“ใช่แล้วฟู่อิน น้ำมันไม่ได้ราคาแพงก็จริง แต่หากประหยัดได้ก็ประหยัดไว้เถิด” หลินฟางออกความเห็นหลังเห็นน้ำมันปริมาณมาก ใจของนางรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก “ฟู่อิน เ้าจะทอดอะไร? เหตุใดจึงใช้น้ำมันเยอะขนาดนี้!”
ด้วยความที่เกิดและโตมาในครอบครัวยากจน ต่อให้เติบโตมามีเงินมากเท่าไรก็ยังติดนิสัยประหยัดอดออมอยู่ดี
หลินฟู่อินหัวเราะขณะมองสองพี่น้องแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะทำถั่วทอดกรอบ ยิ่งใช้น้ำมันเยอะเท่าไรก็จะยิ่งกรอบอร่อยมากเท่านั้น”
“ถั่วทอดอย่างนั้นหรือ? ข้าเคยกินแต่ถั่วต้ม ไม่เคยกินถั่วทอดมาก่อนเลย” หลินฟางประหลาดใจ
มือบางของหลินเฟินยื่นไปดีดหน้าผากผู้เป็น้อง “เ้าเด็กในกะลา! ออกมาเรียนรู้กับฟู่อินเสียบ้าง”
ขณะเด็กสาวทั้งสองถกเถียงกัน หลินฟู่อินก็พึมพำกับตัวเองว่า “ความรู้ที่ป้าสามถ่ายทอดให้ฟู่อิน ฟู่อินนำมาใช้เลี้ยงชีพได้ทั้งชีวิตเลยเ้าค่ะ…”
หลินฟู่อินน้ำตาคลอ หลินเฟินเคยเล่าว่าแม่ของนางเองก็รอบรู้มากไม่ต่างกัน แต่นางไม่เคยมีโอกาสได้รู้
“ฟู่อิน เ้าไม่ใส่ถั่วลงในหม้อหรือ? น้ำมันร้อนแล้ว” เสียงของหลินเฟินเรียกสติของหลินฟู่อินคืนมา ใบหน้าน่ารักแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอีกครั้งก่อนจะเทถั่วตากแห้งในมือลงหม้อ
รอเพียงอึดใจเดียวถั่วทอดร้อนๆ ก็พร้อมให้ลองลิ้มรส หลินฟางอดใจรอไม่ไหวรีบเดินมาหยิบเข้าปากทันทีโดยไม่สนว่าถั่วพวกนี้จะร้อนแค่ไหน “อร่อย! อร่อยมาก!”
หลินฟู่อินยิ้มกว้างขึ้นไปอีก เด็กสาวหัวเราะเสียงใส “พี่ฟาง ข้าวานท่านแบ่งเกลือส่วนหนึ่งมาบดให้ละเอียด บดน้ำตาลกรวดอีกส่วนให้ละเอียด แล้วนำมาให้ข้าทีเ้าค่ะ”
แม้หลินฟางจะไม่รู้ว่าเหตุใดต้องนำเกลือและน้ำตาลไปบด แต่หากเป็เื่ที่หลินฟู่อินบอกให้ทำ นางก็ยินดีทำตามอย่างมีความสุข
หลินฟู่อินมองตามแผ่นหลังของเด็กสาวพร้อมยิ้มบาง
นางหันกลับมาง่วนกับการทอดถั่วต่อไป พริบตาเดียวก็ได้ถั่วทอดมาถุงใหญ่
ขณะนั้นเองหลินฟางก็นำเกลือและน้ำตาลบดมาพอดี
หลินฟู่อินแบ่งถั่วทอดเป็สองส่วนแยกใส่ถุงผ้าขาวส่วนละใบ ก่อนเทเกลือแล้วมัดปากถุงให้แน่นด้วยเชือกป่าน จากนั้นจึงเขย่าถุงผ้าให้เกลือคลุกเคล้าเข้ากับถั่วทอดข้างใน
เมื่อถุงแรกได้ที่แล้ว หลินฟู่อินก็ทำแบบเดียวกันกับถุงผ้าขาวอีกใบ แต่เปลี่ยนจากเกลือเป็น้ำตาลบดแทน
หลินฟางมองอย่างสงสัย “เ้ากำลังทำอะไร?”
