พร์ที่ติดตัวมาั้แ่เกิดของจางจื่ออี๋มีบรรยายไว้คร่าวๆ ไม่ถึงสามบรรทัด กล่าวถึงความทรงพลังที่ทำให้ทุกคนหวดผวา ยามที่ตัวละครจางจื่ออี๋เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งการฆ่าชื่อเสียงของจางจื่ออี๋เลื่องลือจนเป็ที่กล่าวขานอยู่่หนึ่ง หากว่านางไม่เดินไปชนตอคงไม่ถูกกำจัดไปก่อนวัยอันควร
กลับมาที่ปัจจุบัน สีหน้าตื่นตะลึงอ้าปากค้างของคนบ้านเหลียงคือผลลัพธ์ที่จางจื่ออี๋พึงพอใจในระดับหนึ่ง นั่นย่อมเป็ข้อสรุปว่าการขึ้นเขาของนางจะไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน
“เช่นนี้พวกท่านวางใจได้แล้วกระมัง ที่ข้าจะไปมิใช่ถ้ำเสือบึงัอย่าได้กังวลจนเกินเหตุ ข้าจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย ท่านปู่เหลียง ท่านย่าเหลียง ท่านลุงท่านป้าข้าต้องไปแล้วนะเ้าคะ”ก่อนที่จะมีคนตั้งสติเอ่ยวาจาโต้ตอบจาง จื่ออี๋จึงเลือกใช้กลยุทธ์ใส่เกียร์สุนัขวิ่งหนีหายออกไปจากลานบ้านสกุลเหลียงทันที กว่าที่ทุกคนจะตั้งสติได้คนก็จากไปไกลแล้ว
“ยายเด็กบ้า! ดื้อรั้นนักกลับมาข้าจะฟาดด้วยไม้เรียวให้”แม้จะลั่นวาจาไว้เช่นนั้นแต่เอาเข้าจริงท่านย่าเหลียงก็มิอาจตัดใจลงมือได้ ความยากจนบีบคั้นเด็กสาวคนหนึ่งถึงเพียงนี้ ย่าเหลียงมิกล้าจินตนาการถึงชีวิตในวันหน้าของนางหนูผู้นี้ ชีวิตสตรีหากชื่อเสียงมัวหมองแล้วนั่นไม่ถือว่าจบสิ้นแล้วหรือ
“ยายเฒ่าเ้าอย่าห่วงนางหนูให้มากนักเลย คนเราย่อมมีชะตาเป็ของตนเอง ชีวิตเด็กบ้านจางคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะ ขอเพียงพวกเขาทั้งสามอยู่รอดปลอดภัยก็ถือว่าสรรค์มิได้โหดร้ายจนเกินไป”ปู่เหลียงที่นั่งอยู่ชานเรือนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งดั่งคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน
“นั่น... เฮ้อ ข้าจะยังพูดสิ่งใดได้อีก ก็ได้แต่หวังให้เป็ดังที่เ้าว่า”เดิมย่าเหลียงอยากจะพูดสิ่งใดออกมาแต่เมื่อนึกได้ก็เลือกที่จะกลืนคำพูดนั้นกลับไป
จางจื่ออี๋ใช้เส้นทางหลังหมู่บ้านลัดเลาะหลีกเลี่ยงสายตาผู้คนจนมาถึงตีนเขาที่จะมุ่งหน้าเข้าสูู่เาอู่หลิง ร่างบางผอมแห้งมองผ่านๆ เหมือนเด็กอายุสิบสองสิบสามทั้งที่จริงๆ แล้วเ้าตัวอายุสิบห้าปีเต็ม รูปลักษณ์ภายนอกบ่งบอกถึงความน่ากลัวของความอดอยากและทุกข์ยาก เพราะร่างกายที่ขาดสารอาหารมาั้แ่ยังเล็กทำให้การเจริญเติบโตของร่างกายนี้เป็ไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ จะตายแหล่มิตายแหล่ มีชีวิตรอดมาจนถึงอายุสิบห้าถือว่า์เวทนา นรกไม่้าตัว
