ที่ทิศเหนือ ห่างจากเมืองฉางอันประมาณห้าร้อยลี้ มีแท่นสูงตั้งอยู่
แท่นนี้มีชื่อว่าแท่นชมดาว
แท่นนี้มีความสูงถึงสามร้อยฟุต ฐานเหลี่ยมยอดกลม ซึ่งถูกสร้างตามหลักการที่ว่าพื้นพิภพเป็ทรงเหลี่ยม นภาเป็ทรงกลมนั่นเอง ซึ่งบนแท่นมีธาตุปากว้าง และสัญลักษณ์แห่งดวงดาวทั้งแปดประทับอยู่ด้วย
บัดนี้ ร่างของคนสองคนกำลังยืนตระหง่านอยู่บนแท่นสูง... เป็นักพรตเฒ่าและลูกศิษย์นั่นเอง
นักพรตอยู่ในชุดนักพรตเจ็ดดารา เส้นผมขาวโพลนทว่ามีใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตาเป็ประกายสดใส
ผู้เป็ศิษย์มัดผมจุกคู่ ใบหน้าแดงระเรื่อราวกับหยกชั้นดีที่ถูกแกะสลักอย่างประณีต น่ารักจนเกินจะอธิบายเลยทีเดียว
“ท่านอาจารย์ ศิษย์มีเื่ไม่เข้าใจขอรับ” ผู้เป็ศิษย์กล่าวเสียงดังฟังชัด
“เื่อะไร?” นักพรตเฒ่าซึ่งกำลังยืนมือไขว้หลังและแหงนมองนภากล่าวขึ้น
ฝนในเมืองฉางอันเพิ่งหยุดลงได้เพียงไม่นาน ทำให้ท้องนภาในขณะนี้ปลอดโปร่งเป็อย่างมาก ดวงดาราบนท้องนภาส่งแสงพร่างพราว มีเพียงดวงดาวที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้นที่มีแสงหม่นหมอง
“คนในพระราชสำนักต่างก็บอกว่าหยิงโฮ่จะถูกมั่วทิงอวี่สังหาร แต่ชีพดาราของหยิงโฮ่เริ่มหมองแสงลงแล้ว ไม่ว่ามั่วทิงอวี่จะลงมือหรือไม่ จะช้าหรือเร็ว ชีพดาราของนางก็ต้องถูกความมืดกลืนกินจนดับสูญอยู่ดี แล้วการตายของหยิงโฮ่จะมีความเกี่ยวข้องกับมั่วทิงอวี่ได้เช่นไร?”
“หึๆ” ชายแก่ลูบเคราพลางส่งเสียงหัวเราะขึ้น “เื่ชะตาเดิมก็เป็เื่ที่น่าพิศวงมากอยู่แล้ว มันเป็เื่ของเหตุและผล ทว่าเหตุและผลในชะตาชีวิตก็ยากที่จะคาดเดาได้ เหตุนี้ชะตาชีวิตจึงยากจะประเมินไปด้วย เพียงแต่หากในตอนนั้นหยิงโฮ่ไม่สังหารเหยากวง บัดนี้มั่วทิงอวี่ก็คงไม่เดินทางไปสังหารนางที่ดินแดนทางเหนือเช่นกัน ในตอนนั้นหยิงโฮ่เป็ผู้สร้างเหตุ และมั่วทิงอวี่เป็ผล ทว่าบัดนี้หยิงโฮ่เป็ผลส่วนอีกคนเป็เหตุ ผลเกิดจากเหตุ และเหตุก็จะนำไปสู่ผล จากนั้นผลก็จะนำเหตุวกกลับมาอีกครั้ง... ใครจะยืนยันได้เล่า ว่าการที่ชีพดาราของหยิงโฮ่หมองแสงลงไม่ได้เกิดจากการเดินทางไปที่ดินแดนทางเหนือของมั่วทิงอวี่?”