“ท่านกินเค็มหรือหวาน?” หลินฟู่อินถามกลับโดยไม่คิดตอบคำถามของอีกฝ่าย
หลินฟางชี้ไปที่ถุงใส่น้ำตาลก่อนพูดเสียงอ้อมแอ้ม “ข้าชอบของหวาน”
หลินฟู่อินยิ้ม นางแกะถุงผ้าแล้วยื่นถั่วคลุกน้ำตาลให้อีกฝ่าย “มาสิ ลองชิมดู”
ในมือของเด็กสาวมีถั่วทอดสีทองอร่ามเคลือบด้วยน้ำตาลสีใส แค่มองก็รู้แล้วว่ารสชาติต้องดีแน่นอน
หลินฟางกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วค่อยๆ ยื่นมือไปหยิบถั่วมาใส่ในปาก ทันใดนั้นดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างทันที
ทั้งกรุบกรอบ… ทั้งหอมหวาน…
“ลองชิมรสเค็มดูบ้าง” ไม่รอช้า หลินฟู่อินให้หลินฟางชิมถั่วทอดอีกรส
“นี่ก็อร่อย!” หลินฟางขมวดคิ้วแน่น
หลินฟู่อินขยิบตาให้เด็กสาวอย่างร่าเริง “หากอร่อยก็รีบลงมือทำให้เสร็จเถิด จะได้นำไปขายที่หอพระจันทร์!”
“อา? เ้าอยากขายพวกมันอย่างนั้นหรือ?” หลินฟางพูดด้วยความเสียดาย
หลินฟู่อินยิ้มก่อนให้คำมั่นสัญญา “ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเก็บส่วนหนึ่งไว้ให้เราด้วย ท่านสามารถหยิบมากินเล่นได้ตาม้า”
หลินฟางไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน
ขณะเด็กสาวทั้งสองกำลังวุ่นวายกับการคลุกถั่วให้มีรสชาติ หลินเฟินก็กลับมาพร้อมกับน้ำมันที่ฝากซื้อก่อนหน้านี้พอดี
หลินฟู่อินพูดต้อนรับ “พี่เฟิน ท่านมาทันเวลาพอดี เราจะไปขายถั่วที่หอพระจันทร์กัน!”
“เ้าทำเสร็จแล้วหรือ?” หลินเฟินวางขวดน้ำมันไว้ข้างๆ หม้อทอดขณะหยิบผ้าสะอาดมาเช็ดมือให้เรียบร้อย
“ท่านลองชิมดู” หลินฟู่อินยื่นชามถั่วคลุกเกลือและน้ำตาลให้ หลินเฟินยิ้มขอบคุณและลองชิมทันที “อร่อยมากเลย!”
“หากทุกคนคิดตรงกันนั่นหมายความว่าถั่วนี่อร่อยจริงๆ เช่นนั้นแล้วเรามาเตรียมตัวนำพวกมันไปขายกันเถิด” สองมือของหลินฟู่อินประกบกันแน่นอย่างมุ่งมั่น”
หลินเฟินและหลินฟางพลอยตื่นเต้นไปด้วยเมื่อคิดถึงเม็ดเงินที่จะได้รับ
“จริงสิฟู่อิน เราจะขายถั่วนี้กันอย่างไร?” หลินเฟินถาม
หลินฟู่อินนึกขึ้นได้ว่าลืมเื่ราคาเสียสนิท
“นี่เป็เพียงขนมชิ้นเล็กๆ จะขายแพงคงไม่เหมาะ และยิ่งขายแพงมากเท่าไร คนก็จะซื้อน้อยลงเท่านั้น” หลินฟู่อินชะงักเล็กน้อยก่อนเสนอขึ้นมาว่า “ท่านว่าเราขายสักสองอีแปะต่อหนึ่งจินดีหรือไม่?”
สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกทันที “สองอีแปะถูกเกินไป! เราคือคนที่คิดทำถั่วทอดแสนอร่อยนี้คนแรก อย่าให้ราคาต่ำกว่าห้าอีแปะเลย”
หลินฟางพยักหน้าพร้อมเสริมว่า “ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าข้าวของที่นั่นไม่ได้ราคาถูกเช่นนั้น อย่างเมล็ดทานตะวันหนึ่งจานราคาก็ปาไปสองอีแปะ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทอด แถมยังไม่ได้ปรุงรสอะไรด้วยซ้ำ”
คราวก่อนที่หลี่อี้ชวนไปเที่ยวพักผ่อน หลินฟู่อินเองก็ไม่ได้สังเกตและสนใจเกี่ยวกับราคาชาและของว่างแต่อย่างใด
แถมหลังจากนั้นหวงฝู่จินก็าเ็อีก นางจึงลืมเื่นี้เสียสนิท วันนี้แม้นางจะลงมือทำถั่วทอดพร้อมขายแล้วเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่มั่นใจถึงราคาที่ต้องกำหนดเลย
ฟังจากคำพูดของหลินฟางแล้ว หากขายถั่วหนึ่งชั่งราคาสิบอีแปะก็ย่อมได้เช่นกัน
“ลองไปที่นั่นแล้วคุยกันก่อน เมื่อพบกับผู้ดูแลหอพระจันทร์แล้วเราค่อยถามว่าเขายินดีจ่ายให้เท่าไร จากนั้นจึงตกลงขายตามความเหมาะสม” หลินฟู่อินคิดว่าไม่ใช่เื่ยาก
สามพี่น้องช่วยกันยกถุงถั่วทอดไปไว้บนรถลากแล้วช่วยกันเข็นไปยังหอพระจันทร์
หลินเฟินและหลินฟางไม่เคยไปเที่ยวหอพระจันทร์มาก่อน แน่นอนว่าทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นกันมาก ทันทีที่เดินทางไปถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นล้วนดูน่าตื่นตาตื่นใจ เต็มไปด้วยแสงสีเสียงตระการตา
หลินฟู่อินคว้ารถมาเข็นด้วยตัวเอง หลินเฟินและหลินฟางจะได้เดินสำรวจดูรอบๆ อย่างสะดวก
ผ่านไปพักใหญ่ หลินเฟินกับหลินฟางก็นึกขึ้นได้ว่าพวกนางตั้งใจมาทำงานค้าขาย ไม่ได้มาเที่ยวเล่นกันตามใจ พวกนางจึงรู้สึกละอายใจเมื่อกลับมาเห็นหน้าหลินฟู่อิน
“ไม่เป็ไร หลังขายถั่วนี่หมดแล้ว เราไปดูงิ้ว ฟังดนตรี หรือหาอะไรสนุกๆ ทำกันดีหรือไม่” หลินฟู่อินหัวเราะร่า
หลินฟางตอบรับทันที “ข้าอยากไปดูละครเงา! ตอนข้ายังเด็กพี่ต้าหลางเคยมาเที่ยวเล่นที่นี่ ข้าจำได้ดีกว่าเคยอิจฉามากเพียงใด ขนาดผ่านมานานหลายปี ข้ายังจำความรู้สึกนั้นได้ไม่เคยลืม…”
“ควรหรือไม่? ยังมีงานที่บ้านเหลืออยู่” แม้ใจจะอยากดูละครเงาเหมือนคนอื่น แต่หลินเฟินยังคงเป็ห่วงหลายอย่างที่บ้านที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย
หลินฟู่อินตอบทันที “อากาศเย็นลงแล้ว น้ำมันที่ทิ้งไว้จะยังคงสภาพดีอยู่จนถึงพรุ่งนี้ นานๆ เราจะได้มาหอพระจันทร์กัน วันนี้ข้าจะอยู่ดูละครเงากับพวกท่านด้วย หรือไม่เราก็ไปฟังดนตรีอย่างอื่นกัน มาสนุกกันให้เต็มที่ก่อนกลับบ้านเถิด!”
