มู่จื่อหลิงจ้องมองสิ่งของในมือหลินมามา ดวงหน้าเล็กใจนซีดขาว นางจวนจะร้องไห้จริงๆ แล้ว นี่คือโชคร้ายแปดชั่วโคตรของนางหรือ ไทเฮารู้ว่านางกลัวสิ่งนี้ใช่หรือไม่ สั่งหลินมามาให้นำมาให้นางโดยเฉพาะ?
ต้องบอกว่าความสามารถในการบอกใบ้ของฮองเฮาสูงจริงๆ ความหมายของการสั่งสอนก็คือลงโทษนี่เอง เหตุใดไทเฮาจึงไม่แทงนางหนึ่งดาบ ต้องทรมานนางเช่นนี้ มาไม้นี้สำหรับนางแล้วโเี้จนเกินพอแล้ว!
ที่หลินมามาถืออยู่ในมือคือ สิ่งที่มู่จื่อหลิงผู้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน หวาดกลัวที่สุด...เข็ม
เข็มเล่มนี้มิใช่เข็มทอง มิใช่เข็มเงิน และมิใช่เข็มเย็บผ้าสั้นๆ บางๆ อันใดนั่น แต่เป็เข็มที่ทั้งสกปรกทั้งยาว เต็มไปด้วยจุดสนิม ปลายเข็มมันวาวคมและแหลม
เข็มเล่มนี้เหมือนกับเข็มเย็บพื้นรองเท้ายิ่งนัก มีความยาว 5 ชุ่นเต็มๆ หลินมามาวางใส่ไว้ในหน้าอก ไม่กลัวทิ่มหรือ?
ฮองเฮาเห็นว่าหลังจากที่หลินมามานำเข็มออกมา เห็นสีหน้าท่าทางหวาดกลัวของมู่จื่อหลิงก็มิได้กล่าวอะไร เสมือนเป็ผู้รับชมอยู่ข้างๆ อย่างไรอย่างนั้น กลับไปยังที่นั่งของตนเองต่อไป ใบหน้ายังแสดงความใจดีเป็มิตร ราวกับเป็ผู้อยู่นอกเหตุการณ์ มองไม่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า
และไทเฮาไม่คาดว่าเมื่อมู่จื่อหลิงเห็นเข็มจะมีการตอบสนองตกอกใเช่นนี้ แต่ว่าการตอบสนองเช่นนี้ของมู่จื่อหลิงก็ทำให้นางพอใจนัก มู่จื่อหลิงดูเหมือนจะมิได้เสแสร้ง แต่กลัวจริงๆ
ที่แท้เข็มเล่มเล็กๆ ก็สามารถทำให้ยายเด็กเก๊กฮวย [1] ที่ไร้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้หวาดกลัวจนเป็เช่นนี้ได้ เมื่อครู่ล้วนพูดอย่างมีเหตุมีผล หลังจากที่เห็นเข็มเล่มนั้นเข้าก็อ่อนกำลังลงเสียแล้ว มู่จื่อหลิงก็แค่นี้เท่านั้น
ไทเฮายกมุมปากยิ้มบางอย่างเ็า ดวงตาลุ่มลึกดำมืดเผยให้เห็นความเย็นเยียบและโเี้ “มู่จื่อหลิง อายเจียจะถามเ้าอีกครั้งว่า เ้ารู้ความผิดหรือไม่?”
มู่จื่อหลิงเชิดดวงหน้าเล็กอันงามประณีต สีหน้าดื้อดึง สบสายตาไทเฮาอย่างเ็า “ไทเฮา พระองค์เอาแต่ตรัสว่าหม่อมฉันมีความผิด แต่หม่อมฉันแม้แต่พระพักตร์ขององค์ชายห้าก็ยังมิได้เห็น ยามนี้อาการองค์ชายห้าเป็เช่นใด หม่อมฉันก็ยังไม่ทราบ เช่นนี้ทรงตัดสินว่าหม่อมฉันมีความผิด จะสะเพร่าเกินไปหรือไม่”
ไม่อาจจำนนต่ออำนาจ! ไทเฮาคิดจะให้นางยอมรับโทษอย่างคลุมเครือเช่นนี้ ฝันไปเถิด!