“อ้อ...” ผู้เป็ศิษย์พยักหน้าด้วยท่าทางกึ่งรู้กึ่งงง เื่ของเหตุและผลลึกซึ้งยิ่งนัก มีหรือที่เด็กน้อยเช่นเขาจะเข้าใจได้
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะขอรับ? เขาจะเป็เช่นไร? มั่วทิงอวี่รับเขาเป็ทายาทของสำนักเหยากวงแล้วไม่ใช่หรือขอรับ?” ศิษย์น้อยกล่าวถามขึ้นอีกครั้ง
“เด็กคนนั้นน่ะรึ?” นักพรตเฒ่าชะงักไปเล็กน้อย เป็เวลานานกว่าเขาจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“เดิมที เด็กคนนั้นเป็เพียงคนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ทว่าบัดนี้กลับต้องมีชะตาเกี่ยวพันกับนักรบแห่งดาราจักรถึงสามคน”
“สามคนหรือขอรับ?” ลูกศิษย์ยกมือคำนวณอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกเสียทีว่านักรบแห่งดาราจักรทั้งสามที่ว่าเป็ใครกันแน่
“อืม” นักพรตเฒ่ามีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย “บางที นอกจากหยิงโฮ่แล้ว คืนนี้อาจยังมีใครอีกสองคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็ได้ เพียงแต่ เพราะเื่นี้เกี่ยวข้องกับนักรบแห่งดาราจักร แม้แต่อาจารย์เองก็ยังไม่อาจรู้ได้อย่างแน่ชัดเหมือนกัน”
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้... เพราะเด็กคนนั้นเป็ทายาทของเหยากวง เหตุนี้พวกจิ้งจอกเ้าเล่ห์ในเมืองฉางอันต้องหาข้ออ้างพาตัวเขาไปที่เมืองหลวง เพื่อหาผลประโยชน์จากเขาอย่างแน่นอน”
“มั่วทิงอวี่้าให้นามของเหยากวงเป็เกราะป้องกันภัยให้กับเด็กคนนั้น แต่แม้เขาจะมีวิชาดาบที่เป็เลิศในใต้หล้า ทว่ากลับไม่เข้าใจเื่จิตใจมนุษย์เลยสักนิด เขาไม่รู้เลยว่าฉางอันเป็เมืองที่มีจิ้งจอกชั่วช้าอยู่เยอะมากขนาดไหน!”
ผู้เป็ศิษย์ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ท่านอาจารย์เอ่ยมาสักเท่าไร จึงทำได้เพียงจ้องมองแผ่นหลังของผู้เป็อาจารย์ด้วยดวงตากลมโตของเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ณ เมืองฉางเหมิน
มั่วทิงอวี่ดึงให้ดาบออกมาจากฝักมากกว่าเดิม ทำให้บัดนี้คมดาบถูกดึงออกมามากถึงครึ่งแล้ว พลังอำนาจในร่างของเขาเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ อึดใจเลยทีเดียว พลังแห่งคมดาบที่ถูกสะสมมานานนับสิบปีต่างก็ไหลทะลักออกมาจากฝักราวกับสายน้ำหลากครั้งใหญ่
พลังแห่งคมดาบนั้นคล้ายกับลมฝน ปานเป็พายุที่โหมกระหน่ำ มันพัดให้หิมะบนพื้นดินกระจัดกระจายขึ้นไปกลางอากาศ บดบังแสงจากดวงดาวไปจนหมดสิ้น
“ความจริง เ้าไม่เห็นต้องทำเช่นนั้นเลย” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หยิงโฮ่ก็ยังจ้องมองมั่วทิงอวี่อย่างไม่ยอมละสายตา ทว่าจู่ๆ นางก็ยกมือขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นแสงจากดาวดวงหนึ่งก็ส่องผ่านมวลพลังแห่งคมดาบของมั่วทิงอวี่ แล้วทาบส่องลงมาที่ร่างในชุดแดง
“การตายของข้า เป็เื่ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว” นางกล่าวด้วยท่าทางเศร้าสลด “ไยเ้าต้องสละชีวิตของตัวเองด้วย”
ร่างของมั่วทิงอวี่ชะงักงัน เขาแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องนภา
พลังแห่งคมดาบของเขามีมากมายเหลือเกิน มันบดบังท้องนภาและสรรพสิ่งในโลกหล้าไปจนมิดชิด มีเพียงดาวดวงเดียวเท่านั้นที่ยังคงส่องแสงลงมาอย่างดื้อรั้น แสงดาวเต็มไปด้วยความหม่นหมอง บัดนี้มันถูกความมืดกลืนกินไปมากกว่าครึ่งแล้ว และรัศมีแห่งความมืดก็จะเพิ่มขึ้นในทุกๆ วินาที จนกว่าแสงจะดับสูญลงอย่างสิ้นเชิง
“เพราะเหตุใด?” มั่วทิงอวี่มองไปยังหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยคิ้วขมวดมุ่น
จู่ๆ เขาก็รู้สึกวังเวงขึ้นในหัวใจ คนที่ตนคิดจะฆ่าอยู่ตรงหน้าแล้ว และดาบในมือก็กำลังจะถูกดึงออกมาจากฝักแล้วด้วย เพียงวินาทีเดียว เขาก็จบทุกอย่างได้แล้ว ทว่านางกลับมาบอกว่านางกำลังจะตายอยู่แล้วงั้นรึ?