หลินฟู่อินหันไปถามหลินเฟิน “พี่เฟิน ท่านก็อยากดูละครเงามากเหมือนกันใช่หรือไม่?”
หลินเฟินพยักหน้า “ใช่แล้วฟู่อิน ข้าอยากดูละครเงา ตอนข้ายังเด็กข้าอิจฉาพี่ต้าหลางมากที่สุด”
ยิ่งได้ยินหลินฟู่อินก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี เหตุใดสิ่งที่ท่านปู่บ้านหลินทำจึงยังส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของหลานสาวทั้งสองของเขาเช่นนี้?
แม้แต่นางเองก็ยังจำได้ดีถึงทุกวันนี้ สำหรับนางไม่ใช่เพียงปู่หลิน แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านล้วนโหดร้ายกันทั้งนั้น
พวกเขายกย่องแต่ลูกหลานบุรุษ ดุด่าว่าสตรีเกิดมาเพื่อผลาญเงินเล่นไปวันๆ นับเป็สิ่งที่สตรีสมัยก่อนต้องเจอกันทั้งนั้น ั้แ่เด็กพวกนางทุ่มเทใช้แรงทำงานบ้านเท่าไรก็ไม่พอ เพราะสุดท้ายพวกผู้ใหญ่ก็ยังพูดจาทำร้ายจิตใจกันอยู่ดี
กลับกัน แม้พวกบุรุษจะดื้อ จะซนและไม่เชื่อฟังขนาดไหน พวกเขาก็ยังยกหางพวกนั้นอยู่ดี คำดุด่าว่ากล่าวที่เคยมีจึงยังคงกระทบต่อเหล่าลูกหลานที่เป็สตรีไม่เคยหายไปไหน
สายตาของหลินฟู่อินที่มองหลินเฟินและหลินฟางอ่อนลง นางตั้งใจจะช่วยรักษาให้จิตใจของทั้งสองดีขึ้นในอนาคต
ขณะนั้นเองก็มีแขกเดินเข้ามาใกล้พวกนาง ในมือของเขาถือจานเปล่าสองสามใบ
มือหนาผลักรถเข็นของหลินฟู่อินออกแล้วะโเสียงแข็ง “เฮ้ย! พวกเ้า! เอารถเข็นออกไปจากทางเดี๋ยวนี้”
“เรามาเพื่อขายของเท่านั้น” หลินฟางเถียงสุดเสียง
เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินเหตุการณ์ดังกล่าวก็รีบลงมาดู เขาเห็นว่าเด็กสาวทั้งสามไม่ได้มาเพื่อเล่นสนุก ใจของเขาจึงเชื่อคำพูดนั้นอยู่ลึกๆ
เมื่อคิดถึงคำพูดของนายใหญ่หอพระจันทร์ เขาได้ยินแขกบ่นกันมากว่ามีขนมขายอยู่ไม่กี่อย่าง หากมีขนมใหม่ไปเสนอให้วางขาย เขาเองคงได้รับคำชมเช่นกัน
สีหน้าของชายหนุ่มมีความหวัง เสียงทุ้มถามพร้อมมอบรอยยิ้ม “พวกท่านเอาอะไรมาขายหรือ?”
หลินฟู่อินขยิบตาส่งสัญญาณให้หลินเฟิน เด็กสาวผู้รู้งานรีบหยิบถุงถั่วยื่นให้เสี่ยวเอ้อร์ทันที “เรามาเพื่อขายถั่วพวกนี้ พี่ชายลองชิมถุงนี้ก่อน แล้วค่อยชิมอีกถุงหนึ่งก็ย่อมได้”
รอยยิ้มของหลินเฟินหวานราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิ พัดพาจิตใจของชายหนุ่มให้ล่องลอยไปไกล
มีเด็กสาวหน้าตาดีเข้ามาพูดคุยกับผู้น้อยอย่างเขาเช่นนี้ ใบหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็สีแดงด้วยความเขินอาย ทั้งคำพูดทั้งท่าทางที่ปฏิบัติต่อพวกนางดูสุภาพขึ้นมาทันที
“ได้สิ ข้าขอลองชิมก่อน หากอร่อยจริง ข้าจะเอาไปเสนอให้นายใหญ่ของข้า!” เสี่ยวเอ้อร์ร้อนรน มือหนาเอื้อมไปหยิบถั่วมาไว้ในมือแล้วนำเข้าปาก
ทั้งกรุบ ทั้งกรอบ แถมยังมีกลิ่นหอมหวานชวนน้ำลายไหลอีก!
