาใช่คนร้ายเฉกเช่นองค์ชายใหญ่กล่าวมา” ฉินเจิ้นถิงกล่าวเสียงกร้าว
