หวังเ้าชิ่งเองก็คาดไม่ถึง ว่าเด็กสาวคนนี้จะเฉลียวฉลาด สามารถโน้มน้าวบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เดิมทีเขาตั้งใจจะนำคำแนะนำของหมี่หลันเยว่ไปใช้ และกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงให้ลูกน้องยอมรับ แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องลงมือเอง เด็กสาวจัดการได้ด้วยตัวเองเสียแล้ว
"ในเมื่อพวกเราไม่มีใครคัดค้าน งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ หมี่หลันเยว่ก็ช่วยพวกเราไว้มาก ในนามของสำนักงาน ผมขอขอบคุณสหายตัวน้อยคนนี้ด้วย"
หวังเ้าชิ่งลุกขึ้นยืน เดินไปหาหมี่หลันเยว่ หมี่หลันเยว่รีบลุกขึ้น และจับมือกับคุณลุงหวัง
"สหายหมี่หลันเยว่ งั้นคุณก็เป็ลูกค้ารายแรกที่มาเช่าพื้นที่ของเรา มาเซ็นสัญญากันเลย แต่คุณต้องสนับสนุนการทำงานของเราอย่างเต็มที่ต่อไปด้วยนะ ในฐานะลูกค้ารายแรก ห้ามขี้เหนียว ต้องเช่าร้านหลายห้องหน่อย ผมรู้ว่าคุณทำได้"
หมี่หลันเยว่เข้าใจความหมายของคุณลุงหวังในทันที ดูเหมือนว่าคุณลุงหวังจะบอกว่ามีคน้าเช่าร้าน แต่ไม่ได้บอกว่าจะเช่ากี่ห้อง หรือเช่าที่ไหนกันแน่ ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด[1] การพูดออกมาในตอนนี้ ถือเป็จังหวะที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
"มีคุณลุง คุณป้า และคุณอาคอยดูแล ฉันก็มั่นใจว่าจะทำได้ดีค่ะ แน่นอนว่าจะต้องเช่าหลายห้องอยู่แล้ว คุณหวังอย่าใจน้อยก็แล้วกันนะคะ"
หมี่หลันเยว่ยิ้มแย้มตอบรับข้อเสนอของหวังเ้าชิ่งอย่างเต็มใจ ไม่มีท่าทีว่าเธอกำลังขอร้องใครเลยแม้แต่น้อย
เมื่อหมี่หลันเยว่ถือสัญญาไว้ในมือสองฉบับ ฉบับหนึ่งเป็สัญญาเช่าพื้นที่สามปี อีกฉบับเป็สัญญาเช่าพื้นที่ล่วงหน้า หัวใจดวงน้อยๆ ของหมี่หลันเยว่ก็สั่นระรัว ชีวิตของเธอเริ่มมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสัญญาเช่าพื้นที่ล่วงหน้าสามารถเปลี่ยนเป็สัญญาเช่าพื้นที่จริงได้ก็คงจะดีไม่น้อย แต่คงอีกไม่นานก็จะทำได้สำเร็จ
มองดูลูกสาวถือสัญญาสองฉบับ ดูแล้วดูอีก ไม่ยอมใส่เข้าไปในกระเป๋าสะพายใบเล็กของตัวเอง หมี่จิ้งเฉิงจึงต้องเข้าไปช่วยเก็บสัญญาให้
"อยากดูกลับไปดูที่บ้านเถอะ ข้างนอกมันหนาว"
"พ่อคะ ในที่สุดก็ได้เซ็นสัญญาแล้ว ได้สัญญามาง่ายดายขนาดนี้เลย"
หมี่หลันเยว่คล้องแขนพ่อด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าเล็กเงยขึ้น แสดงความดีใจออกมาอย่างเต็มที่ หมี่จิ้งเฉิงรู้สึกเ็ปในใจ