มั่วทิงอวี่รู้สึกราวมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่กลางอก เขาอยากจะร้องคำราม อยากจะทำลายโลกทั้งใบให้สิ้นซากด้วยดาบในมือเหลือเกิน
ในที่สุดความเหี้ยมโหดในแววตาของเขาก็สลายหายไป สายตาที่มองไปยังนางตรงหน้า บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความสับสนและอารมณ์ที่หลากหลายแทน
“เมื่อหลายปีก่อน ข้าแกล้งทำเป็รักกับเ้าเพื่อสังหารอาจารย์ของเ้า ข้าคิดว่าตัวเองหลอกลวงเ้า แต่เมื่อข้าได้เห็นสายตาของเ้าก่อนที่ข้าจะจากมาข้าถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว ข้าก็หลอกตัวเองเช่นกัน ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ข้าทุกข์ทรมานอยู่กับมารในใจมาโดยตลอด และวินาทีที่เ้าก้าวเข้ามาที่ดินแดนทางเหนือ ข้าก็ไม่อาจยับยั้งมารในใจได้อีกต่อไป วิชาปลงรักที่ข้าฝึกนั้น ผู้ฝึกจำเป็ต้องทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ปล่อยวางต่อทุกสิ่ง หากมีความรัก ก็จำต้องตายสถานเดียว” หญิงสาวพูดถึงอาการใกล้ตายของตนด้วยรอยยิ้ม
จากนั้น
นางเดินย่ำอยู่บนพื้นหิมะด้วยเท้าเปลือยเปล่าขณะที่เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นให้ได้ยินเป็ระยะ
พื้นหิมะมีดอกบัวปรากฏขึ้นในทุกย่างก้าวของนาง
ทุกๆ ครั้งที่นางก้าวเข้ามาข้างหน้า มั่วทิงอวี่ก็จะรู้สึกใจสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุไปด้วยเสมอ
ในที่สุด นางก็ชะงักฝีเท้าลงในจุดที่อยู่ห่างจากมั่วทิงอวี่เพียงดาบคั่นเท่านั้น
นางมองไปที่เขาด้วยแววตาลึกซึ้งและรอยยิ้มอบอุ่น
“ทิงอวี่” นางไขว้มือเอาไว้ที่ด้านหลังพลางเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาหรี่เล็กราวพระจันทร์เสี้ยว คล้ายกับเมื่อสิบปีก่อน ในตอนนั้นนางก็มักจะเรียกเขาเช่นนี้เสมอ
ร่างของมั่วทิงอวี่สั่นเทา เขาแทบจะจับดาบเอาไว้ไม่ไหวแล้ว เขารู้สึกว่าบางอย่างในดวงตากำลังจะพรั่งพรูออกมา ทว่ามั่วทิงอวี่ก็พยายามจะเก็บกลั้นมันเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“มีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะนะ ทิงอวี่” หญิงสาวยื่นมือไปกุมมือขวาที่จับดาบของมั่วทิงอวี่ แสงจากดาวหยิงโฮ่ประกายวาบ เป็จังหวะเดียวกับที่นางออกแรงดันที่มือเบาๆ
ชิ้ง...