“โชคยังดีที่อากาศไม่ได้หนาวขนาดนั้น”จางจื่ออี๋พึมพำกับตัวเองเสียงเบา หญิงสาวค่อนข้างพอใจกับการเตรียมตัวเพื่อออกล่าในครั้งนี้ สิ่งสำคัญอันดับแรกคืออาวุธชั้นยอด และต่อมาคือเสบียงอาหาร ซึ่งประกอบไปด้วยกระบอกไผ่บรรจุน้ำสะอาดสองกระบอก แป้งจี่ยี่สิบแผ่นที่ถูกอัดรวมกันจนแน่นแล้วตัดเป็แท่งๆ ให้ง่านต่อการกิน หนึ่งแท่งกัดไม่กี่คำก็อิ่ม แล้วก็เนื้อแห้งอีกหลายสิบจิน นั่นเป็เนื้อกระต่ายและไก่ป่าที่จางจื่ออี๋ล่าตรงบริเวณรอบๆ ตีนเขามาทำเก็บสะสมไว้เมื่อสองวันก่อน ปริมานอาหารเท่านี้ถ้ากินแต่พออิ่มก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ในป่าลึกได้นับสิบวัน
จางจื่ออี๋เดินทางขึ้นเขาด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอไม่ช้าเกินไปและไม่เร็วเกินไป เมื่อนางปีนขึ้นมายถึงยอดเขาก็เป็เวลาเที่ยงวัน เพราะจากตำแหน่งของดวงอาทิตย์ที่อยู่ตรงศีรษะบอกเอาไว้เช่นนั้น ออกเดินมาั้แ่เช้าพึ่งมาถึงยอดเขาลูกแรกใช้เวลาเกือบสองชั่วยามหรือก็คือราวสี่ชั่วโมงเห็นจะได้ นี่เป็เพียงอีกด้านหนึ่งของูเาเท่านั้นและเส้นทางก็เป็เส้นทางที่ถูกบุกเบิกจากคนที่ขึ้นมาหาของป่า ดังนั้นการเดินทางจึงไม่ยากลำบากเท่าใดนัก
“อีกด้านหนึ่งของูเาต้องเป็เส้นทางกินคนแน่นอน ก่อนอื่นต้องสำรวจและแผ้วถางเส้นทางทำสัญลักษณ์ แน่ล่ะต้องรอบคอบไว้ก่อน นี่มันชีวิตจริงๆ ไม่มีตัวแสดงแทน นิ่งเข้าไว้อย่าตื่นเต้น ใช่ว่าเ้าไม่เคยเข้ารับการทดสอบในพื้นที่จำลองเสียเมื่อไหร่ นั่นยิ่งเป็การเอาชีวิตรอดในสถานที่ต่างจากโลกเชียวนะ แค่ป่าทึบรกร้างกับูเาไม่กี่ลูกจางจื่ออี๋ผู้นี้จะเยี่ยมชมทุกซอกทุกมุม ล่าสัตว์เก็บสมุนไพรล้ำค่าให้เหี้ยน หึๆ”ฟันซี่เล็กทว่าเปี่ยมไปด้วยพลังบดกัดเหนือธรรมดากัดฉีกเนื้อแห้งแข็งๆ แล้วเคี้ยวมันด้วยความเพลิดเพลิน หลังจากใช้เวลาพักใหญ่ในกระบวนการกะเดือกแป้งจี่อัดแข็งและเนื้อแห้งพันปีลงท้อง ตามด้วยน้ำอีกหนึ่งกระบอกเสร็จแล้วนางก็หยุดการเคลื่อนไหวร่างกายครู่หนึ่ง ถามว่าทำไปทำไม คำตอบก็คือรอให้แป้งที่กินลงไปอืดอย่างเต็มที่อย่างไรล่ะ ถึงตอนนั้นคงได้อิ่มจนจุกเป็แน่แท้
“เหอๆ ท้องอิ่มเต็มพิกัด ได้เวลาออกเดินทางแล้วสินะ เอาล่ะก่อนอื่นต้องใส่เ้านี่เอาไว้ก่อน สิ่งสำคัญของการเดินป่านั่นคือการระวังสัตว์มีพิษทั้งหลาย อันดับหนึ่งก็คืองูพิษ”ดูเหมือนว่าการพูดกับตัวเองท่ามกลางป่าอันเวิ้งว้างไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เอาไว้ไปถึงโซนอันตรายค่อยเงียบปากก็ไม่เสียหาย นี่คือสิ่งประดิษฐ์ที่นางคิดค้นขึ้นมาใช้แบบขอไปที