มันง่ายอย่างที่ลูกสาวพูดจริงหรือ ลูกสาวของเขานอนไม่ค่อยหลับมาสองวันแล้ว ขอบตาดำคล้ำบ่งบอกถึงสภาพการนอนของเธอ และเมื่อดูการประชุมเื่การเช่าพื้นที่ของสำนักงานพาณิชย์ในวันนี้ เด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างลูกสาว ต้องเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่วัยสี่สิบห้าสิบปี แล้วพูดจาฉะฉาน วิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย จนกระทั่งชี้นำความคิดของทุกคนได้สำเร็จ มันง่ายจริงๆ งั้นเหรอ
ลูกสาวต้องใช้ความคิดมากขนาดไหน ถึงจะเรียบเรียงเื่ราวได้ละเอียดถี่ถ้วน จนสามารถหยิบยกมาใช้บนโต๊ะประชุมได้อย่างง่ายดาย ราวกับไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย แต่หมี่จิ้งเฉิงรู้ดีว่า นี่คือสิ่งที่ลูกสาวทำงานอย่างหนักเพื่อแลกมา ใน่หลายวันที่ผ่านมา สมองของเธอไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว
"หลันเยว่ เหนื่อยไหมลูก"
หมี่จิ้งเฉิงไม่เคยรู้สึกสงสารลูกสาวของตัวเองมากเท่านี้มาก่อน สิ่งที่ลูกสาวเคยทำมา เขาไม่เคยได้เห็นเลย และสิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้ ก็เป็เพียงงานเล็กน้อยก่อนการเซ็นสัญญาเช่าร้านเท่านั้น
แล้วร้านค้าและโรงงานที่ลูกสาวเคยเปิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ เธอต้องทุ่มเทความพยายามไปมากขนาดไหนกันแน่ ที่แท้ ในจุดที่พ่อแม่ไม่รู้ ลูกสาวก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น และกำลังจ่ายราคาสำหรับการเติบโตของเธอ แต่พ่อแม่กลับเป็คนสุดท้ายที่รู้ว่า ลูกๆ มีปีกที่สามารถโบยบินได้แล้ว
"ไม่เหนื่อยค่ะพ่อ นี่เป็เื่ง่ายๆ ที่หยิบมาใช้ได้เลย ที่คุณลุงคุณป้าเ่าั้คล้อยตามความคิดเห็นของหนู ก็เพราะพวกเขาไม่ได้คิดถึงในแง่มุมนั้น ไม่ใช่ว่าหนูฉลาดอะไร พอผ่านไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้ามีครั้งต่อไป แิของพวกเขาก็จะเปิดกว้างขึ้น อาจจะคิดได้รอบคอบกว่าหนูอีกด้วยซ้ำ"
หมี่หลันเยว่ไม่ได้หลงระเริงไปกับความสำเร็จของตัวเอง ประสบการณ์เหล่านี้ถึงแม้จะออกมาจากปากของเธอ แต่ก็เป็ประสบการณ์ที่เธอสั่งสมมาจากชาติที่แล้ว ซึ่งได้รับการพิสูจน์มาแล้วจากคนมากมาย ไม่ใช่สิ่งที่เธอสร้างขึ้นมาเอง ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกว่ามันน่าภาคภูมิใจอะไรมากมายนัก
"ลูกถ่อมตัวเกินไปแล้ว ลูกคิดได้แต่พวกเขาคิดไม่ได้ นั่นแหละคือข้อได้เปรียบของลูก ไม่อย่างนั้น ลูกจะเซ็นสัญญาเช่าร้านทำเลดีที่สุดได้ถึงห้าห้องได้อย่างราบรื่นขนาดนี้ได้ยังไง"
ถึงแม้หมี่จิ้งเฉิงจะไม่เฉลียวฉลาดเท่าลูกสาวในเื่ธุรกิจ แต่เื่การเข้าสังคม เขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกสาวเลย
หมี่หลันเยว่ไม่ได้คุยเื่นี้กับพ่อต่อ แต่จูงมือพ่อคุยเื่อื่นๆ เพื่อให้ตัวเองได้ผ่อนคลายบ้าง ไม่อย่างนั้น เธอคงกลัวว่าจะเสียอาการไปจริงๆ เื่ในวันนี้เป็ไปอย่างราบรื่นก็จริง แต่ไม่ใช่เพราะเื่ที่เธอเซ็นสัญญาเช่าร้าน เื่นี้ค่อนข้างแน่นอนอยู่แล้ว มีคุณลุงหวังอยู่ทั้งคน โอกาสสำเร็จก็สูงมาก
สิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นคือการที่คนในสำนักงานพาณิชย์ยอมรับเธอ นี่เป็โอกาสที่ดี คนในสำนักงานพาณิชย์จะมีประโยชน์ในหลายๆ ด้านในอนาคต การได้ทำความรู้จักกันในวันนี้ ถือเป็เื่ที่น่ายินดีอย่างไม่คาดคิด เธอจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างแ่า เธอยังต้องต่อสู้ในซวงเฉิงอีกหลายปี อย่างน้อยก็จนกว่าจะเรียนจบมัธยมปลาย ดังนั้นสายสัมพันธ์เหล่านี้ จึงเป็ทรัพยากรที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาในอนาคต
"พ่อคะ พ่อว่า หนูควรจะข้ามชั้นเรียนในระดับมัธยมต้นไปอีกขั้นดี หรือว่าจะเรียนไปตามปกติดีคะ หนูคิดว่า การทำตามปกติถึงแม้จะไม่มีอะไรไม่ดี แต่สำหรับหนูแล้ว มันเสียเวลามากเกินไปจริงๆ"
หมี่หลันเยว่รู้ดีว่าพ่อของเธอเป็คนยังไง เขาเป็คนที่ทำอะไรตามกฎเกณฑ์ ไม่ยอมก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว และไม่ชอบให้ลูกๆ ทำตัวแปลกแยก
หมี่หลันเยว่ไม่ได้มองผิดในเื่นิสัยของพ่อ หมี่จิ้งเฉิงไม่อยากให้ลูกๆ อาศัยความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ แล้วะโข้ามชั้นไปมา การใช้ชีวิตที่โลดโผนเกินไป ไม่ใช่เื่ดีสำหรับเด็กเล็กๆ แต่ตอนนี้มุมมองของเขาเปลี่ยนไปบ้างแล้ว
ลูกสาวของเขาไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ความ เธอ้าข้ามชั้นเรียน ไม่ใช่เพราะอยากได้หน้าเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่เธอคงจะตัดสินใจแล้วว่า หลักสูตรในปัจจุบันกำลังทำให้เธอเสียเวลา ถ้าเป็อย่างนั้น ก็ปล่อยให้เธอตัดสินใจในสิ่งที่เหมาะสมกับเธอเอง
"อืม ถ้าลูกรู้สึกว่ามันเสียเวลาของตัวเองจริงๆ ก็ข้ามชั้นไปเถอะ แต่ข้ามแค่ชั้นเดียวก็พอ พ่อไม่อยากให้ลูกะโไปเรียนมัธยมปลายเลย ในแต่ละ่ชั้นของนักเรียน ลูกควรจะต้องค่อยๆ เรียนรู้ ไม่อย่างนั้น ชีวิตของลูกจะขาด่ไป บางทีความทรงจำของลูกอาจจะขาดหายไปเยอะเลยก็ได้นะ"
ความทรงจำในวัยเด็กของหมี่จิ้งเฉิงไม่ได้ดีนัก ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่เดินทางไกลมาพัฒนาตัวเองในที่ที่ห่างไกลจากบ้านเกิด ดังนั้น เขาจึงไม่อยากให้ลูกของตัวเองเป็เหมือนเขา ขาดความทรงจำในวัยเด็กที่สวยงาม อบอุ่น และมีชีวิตชีวา ความเสียใจบางอย่าง ไม่สามารถชดเชยได้จริงๆ