ไทเฮาผู้นี้มั่นใจจนเกินไปแล้ว นางกลัวเข็มแล้วอย่างไร ต่อให้เข็มนี้จิ้มนางเป็รูพรุน นางก็ไม่มีทางยอมรับความผิด
ไทเฮาเห็นมู่จื่อหลิงที่ถึงตอนนี้ก็ยังปากแข็งเหมือนเป็ตายแล้วดังเดิม ก็มีโทสะขึ้นมาอีกครั้งโดยพลัน แค่นเสียงเย้ยหยัน “หึ! พบ? เ้าทำให้หลงเซี่ยวหนานกลายเป็เช่นนี้ยังคิดพบเขา? หลินมามา”
มู่จื่อหลิงหัวเราะเยาะตนเองในใจ ในยุคสมัยของศักดินานี้ หากเป็คนในระดับด้อยกว่า อธิบายเหตุผลก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นไทเฮาที่มีเจตนาจะลงโทษนาง ยามนี้อธิบายเหตุผลกับไทเฮาก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง เปลืองน้ำลาย
นางในขณะนี้ความอยากตายก็ล้วนมีแล้ว หากไม่เพราะสองมือถูกจับเข้าไว้จนไม่สามารถนำยาในระบบซิงเฉินมาป้องกันตัวได้ล่ะก็ นางจะยังทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้หรือ
หลินมามารอเวลานี้มานานแล้ว เห็นไทเฮาออกคำสั่ง นางก็ยิ้มอย่างเืเย็น ส่งสัญญาณให้นางกำนัลทั้งสองคนออกแรงแบมือเรียบเนียนของมู่จื่อหลิงออกมาทันที
บัดนี้มู่จื่อหลิงไม่ดิ้นรนแล้ว แม้นางจะกลัวเข็มจริงๆ ต่อให้กระเสือกกระสนอีกก็ยังมีผลลัพธ์เช่นเดียวกัน ตายช้าตายเร็วล้วนต้องตาย แล้วทำไมต้องเปลืองแรงมากมายเพียงนั้น
หลังแบมือของมู่จื่อหลิง หลินมามาก็ยื่นมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นออกมาจับนิ้วชี้เรียวยาวราวหอมปอกเปลือกของมู่จื่อหลิงไว้แน่น ทิ่มเข็มยาวคุณภาพเลวเล่มนั้นเข้าไปซอกเล็บของนาง......
-
ทิศทางที่หลงเซี่ยวเจ๋อรีบร้อนวิ่งไปนั้นเป็ตำหนักจินหลวน เขารู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ไม่อยู่ในวังหลวง ยามนี้คนเพียงคนเดียวที่สามารถงัดข้อกับไทเฮาได้ สามารถช่วยมู่จื่อหลิงมีเพียงฮ่องเต้เหวินอิ้นเท่านั้น
แม้เวลานี้เขาเองก็กังวลอาการป่วยของหลงเซี่ยวหนาน แต่เขาก็รู้ว่าบัดนี้ผู้ที่สามารถช่วยรักษาโรคของหลงเซี่ยวหนานได้มีเพียงมู่จื่อหลิงแล้ว
ฝีมือของไทเฮาเขาก็รู้ มู่จื่อหลิงถูกไทเฮาบังคับเอาตัวไป ต้องถูกทรมานให้รับสารภาพเป็แน่ ดังนั้นตอนนี้เขาต้องบุกเข้าไปในตำหนักจินหลวนให้ได้
เวลานี้ก็เป็เวลาที่ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางนับร้อยกำลังประชุมเช้ากันอยู่พอดิบพอดี ตลอดทั้งทางเขาไม่ใยดีการยื้อยุดจากขันที พุ่งเข้าไปตำหนักจินหลวนด้วยจิตใจที่ร้อนรนดั่งไฟ
ด้านในของตำหนักจินหลวนนั้นมีัขดกายม้วนอยู่บนเสาร์ สีทองเป็ประกายระยิบระยับ แสดงให้เห็นความมั่งคั่งของราชวงศ์โดยไม่ปิดบัง ขุนนางในตำหนักจินหลวนจำนวนมาก ยืนอย่างนอบน้อมจนถึงที่สุดด้วยความเป็ระเบียบเรียบร้อย ทำให้ผู้อื่นมิกล้าดูิ่เหยียดหยาม