ดาบของมั่วทิงอวี่กลับเข้าไปอยู่ในฝักอีกครั้ง
ทันใดนั้น พลังดาบที่ลอยตลบไปทั่วฟ้าก็สลายหายไป พลันแสงดาวก็ทอดส่องลงบนพื้นดินอีกครั้ง
ซูฉางอันแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เปล่งประกายไปด้วยดวงดาว หมู่ดาวบนนั้นยังคงเจิดจ้างดงาม มีเพียงดวงดาวในทิศตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้นที่มีแสงริบหรี่ คล้ายกับเทียนที่กำลังจะถูกเผาไหม้จนหมด เทียนซึ่งพยายามจะส่องแสงระลอกสุดท้ายของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
ในที่สุดเขาก็เก็บกลั้นของเหลวในดวงตาไม่ไหวอีกต่อไป หยดน้ำตาไหลออกมาจากหางตาของเขาในที่สุด
“วู๋... ถง...” มั่วทิงอวี่เอ่ยชื่อที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจมาตลอดสิบปี
“อืม” หญิงสาวขานรับ ใบหน้าซีดเผือดยังคงเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้มที่งดงามประดุจบุปผาสะพรั่ง การที่นางดันดาบของมั่วทิงอวี่ให้กลับเข้าที่ ทำให้นางเสียแรงไปแทบจะทั้งหมด ชีพดาราของนางเองก็ประกายแสงริบหรี่ ราวเพียงวินาทีเดียวมันก็จะเลือนหายไปจากท้องนภาแล้ว
“วู๋ถง” มั่วทิงอวี่วางดาบลง ดาบที่ไม่เคยห่างกายมานานถึงสิบปี... ชายหนุ่มยื่นมือไปหาหญิงสาว ดวงตาของเขาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ทว่าที่ริมฝีปากกลับประดับประดาไปด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายคนรักในวินาทีต่อมา เฉกเช่นเมื่อสิบปีก่อน
หญิงสาวแนบอิงอยู่กลางอกของมั่วทิงอวี่ พลางสูดกลิ่นที่ทำให้นางหลงใหลอย่างละโมบ ในตอนนั้นเอง ในที่สุดนางจึงพบว่ามั่วทิงอวี่มีเด็กชายที่มีอายุประมาณสิบห้า-สิบหกมาด้วย นางส่งยิ้มไปให้ซูฉางอัน พลางกล่าวถามขึ้น “เขาเป็ใครกัน?”
ซูฉางอันเดินเข้าไปหาโดยไม่รอให้มั่วทิงอวี่ได้พูดอะไร
“ข้าชื่อซูฉางอัน เป็ลูกศิษย์ของเขา” ซูฉางอันส่งยิ้มตอบหญิงสาว เขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างมั่วทิงอวี่และหญิงสาวคนนี้กันแน่ แต่เขาชอบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้
ใต้แสงดาว เหนือพื้นหิมะ
ชายหนุ่มกอดหญิงสาวเอาไว้ในอ้อมแขน ริมฝีปากของทั้งสองต่างก็เปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้ม มันงดงามราวกับภาพวาดไม่มีผิด
“ลูกศิษย์งั้นรึ? เช่นนั้นเ้าควรจะเรียกข้าว่าอะไรเล่า?” หญิงสาวกะพริบตาเป็เชิงกับซูฉางอัน
“อาจารย์หญิง!” ซูฉางอันโพล่งกล่าว
“เป็เด็กดีจริงๆ” หญิงสาวกล่าวขึ้น “ฉลาดกว่าอาจารย์ของเ้าเยอะเลย”
ซูฉางอันเกาหัวตัวเองอย่างขวยเขิน ทว่าก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงมองดูคนทั้งสองกอดกันแน่นอยู่อย่างนั้น เขารู้สึกดีใจจนพูดไม่ออกเลย
แต่ความสุขเช่นนี้ หาได้คงอยู่ยืนยาวไม่
หิมะตกลงมาอีกครั้ง