"หลันเยว่ ชีวิตไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ มีโอกาสเพียงครั้งเดียว พ่อหวังว่าลูกจะรู้จักคว้ามันไว้ให้ดี อย่าพลาดทิวทัศน์ที่สวยงามบนเส้นทางชีวิต เพียงเพราะความดื้อรั้นชั่วขณะ ชีวิตไม่ใช่เสื้อผ้าที่ขาดแล้วเราจะปะผ้า หรือปักลาย แล้วใส่ได้เหมือนเดิม ความเสียใจ คือการที่ลูกไม่สามารถหวนกลับไปที่เดิมได้"
คำพูดของหมี่จิ้งเฉิง ทำให้หัวใจของหมี่หลันเยว่เต้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครรู้ว่าเธอโชคดีมากแค่ไหน ในขณะที่ทุกคนต่างเสียใจที่ชีวิตไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ เธอกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ชีวิตช่างมหัศจรรย์ ช่างเหลือเชื่อ และสิ่งที่เธอต้องทำคือการคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างแ่า
"ค่ะพ่อ หนูจะใช้ชีวิตในทุกนาทีให้ดี จะจดจำทุกนาทีไว้ในความทรงจำ จริงๆ นะคะ หนูไม่ได้พูดเล่นๆ หนูดีใจมากที่ได้เป็ลูกสาวของพ่อกับแม่ หนูจะทำให้ตัวเองเป็ความภาคภูมิใจของพ่อกับแม่ และหนูจะภูมิใจในชีวิตของตัวเองด้วย"
นี่คือบทเรียนจากน้ำตาและเืในชาติที่แล้ว เธอจะไม่มีวันทำผิดพลาดซ้ำรอยเดิมในชาตินี้ เธอจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมชีวิต ไม่ใช่ปล่อยไปวันๆ เพราะชีวิตไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ เราจึงต้องพยายามมากขึ้น และเพราะเธอได้เริ่มต้นใหม่ครั้งหนึ่ง เธอจึงรู้ว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่ครั้งหนึ่งนั้น เธอต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไปมากขนาดไหน
"น้องสาว กลับมาแล้วเหรอ"
เมื่อเดินเข้าบ้านมาพร้อมกับพ่อ ก็พบว่าเฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยกำลังรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน หมี่หลันหยางพอได้ยินเสียงพ่อและน้องสาว ก็รีบออกมาต้อนรับ
"ดูสิ พอมีน้องสาวแล้ว ก็มองไม่เห็นพ่อเลย"
หมี่จิ้งเฉิงแสร้งทำเป็ดุลูกชาย หมี่หลันเยว่ได้แต่เอามือปิดปากหัวเราะ วันเวลาที่อบอุ่นเช่นนี้ ช่างดีเหลือเกิน เธอจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่พยายามกัน ไม่ว่าจะเป็เพื่อครอบครัว หรือเพื่อตัวเธอเอง
"พ่อครับ อย่ามาจับผิดกันแบบนี้สิ วันนี้พวกเรามีธุระสำคัญอยู่นะ"
หมี่หลันหยางเดินผ่านพ่อไป จับมือน้องสาวไว้ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกรังเกียจเสียแล้ว หมี่จิ้งเฉิงจึงเดินเลี่ยงเข้าไปในบ้าน ไปหาภรรยาเพื่อเรียกร้องความสนใจแทน
"เป็ยังไงบ้างๆ ตกลงกันได้หรือเปล่า"
หมี่หลันเยว่เชิดคางเล็กๆ ของตัวเองขึ้นอย่างภาคภูมิใจ แสดงท่าทางโอ้อวด