ขณะนี้ฮองเต้เหวินอิ้นอยู่ในชุดัสีทองอร่าม นั่งอยู่บนบัลลังก์ัอย่างสูงศักดิ์สง่างามและเที่ยงธรรม กำลังหารือเื่แว่นแคว้นกับเหล่าขุนนางใหญ่ก็ถูกเงาร่างคนเป็ทะเล่อทะล่าเข้ามาขัดจังหวะ
หลงเซี่ยวเจ๋อวิ่งมาตลอดทางเหงื่อจึงออกเต็มตัว ไม่ทันพักสูดอากาศหายใจ ก็พูดด้วยจิตใจร้อนรน “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ กระหม่อมมีเื่สำคัญขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
เหล่าขุนนางล้วนหันไปมองผู้มาใหม่พร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย ความตกอกใและไม่อยากเชื่อล้วนไปรวมอยู่ที่หลงเซี่ยวเจ๋อ
ฮ่องเต้เหวินอิ้นทอดพระเนตรไปยังตัวการขวัญกล้าที่บุกเข้ามาในตำหนักจินหลวน หัวพระขนงขมวดเล็กน้อย ตรัสอย่างเฉียบขาดและขุ่นเคือง “ก่อเื่”
พระพักตร์ัมีโทสะน้อยๆ กลุ่มขุนนางจึงทยอยก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าส่งเสียงหายใจแรงๆ สักแอะ เหงื่อเย็นเยียบผุดพรายแทนหลงเซี่ยวเจ๋อเงียบๆ องค์ชายหกผู้นี้อาจหาญเกินไปแล้ว ตำหนักจินหลวนยังกล้าบุกรุก
ยามปกตินอกจากหลงเซี่ยวอวี่แล้ว ผู้ที่หวาดกลัวที่สุดก็เป็เสด็จพ่อฮ่องเต้ผู้ร้ายกาจน่าเกรงขามของเขาผู้นี้เอง ยามนี้แม้เขาจะใกับเสียงเจือโทสะอันเฉียบขาดของฮ่องเต้ แต่เขาก็ไม่มามัวสนใจกลัวอีกแล้ว เื่ช่วยคนสำคัญกว่า
“กระหม่อมมิได้ก่อความวุ่นวาย กระหม่อมมีเื่ขอร้องเสด็จพ่อจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” หลงเซี่ยวเจ๋อเอ่ยอย่างร้อนรน
หากวันนี้นำเสด็จพ่อฮ่องเต้ไปช่วยพี่สะใภ้สามไว้ไม่ได้ เช่นนั้นเขาต้องเสียใจภายหลังมากแน่ๆ อีกทั้งชีวิตพี่ห้ายังอยู่ในมือของพี่สะใภ้สาม ไม่ว่าหลังจากเื่นี้เสด็จพ่อฮ่องเต้จะลงโทษเขาอย่างไร เขาก็ยอมทั้งนั้น
ฮ่องเต้เหวินอิ้นมิได้รับฟังวาจาของหลงเซี่ยวเจ๋อ ยังคงทำสีหน้าไร้ความรู้สึกเฉียบขาด ตรัสอย่างมีโทสะ “ใครก็ได้ มานำองค์ชายหกออกไป”
ทันทีที่พระโอษฐ์ทองคำของฮ่องเต้เปิดก็มีองครักษ์พกดาบเดินมาสองคน คนละไม้คนละมือกดหลงเซี่ยวเจ๋อจะบังคับนำตัวเขาออกไป
หลงเซี่ยวเจ๋อแม้วรยุทธ์จะเป็แมวสามขา [2] แต่เรี่ยวแรงของเขามากมายนัก ประกอบกับบัดนี้เขาโอมอุ้มการตัดสินใจแน่วแน่ว่าต่อให้ตายก็ไม่ไป
เขาใช้แรงทั้งหมดสะบัดมือสององครักษ์จนหลุด วิ่งไปทางเสาอย่างสุดชีวิต ผลักขุนนางใหญ่ที่ขวางทางออกอย่างเข้าตาจน ปีนขึ้นไปบนเสาอย่างว่องไวราวกับลิง จากนั้นสองมือสองเท้าก็กอดเสาขนาดใหญ่ไว้อย่างแ่า ใบหน้าเองก็แนบเข้าไปเช่นกัน ด้วยท่าทางเหมือนไม่มีวันปล่อยมือ
หลงเซี่ยวเจ๋อทั้งกอดเสาไป ทั้งยังะโเสียงดังไปด้วย “กระหม่อมไม่ไป กระหม่อมไม่ไป ต่อให้ตายก็ไม่ไป”