ไม้ไผ่ขนาดความประมานสามสิบเิเเหลาเป็ซี่ขนาดความกว้าวหนึ่งนิ้ว ซี่ไม้ไผ่ที่ถูกเหลาเสี้ยนจนเกลี้ยงเกลานำมาสานเชื่อมกันโดยใช้ผ้าที่ตัดเป็เส้นยาว เมื่อเป็เช่นนี้จะทำให้ตัวไผ่สานนี้ยืดหยุ่นนำมาพันรอบขาและแขนทั้งสองข้าง ดูคล้ายสนับแข้ง แน่ล่ะมันเป็การผสมผสานกันแบบมั่วๆ ที่จางจื่ออี๋คิดเอาเอง หญิงสาวลองสะบัดแข้งสะบัดแขนทดสอบความคล่องตัวและออกวิ่งย่ำอยู่กับที่อีกครู่หนึ่ง เมื่อไม่มีสิ่งใดติดขัดใบหน้าเล็กเท่าผ่ามือนั่นก็สว่างสดใสด้วยความพึงพอใจ การออกผจญภัยในรอบหลายสิบปีบนผืนป่าที่เปี่ยมไปด้วยธรรมชาติขนานแท้ กำลังจะเริ่มนับบัดนี้
“ผืนป่ากินคนเอ๋ย ข้าจางจื่ออี๋ มาแล้วจ้า”
กิ่งไม้ขนาดเท่าลำแขนเด็กถูกตัดมาทำเป็ไม้นำทาง แน่นอนว่าหน้าที่ของเ้ากิ่งไม้นี่ก็สำคัญไม่น้อย เส้นทางที่ไม่เคยมีคนย่ำผ่านทุกคนน่าจะจินตนาการได้ว่ามันจะเต็มไปด้วยพงหญ้า ต้นขวาก พืชหนาม ต้นไม้น้อยใหญ่ จางจื่ออี๋ใช้สายตากำหนดเส้นทางคราวๆ เป็ห้าร้อยเมตรแรกที่ต้องเดินผ่านไป ขวับ! ขวับ! เสียงกิ่งไม้ลู่ต้านลมแล้วฟาดลงบนบรรดาวัชพืชทั้งหลายดังต่อเนื่องกันโดยไม่มีจังหวะหยุดชะงัก ตลอดเส้นทางมีงูโผล่มาให้เห็นนับสิบบางตัวหนีไม่พ้นกิ่งไม้พิฆาตถูกตีจนบี้แบน บางตัวรวดเร็วหน่อยก็รอดตัวเลื้อยเตลิดไปไม่เป็ทาง
“สงสัยแถวนี้จะเป็ดงงู งูเยอะชิบหาย แล้วไม่มีพวกตัวใหญ่ๆ บ้างรึ หนังงูน่าจะขายได้นะ”คนที่ตั้งตนเองเป็นักล่างูเฉพาะกิจเริ่มมองหาเหยื่อตัวโตด้วยความตั้งใจ จางจื่ออี๋พบว่ายิ่งเดินลึกเข้าไปในูเาอีกฝั่งหนึ่งมากเท่าไหร่ บรรยากาศโดยรอบยิ่งเงียบสงบและเย็นเยือก นางรู้สึกขนอ่อนหลังคอลุกชันพรึบพรับอย่างปัจจุบันทันด่วน นั่นเป็สัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะมีอันตราย และภัยร้ายที่ว่านั่นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่ล่ะ
“เจอตัวแล้ว”สายตาคมกริบจ้องเหยื่อตัวใหญ่ที่กำลังพันตัวอยู่บนกิ่งไม้ ระยะห่างจากจุดที่นางยืนอยู่ประมานยี่สิบก้าว หากเดินเข้าไปอีกไม่กี่ก้าวคงเข้าไปยังเดทโซนที่อีกฝ่าย
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ เ้างูน้อยอยากเขมือบพี่สาวผู้นี้งั้นรึ ใจกล้าไม่น้อย”จางจื่ออี๋ถลึงตาโตมองเ้าตัวจอมเขมือบที่กำลังจ้องมาพลางแลบลิ้นสองแฉกอันน่าขนลุกนั่นไปมา หญิงสาวไม่อาจประเมินความยาวของงูตัวนี้ได้ชั่วคราวแต่ดูจากลักษณะการขดลำตัวโอบรัดกิ่งไม่จนพองโตนั่นคงเป็งูที่เจริญวัยเป็นักล่าตัวฉกาจ จางจื่ออี๋เพ่งสายตาสำรวจลวดลายบนลำตัวของมันก็รู้ว่าเ้างูตัวนี้คือ งูเหลือม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้