หลังจากชิมเพียงนิดเดียว ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าไม่พอ เขายื่นไปหยิบถั่วคลุกเกลือจากอีกถุงมาชิมทันที
นี่ก็อร่อย!
เสี่ยวเอ้อร์หัวใจพองโตด้วยความตื่นเต้น เขามองเด็กสาวทั้งสามด้วยความรู้สึกทั้งทึ่งทั้งอึ้งปะปนกัน “พวกท่านทั้งสามตามข้ามา ข้าจะพาไปหาผู้ดูแลที่นี่!”
ได้ยินดังนั้นหลินฟู่อินก็มองหน้าพี่สาวทั้งสองแล้วรีบเข็นรถตามไปทันที
เสี่ยวเอ้อร์ะโลั่นตลอดทาง “หลีกไป หลีกไป! ขอทางให้เด็กสาวเหล่านี้เดิน เรามีของดีมาให้แล้ว!”
แเื่ตามทางส่งสายมองพวกเขาด้วยความฉงน หลินฟู่อินรู้สึกขบขันอยู่ในใจ
สังเกตจากท่าทางของเสี่ยวเอ้อร์หนุ่มคนนี้ นางมั่นใจว่าถั่วทอดของนางต้องขายได้ราคาดีแน่นอน
หลังจากตามเสี่ยวเอ้อร์มาถึงที่หมาย เขาก็พูดกับพวกนางอย่างอ่อนน้อมว่า “พวกท่านรอตรงนี้ก่อน ข้าขอตัวไปพาตัวนายใหญ่มาสักครู่”
ชายหนุ่มรู้เพียงว่าเขารู้สึกตื่นเต้นโดยไม่คิดอะไรถึงการตกลงค้าขายเลย
จากนั้นไม่นาน หลินฟู่อินก็ได้พบกับชายวัยกลางคนอายุอานามประมาณสี่สิบปี เขามีผิวคล้ำ ร่างกายกำยำ ใบหน้าคมเข้มจริงจัง นางััได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้เต็มไปด้วยอำนาจน่าเกรงขามแน่นอน
เดาได้ว่าเขาคงได้ฟังเื่ถั่วทอดจากเสี่ยวเอ้อร์แล้ว แต่ฝีเท้าที่ก้าวเข้ามานั้นยังคงหนักแน่น ทั้งสีหน้า ทั้งท่าทางดูสุขุมไม่เบา
“พวกท่าน นี่คือนายใหญ่ของหอพระจันทร์แห่งนี้” เสี่ยวเอ้อร์แนะนำก่อนหันไปพูดกับผู้เป็นาย “นายท่าน เด็กสาวทั้งสามมีของทานเล่นมาเสนอให้เราวางขายขอรับ”
ชายร่างใหญ่พยักหน้าก่อนยกมือหนาส่งสัญญาณให้เสี่ยวเอ้อร์แยกตัวออกไปทำงานอื่น เขาส่งยิ้มให้เด็กสาวทั้งสาม “ข้าสกุลสวี่ ผู้ดูแลหอพระจันทร์แห่งนี้ แม่นางทั้งสามมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร?”
“นายใหญ่สวี่ พวกข้าสามพี่น้องสกุลหลินเ้าค่ะ” หลินฟู่อินตอบพร้อมรอยยิ้ม
นายใหญ่สวี่พยักหน้ารับรู้ สายตาคมเหลือบมองถุงผ้าสะอาดบนรถเข็นแล้วเอ่ยถาม “แม่นาง พวกท่านมาจากหมู่บ้านใดหรือ?”