หลงเซี่ยวเจ๋อ ณ ขณะนี้จวนเจียนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ หากมีองครักษ์มาเพิ่มอีกสองคน ต่อให้เขามีสามเศียรหกกรก็ต้องถูกหามออกไปแล้ว
ท่าทางหลงเซี่ยวเจ๋อกอดเสาแน่นในยามนี้น่าขบขันยิ่ง ทำให้ผู้อื่นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ว่าขุนนางกลุ่มนั้นไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ยิ้มออกมา สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปพร้อมกัน ก้มศีรษะให้ต่ำลงอีก รอรับพายุฝนฟ้าคะนองจากบนบัลลังก์ั
ฮ่องเต้เหวินอิ้นเงยพระเศียรทอดพระเนตรหลงเซี่ยวเจ๋อที่อยู่บนเสา เกือบถูกท่าทางพาลพาโลของเขาทำให้ทั้งฉิวทั้งขัน แต่ว่ายังคงแสดงท่าทีน่าเกรงขาม ตรัสเสียงเย็น “ตำหนักใหญ่ไม่อาจให้เ้ามาก่อความวุ่นวาย ออกไปให้เจิ้น [3]”
กลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็มาจริงๆ มีองครักษ์มาเพิ่มอีกสองคนจริงๆ ด้วย องครักษ์เดินเข้ามาอย่างน่าเกรงขามเคร่งขรึม สองมือยากต่อกรแปดมือ ยิ่งไปกว่านั้นเป็แปดมือที่มีกำลังภายใน
บัดนี้หลงเซี่ยวเจ๋อจึงร้อนรนแล้ว เขาได้แต่ใช้ท่าไม้ตายสุดท้าย แม้ท่าไม้ตายนี้อาจจะทำให้เสด็จพ่อฮ่องเต้ของเขาโกรธขึ้นไปอีก หรือทำให้เขาปวดใจ แต่เพื่อพี่สะใภ้สามและพี่ห้า เขาก็ยังต้องเดิมพัน
“เสด็จพ่อพระองค์พูดไม่เป็คำพูด พระองค์พูดไม่เป็คำพูด”
ทันทีที่คำพูดนี้ของหลงเซี่ยวเจ๋อออกมา ก็ได้ยินเพียงเสียงสูดลมหายใจโดยพร้อมกันของเหล่าขุนนาง ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าฮ่องเต้โอษฐ์ทองวาจาหยก คำพูดหนักแน่นราวกระถางธูป องค์ชายหกขวัญกล้าเทียมฟ้ามาท้าทายอำนาจาาั ้าตายหรือ
ฮ่องเต้เหวินอิ้นชะงักไปในชั่วพริบตา เมื่อได้สติกลับมาพระพักตร์ัก็โกรธเกรี้ยว ตบบัลลังก์ัอย่างรุนแรง ตวาดด้วยเสียงเย็นเยียบ “สามหาว เจิ้นพูดไม่เป็คำพูดอย่างไร”
เห็นได้ชัดยิ่งนักว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นก็ถูกวาจาตรงไปตรงมาของหลงเซี่ยวเจ๋อทำให้ตกตะลึง เขารู้ว่าบุตรชายคนนี้ของเขาในยามปกติแม้จะเป็พ่อพวงมาลัยไม่มีงานการทำ แต่ก็มิได้อาจหาญไร้มารยาท พูดจาไร้ขอบเขตเช่นนี้ ไม่คิดว่าวันนี้ยิ่งกระทำเขาก็ยิ่งไร้ความเกรงกลัว
หลงเซี่ยวเจ๋อใกับพระสุรเสียงอันเย็นเยียบจนตัวสั่น เกือบจะตกลงมาจากเสาสูง ถ้าเขาจำไม่ผิดนี่เป็ครั้งแรกที่เสด็จพ่อฮ่องเต้ดุดันกับเขาถึงเพียงนี้
แต่ว่าต่อให้เสด็จพ่อฮ่องเต้ดุดันกับเขาขึ้นไปอีก เขาก็ต้องพาเสด็จพ่อฮ่องเต้ไปตำหนักโซ่วอันให้ได้ ยามนี้เวลาล่วงเลยมานานแล้ว เขากลัวว่าหากยังเสียเวลาต่อไปอีก พี่สะใภ้สามไม่รู้ว่าจะเป็อย่างไร