“หิมะตกแล้ว” ซูฉางอันพึมพำ ก่อนจะยื่นมือออกไปรับหิมะที่กำลังร่วงหล่นลงมา
“เขามาแล้ว” วู๋ถงที่แนบอิงอยู่ในอ้อมแขนของมั่วทิงอวี่กระซิบเสียงแ่ที่ข้างหูคนรัก
“อืม” มั่วทิงอวี่ตอบ น้ำเสียงของเขาหนักอึ้งขึ้นมาก
ซูฉางอันที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหันไปมองในที่ไกลลิบ ก่อนจะพบกับร่างในชุดสีเขียวที่กำลังเดินเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า
ร่างนั้นเป็หญิงในอาภรณ์สีเขียว ใบหน้ามีผ้าสีขาวบางๆ ปกปิดอยู่ ที่เอวมีขลุ่ยหยกแนบมาด้วย นางเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางใจเย็น โดยมีแสงดาวทอดปูอยู่ตลอดเส้นทาง หิมะขาวเองก็พากันหลีกทางให้นาง ราวกับหญิงผู้นี้เป็จ้าวแห่งโลกทั้งใบที่สามารถทำทุกสิ่งได้ตามอำเภอใจ สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ตาม้าเช่นนั้น
จู่ๆ ทุกสิ่งก็จมเข้าสู่ความเงียบสงัด ซึ่งนั่นทำให้ซูฉางอันรู้สึกหวาดหวั่นใจขึ้นมาทันตา
ยิ่งเมื่อหญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้มากเท่าใด ความรู้สึกหวาดหวั่นเช่นนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
“หยิงโฮ่ ถึงเวลาของเ้าแล้ว” ผู้มาใหม่กล่าวขึ้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
เสียงของนางใสสะอาดและน่าฟังเหลือเกิน
ทว่าบัดนี้เสียงนั้นกลับเป็เหมือนเสียงเรียกแห่งความตาย
นางชื่อชิงหลุน
นางเป็คนของหอดารา
นางก็คือบุคคลที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้ส่งิญญา’ นั่นเอง
นางมีชีวิตอยู่นานถึงสามร้อยปี และเคยส่งิญญาของนักรบแห่งดาราจักรไปมากถึงแปดคนแล้ว
และในวันนี้ นางต้องส่งิญญาของน้องสาวตนเองกลับสู่ทะเลแห่งดวงดาว
หอดาราเป็สถานที่ที่ลึกลับเป็อย่างมาก พวกเขาเป็ผู้ควบคุมความเป็ความตายของนักรบแห่งดาราจักรทั่วแผ่นดิน
ที่ใดที่พวกเขาปรากฏกายขึ้น ที่นั่นย่อมต้องมีนักรบแห่งดาราจักรดับสูญ
มันเป็กฏที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้
และวู๋ถงก็เข้าใจในกฏข้อนี้มากกว่าใคร
นางแหงนใบหน้าออกมาจากอ้อมแขนของมั่วทิงอวี่อย่างยากลำบาก แม้จะต้องตาย นางก็ไม่ควรจะแสดงท่าทีอ่อนแอมากถึงเพียงนี้ แต่นี่ก็นานถึงสิบปีแล้ว เป็เวลาสิบปีเต็มๆ กว่านางจะได้รับอ้อมกอดนี้ นางไม่อยากปล่อยมันไป ไม่อยากปล่อยไปเลยจริงๆ ดังนั้นนางจึงพยายามจะอยู่ในอ้อมแขนของมั่วทิงอวี่ให้ได้นานที่สุด ต่อให้จะเป็เพียงวินาทีเดียวก็ยังดี
ในที่สุด นางก็ใช้กำลังทั้งหมดที่ยังหลงเหลืออยู่ บังคับให้ตัวเองผละออกมาจากอ้อมแขนของมั่วทิงอวี่ หญิงสาวมองดูชายตรงหน้า พลางพยายามจะยิ้มให้สวยที่สุด แต่น้ำตากลับเอาแต่รินไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
“ข้าต้องไปแล้ว” นางกล่าวเช่นนั้น