หลินฟู่อินเห็นว่านายใหญ่สวี่ยังไม่ถามถึงถั่วทอดที่พวกนางนำมา นางจึงรู้ทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้้ารู้เกี่ยวกับภูมิหลังของพวกนางเสียก่อน เพราะหากพวกนางมาจากหมู่บ้านหรือครอบครัวที่ยากจน ก็เท่ากับว่าเขามีโอกาสกดราคาขายลงได้อีกหลายเท่าตัว
หลินฟู่อินหัวเราะ “พวกข้ามาจากตัวเมืองใหญ่”
“โอ้ จากในเมืองเช่นนั้นหรือ?” นายใหญ่สวี่กะพริบตาขณะคิดในใจว่า ‘หากแม่นางทั้งสามมาจากในเมือง ย่อมรู้สถานการณ์ของหอพระจันทร์และราคาซื้อขายเป็อย่างดี’
“แม่นางทั้งหลาย สิ่งนี้คืออะไร?” นายใหญ่สวี่ส่งยิ้ม
หลินฟู่อินกำลังจะเอ่ยปากแนะนำถั่วทอด แต่ตอนนั้นหลินเฟินกลับพูดโพล่งออกไปเหมือนรู้ใจ “ขนมพวกนี้เรียกว่าถั่วทอดทรงเครื่อง!”
หลินฟู่อินคิดในใจว่านั่นเป็ชื่อที่ดี นอกจากจะออกเสียงยากแล้ว คนที่ได้ยินคงเดาไม่ได้ว่าพวกมันมีวิธีทำอย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาย่อมรู้ดีว่าถั่วพวกนี้ผ่านการทอดมาแล้ว
เป็อีกครั้งที่หลินฟู่อินได้เห็นไหวพริบของหลินเฟิน นางจึงรู้สึกสบายใจหายห่วง
“ใช่แล้ว นี่คือถั่วทอดทรงเครื่อง นายใหญ่สวี่ลองชิมดูก่อนเถิด” หลินฟู่อินเสนอ
นายใหญ่สวี่รับถั่วทอดคลุกเกลือและน้ำตาลจากหลินเฟิน ก่อนลองชิมและลิ้มรสอย่างตั้งใจ
“รสชาติดีทีเดียว!” ขนาดนายใหญ่สวี่ที่เป็คนจู้จี้จุกจิกช่างเลือกยังถูกใจ เขาหรี่ตามองเด็กสาวทั้งสาม “พวกท่านทำกันเองอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว พวกข้าทำกันเองที่บ้าน ท่านลุงของพวกข้าเล่าว่าหอพระจันทร์แห่งนี้มีของดีมากมาย พวกข้าจึงแวะมาดูสักหน่อย” หลินฟู่อินกล่าว
นายใหญ่สวี่กวาดสายตามองเด็กสาวทั้งสาม เขาสังเกตว่าเด็กสาวสองคนที่ดูโตกว่าผัดแป้งบนใบหน้า และแป้งหอมที่พวกนางใช้นั้นดูมีราคาพอสมควร
ภายในใจของเขาราวกับถูกความตื่นตะลึงโจมตี หากมีเงินเหลือพอซื้อชาดมาใช้กัน นั่นหมายความว่าเด็กสาวเหล่านี้ตั้งใจมาขายขนมในราคาที่สูงลิบ
เขามองหน้าหลินฟู่อินก่อนเอ่ยถาม “ท่านตั้งใจจะขายเท่าไรต่อหนึ่งจิน?”