หลงเซี่ยวเจ๋อเหมือนดั่งเด็กน้อยไร้ทางสู้ ใบหน้าขมขื่น พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เสด็จพ่อรับปากกับเสด็จแม่ว่าจะทรงดูแลกระหม่อมให้ดี ยามนี้กระหม่อมมีเื่มาขอร้องพระองค์ พระองค์ยังไม่สนพระทัย ไม่พูดไม่จาก็จะไล่กระหม่อมออกไปเสียแล้ว พระองค์ไม่รักษาคำพูด”
หลงเซี่ยวเจ๋อร้องไห้อย่างน่าเวทนา พูดไปเรื่อยๆ น้ำตาก็ล่วงหล่นจากหางตาส่งเสียง ‘เผาะ’ ตกลงแตกกระจายบนพื้น
เหล่าใต้เท้าในที่แห่งนั้นล้วนรู้ว่าหมู่เฟยขององค์ชายหกตายเพราะคลอดยาก พวกเขาในยามนี้ล้วนพากันคิดว่าผู้ที่องค์ชายหกพูดถึงก็คือ หนิงเฟย หมู่เฟยแท้ๆ ของเขาที่ลาโลกไป
มีเพียงฮ่องเต้เหวินอิ้นรู้ว่าหมู่เฟยที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดถึงคือใคร เมื่อได้ยินหลงเซี่ยวเจ๋อพูดเช่นนี้ั์ตาก็ทอประกายความเ็ปสายหนึ่ง จมลงสู่ความทรงจำลึกซึ้ง
‘ฝ่า...ฝ่าา หม่อมฉันเพียง...เพียงอยากใช้ชีวิตโดยสงบสุข แต่์กลับไม่ให้เป็ไปตามใจผู้คนที่ปรารถนา ยามนี้หม่อมฉันมิอาจอยู่ข้างพระวรกายฝ่าาได้แล้ว ชีวิตหม่อมฉันไม่ร้องขอชื่อเสียง ไม่เรียก...ร้องประโยชน์ ยามนี้เพียงขอให้ฝ่าาทรงดีต่อเซี่ยวอวี่และเซี่ยวเจ๋อ’
‘จิ่นเอ๋อร์ จิ่นเอ๋อร์...’
‘ขอ...ขอให้ฝ่าาทรงรับปาก เช่น...เช่นนี้หม่อมฉันก็ตายตาหลับแล้ว’
‘ได้ ได้ เจิ้นรับปากเ้า เจิ้นรับปากเ้า’
สิ่งที่ตอบกลับฮ่องเต้เหวินอิ้นกลับเป็ใบหน้าแย้มยิ้มซีดขาว จากนั้นดวงตางดงามของอวิ๋นจิ่นก็ปิดลงอย่างเชื่องช้า เงียบสงัดลง
กลับมายังปัจจุบัน
หลงเซี่ยวเจ๋อมองฮ่องเต้เหวินอิ้นโดยไม่เคลื่อนย้ายสายตาไปไหน ไม่พลาดความเ็ปสายหนึ่งในดวงตาฮ่องเต้เหวินอิ้น ในใจเขาก็เ็ป หากไม่ถูกบีบบังคับ เขาเองก็ไม่ปรารถนากล่าวถึงหมู่เฟยต่อหน้าเสด็จพ่อฮ่องเต้
หากต้องทำอีกครั้งเขาก็ยังใช้วิธีนี้ ให้เสด็จพ่อฮ่องเต้ปวดพระทัยดีกว่าให้พี่สะใภ้สามและพี่ห้าต้องทรมาน
“เส...เสด็จพ่อ” หลงเซี่ยวเจ๋อร้องเรียกอย่างกังวล
แม้เขาเห็นเสด็จพ่อฮ่องเต้ปวดพระทัย แต่ยามนี้เขาก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเสด็จพ่อฮ่องเต้จะพิโรธหรือไม่ จะเป็เช่นนี้ไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว เขาทุ่มจนสุดตัวไปแล้ว บัดนี้เสียเวลาไปไม่น้อย จะดึงเวลาต่อไปอีกไม่ได้
ขุนนางทั้งหมดยังก้มศีรษะอยู่ดังเดิม ไม่กล้าส่งเสียงหายใจแรงๆ รอคอยพายุมาเยือนอย่างเงียบงัน
---------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ยายเด็กเก๊กฮวยหรือเบญจมาศ ใช้เรียกเด็กสาวอายุ 16-26 ปีที่ยังไม่แต่งงานหรือยังถือพรหมจรรย์
[2] แมวสามขา หมายถึงคนไร้ความสามารถ
[3] เจิ้น สรรพนามแทนตนเองของกษัตริย์