"แน่นอนว่าตกลงกันได้ ก็ดูสิว่าใครเป็คนออกโรง คุณหนูหมี่หลันเยว่ลงมือเอง จะมีเื่อะไรที่ทำไม่สำเร็จกันคะ"
หมี่หลันหยางบีบจมูกน้องสาวอย่างแรง หางที่ส่ายไปมาของเขาแทบจะชี้ขึ้นฟ้าอยู่แล้ว
"แล้วพวกเราจะเข้าไปจัดการได้เมื่อไหร่ คนและอุปกรณ์ก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว รอแต่ทางนี้บอกมา พวกเราสามคนตอนนี้กำลังเตรียมตัวเต็มที่ เตรียมพร้อมที่จะแสดงฝีมืออย่างเต็มที่"
"ลุงหวังบอกว่า พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปจัดการได้เลย วันนี้เขาต้องประกาศเื่นี้ออกไปก่อน รอให้มีคนเริ่มมาเช่าร้านแล้ว ค่อยเปิดประตูต้อนรับแขกทั้งสี่ทิศทาง ไม่งั้นถ้ามีแค่พวกเราครอบครัวเดียว มันจะเด่นเกินไป จะมีคนเอาไปพูดได้"
เมื่อได้ยินว่าจะเข้าไปจัดการได้ในทันที ทั้งสามคนก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ หลินเผิงเฟยก้มหน้าลง พูดเสียงเบาๆ
"หลันเยว่ สรุปแล้วจะตกแต่งร้านแบบไหน จะเอาแบบภาพรวม หรือจะเอาแบบห้องเล็กๆ แต่ละห้องกัน แล้วแผนผังออกมาหรือยัง"
"ออกแบบมาแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันเอาให้ดูนะ"
หมี่หลันหยางไม่รู้ว่าน้องสาววาดแบบตกแต่งร้านออกมาแล้ว ก็อดสงสารความลำบากของน้องสาวไม่ได้
"ดูสิ ฉันจะตกแต่งแบบนี้ สวยไหม ร้านสาขาของเราต้องอลังการ ฉันจะให้ชาวเมืองซวงทุกคน ประทับห้องเสื้อหลันเยว่ไว้ในใจของพวกเขา"
หลังจากนั้น ร้านสาขาก็เริ่มตกแต่งอย่างอลังการจริงๆ เพราะพื้นที่ที่จองไว้ครึ่งหนึ่งยังไม่สามารถดำเนินการได้ แต่หมี่หลันเยว่ก็ใช้ผ้าใบปิดพื้นที่ครึ่งนี้ไว้ทั้งหมด จะปล่อยให้ข้างนอกเห็นว่ายังไม่ได้ดำเนินการไม่ได้ พื้นที่ที่ดำเนินการจริง มีเพียงร้านห้าห้องที่อยู่ทางขวามือเมื่อเดินเข้าไปเท่านั้น แต่ร้านทั้งห้าห้องไม่ได้แบ่งแยกออกจากกัน หมี่หลันเยว่ถือว่ามันเป็ร้านขนาดใหญ่ร้านหนึ่ง แล้วตกแต่ง
"ต้องตกแต่งหน้าต่างก่อน พอตกแต่งหน้าต่างเสร็จแล้วค่อยตกแต่งข้างใน แต่ในระหว่างการตกแต่งหน้าต่าง จะต้องคลุมผ้าให้มิดชิด จะต้องทำให้มันมีความลึกลับ และจะต้องเขียนคำว่า ‘ห้องเสื้อหลันเยว่ จะเปิดสาขาที่นี่’ ไว้ข้างนอกด้วย"
นี่คือการโฆษณา โอกาสทางการโฆษณาที่ดีขนาดนี้ หมี่หลันเยว่จะพลาดไปได้ยังไง และการตกแต่งในครั้งนี้ เมื่อเทียบกับการออกแบบในยุค 80 ตอนต้นแล้ว ถือว่าเป็การตกแต่งที่อลังการจริงๆ
เชิงอรรถ
[1] ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด (姜还是老的辣) เป็การเปรียบเปรยผู้ใหญ่สูงอายุสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้รวดเร็วกว่าดีกว่า เนื่องจากสั่งสมประสบการณ์มามากแล้ว