“นายใหญ่สวี่คิดว่าเราควรขายขนมแสนอร่อยนี้ในราคาเท่าไรกันเล่า?” หลินฟู่อินถามกลับ
ชายหนุ่มหันกลับมามองเด็กสาวอีกครั้งด้วยอารมณ์วูบไหว
หลังจากใช้ความคิดสักพัก เสียงทุ้มจึงเอ่ยว่า “แขกส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวที่หอพระจันทร์ไม่ใช่คนมีเงินขนาดนั้น อาจไม่มีเงินเหลือพอซื้อขนมราคาแพง ครอบครัวที่พาเด็กเล็กมาด้วยย่อมหาขนมกรุบกรอบกินเล่นกันมาก ของกินเล่นของเราจึงราคาค่อนข้างถูก”
นี่เป็การบอกหลินฟู่อินแบบอ้อมๆ ว่าหากเขาตกลงซื้อถั่วทอดมาขาย เขายินดีจ่ายในราคาที่ไม่สูงมากนัก
“พวกท่านลองเสนอมาดูก่อน หากข้าไม่มีกำลังพอซื้อทั้งหมด ราคาตกลงกันไม่เหมาะสม แม่นางทั้งสามเชิญหาแหล่งได้เลย” นายใหญ่สวี่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
หลินฟู่อินยิ้มรับ “จริงตามท่านว่า การตกลงซื้อขายต้องเกิดจากความสมัครใจสองฝ่าย”
นายใหญ่สวี่พยักหน้ารอคอยคำตอบของหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินตั้งใจเสนอในราคายี่สิบอีแปะ แต่หลินเฟินกลับชิงถามว่า “นายใหญ่สวี่ ขนมชิ้นน้อยในหอพระจันทร์จานละหนึ่งถึงสองอีแปะใช่หรือไม่?”
นายใหญ่สวี่ชะงักนิ่ง ช่างเป็คำถามที่เ้าเล่ห์เสียจริง
หลินฟางหัวเราะ “เมล็ดแตงโมที่ถูกที่สุดราคาสองอีแปะต่อจาน”
ระหว่างนั้นหลินฟู่อินก็ยืนฟังสองพี่น้องต่อล้อต่อเถียงกันไปมา ภายในใจนางนั้นรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่หลินเฟินและหลินฟางเกิดมามีพร์ด้านการค้าขายเช่นกัน
นายใหญ่สวี่หลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นไหวพริบของเด็กสาวทั้งสอง แต่ก็ยังไม่ยอมไขว้เขวง่ายๆ “พวกท่านจะขายถั่วทอดนี้เท่าไร?”
หลินเฟินและหลินฟางยิ้มให้กัน ก่อนหลินเฟินจะจ้องหน้านายใหญ่สวี่อีกครั้ง “นายใหญ่สวี่ การทำถั่วทอดทรงเครื่องนี้ต้องใช้เวลานาน รสชาติที่อร่อยนั้นก็มาจากเครื่องเทศหลากชนิด แน่นอนว่าพวกข้าจำต้องลงทุนไม่น้อย”
คำพูดแสนฉะฉานที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีของหลินเฟิน ทำให้นายใหญ่สวี่กังวลเล็กน้อย เขารีบพูดแทรกขึ้นทันทีว่า “เช่นนั้นพวกท่าน้าขายเท่าไรต่อหนึ่งจิน?”
“สามสิบอีแปะต่อหนึ่งจิน” หลินเฟินชูสามนิ้ว
หลินฟู่อินได้ยินว่าสามสิบอีแปะก็ทำได้เพียงกรีดร้องอยู่ภายในใจ ปากสวยของนางเม้มแน่น ต่างจากหลินเฟินที่ยืนนิ่ง เท่านี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเด็กสาวคนนี้ใจแข็งกว่านางมาก
นี่สิ แม่ค้าตัวจริงเสียงจริง!
“ไม่ ไม่สิ สามสิบอีแปะต่อหนึ่งจินแพงเกินไป!” นายใหญ่สวี่ส่ายศีรษะปฏิเสธ “แม่นางหลิน ท่านก็รู้ว่าถั่วพวกนี้ราคาถูกเพียงใด อีแปะเดียวท่านสามารถซื้อมันได้มากถึงสี่หรือห้าจิน แต่คราวนี้ท่านกลับคิดขายสามสิบอีแปะต่อจิน นี่ไม่ใช่สิงโตอ้าปากรอเหยื่อหรอกหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้