นางรับรู้ได้ว่าชีพดาราของตนอาจดับลงได้ทุกเมื่อ โดยที่นางไม่สามารถยับยั้งใดๆ ได้เลย เมื่อเทียบกับโลกอันแสนยิ่งใหญ่แห่งนี้แล้ว แม้แต่นักรบแห่งดาราจักรก็ยังเป็เพียงมดตัวน้อยที่แสนด้อยค่าเท่านั้น
ชิงหลุนมองคนทั้งสามที่มีน้ำตานองหน้า
แน่นอนว่านางรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างมั่วทิงอวี่และวู๋ถงดี
แต่นางไม่เข้าใจว่าความสัมพันธ์เช่นนั้นหมายถึงอะไรกันแน่
นางเองก็ฝึกวิชาปลงรักเช่นกัน ทุกคนในหอดาราต่างก็ฝึกวิชานี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ในตอนนั้น าาปีศาจแห่งดินแดนทางเหนือใช้ลูกสาวของตนเองแลกมาซึ่งวิชานี้ และมอบมันแก่ลูกสาวอีกคน
นางมีระดับพลังที่แข็งแกร่งมากกว่า จึงไม่เข้าใจว่าความรักเป็เช่นไร
นางเพียงกำลังลังเลว่าควรจะเปิดเผยความจริงเื่ที่ตนเป็พี่น้องกับวู๋ถงออกไปหรือเปล่า
แต่นางไม่ได้พบเจอน้องสาวมานานถึงสามร้อยปีแล้ว และการพบกันครั้งนี้ก็เป็การพบหน้าครั้งสุดท้ายแล้วด้วย
นางยื่นมือไปแตะขลุ่ยหยกของตัวเองโดยสัญชาตญาณ เพียงบรรเลงบทเพลงแห่งหมู่ดาว ดวงิญญาของผู้เป็น้องก็จะกลับเข้าสู่ทะเลแห่งหมู่ดาวแล้ว ก่อนหน้านี้นางเคยทำเช่นนี้มาถึงแปดครั้ง หากจะว่ากันตามสมควร นางควรจะคล่องแคล่ว และทำได้อย่างง่ายดายสิจึงจะถูก
แต่ในวินาทีนี้ ขลุ่ยของนางกลับคล้ายจะหนักกว่าปกติมาก
วู๋ถงราว้าจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่จนแล้วจนรอดนางก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดมันออกมาเช่นไร จึงทำได้เพียงมองไปที่มั่วทิงอวี่ ใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อมองดูคนรักเท่านั้น
พวกเขามีความแค้นต่อกันมานานนับสิบปี แม้ในตอนนี้จะยังไม่ได้สะสางกัน แต่ก่อนตาย คนเราก็มักจะปล่อยวางเื่ราวมากมายในอดีตไป
ในที่สุดวู๋ถงก็ตัดสินใจได้เสียที นางยกมือให้เขา ก่อนปากบางจะขยับเบาๆ
“ลาก่อน” คำพูดของนางลอยวนเวียนอยู่ในลำคอทว่ากลับไม่ได้กล่าวออกมาจริงๆ เสียที
เพราะจู่ๆ มั่วทิงอวี่ก็ยื่นมือออกมาบังร่างของนางเอาไว้
มั่วทิงอวี่ประกายความอำมหิตที่มากอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน และความน่าเกรงขามที่มหาศาลจนไม่อาจตั้งข้อกังขาขึ้นในแววตา
“สัญญากับข้าว่าจะไม่ยุ่งเื่ระหว่างสองเผ่าอีก” มั่วทิงอวี่กล่าวขึ้น
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ตอบอะไรกลับไป เขาก็หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชิงหลุนเสียก่อน
ราวจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง วู๋ถงร้องอุทานเสียงดังลั่น แต่เสียงนั้นกลับถูกพายุหิมะและคมดาบกลบลงจนหมด
ในที่สุดมั่วทิงอวี่ก็ชักดาบออกมาแล้ว
วินาทีนั้น
หมู่ดาวเปลี่ยนแปร ทิวเขาไหวสั่น
เขาชูดาบแล้วะโขึ้นสูง น้ำเสียงดุดันปานพยักฆ์ แววตาทรงพลังประดุจัศักดิ์สิทธิ์คล้ายเป็เทพเ้า ปานเป็เทพนักรบมาจุติ