ขณะเอ่ยถ้อยคำนี้เฉียวเยว่แสดงความกระเง้ากระงอดและเขินอายแบบเด็กผู้หญิงอยู่หลายส่วน
สวี่ม่านหนิงไม่รู้ว่านางพูดจริงหรือเสแสร้ง แต่ในใจก็มีแต่ความเกลียดชัง ตำแหน่งชายารัชทายาทเดิมทีสมควรเป็ของนาง แต่กลับถูกพี่สาวของเฉียวเยว่่ชิงไป
นางชิงชังอิ้งเยว่ ดูเหมือนไม่แก่งแย่งแข่งขัน แต่กลับ่ชิงทุกอย่างไปหมด ทุกเื่ต้องเป็ที่หนึ่ง ชิงความโดดเด่นไปจากนางเสียทุกเื่
ส่วนแม่นางน้อยที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ เห็นนางแต่งตัวอย่างประณีตราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ดีเลิศ ในใจก็ยิ่งหงุดหงิด
นางเกลียดทุกคนที่ได้รับความโปรดปรานโดยไม่ต้องลงทุนทำอะไรเลย
กว่านางจะประจบสอพลอองค์หญิงใหญ่สำเร็จไม่ใช่เื่ง่าย แต่กลับได้ยินองค์หญิงเอ่ยถึงแต่เด็กน้อยคนนี้ แล้วจะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร คนบางคนแทบไม่ต้องเปลืองแรงอันใดก็ได้ทุกอย่างที่นาง้า
องค์หญิงใหญ่แตกต่างจากท่านหญิงฉางเล่อ ท่านหญิงฉางเล่อความคิดเรียบง่าย ใช้ลูกไม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถกำไว้ในฝ่ามือได้แล้ว แต่องค์หญิงใหญ่กลับไม่ใช่ นางเป็คนคลุมเครือคาดเดาไม่ได้ ยามอยู่ด้วยต้องระมัดระวังตัว
นางทำเป็มองเฉียวเยว่อย่างไม่นำพา แต่กลับลอบตัดสินใจอยู่เงียบๆ ว่าจะต้องทำให้เฉียวเยว่ล่วงเกินองค์หญิงใหญ่ให้ได้ หากองค์หญิงใหญ่เกลียดชังสกุลซู ย่อมเป็ประโยชน์กับนาง สวี่ม่านหนิงตัดสินใจว่าถึงแม้ไม่อาจเป็ชายารัชทายาทได้ แต่นางเป็ชายารองรัชทายาทได้อย่างแน่นอน
หลังเดินผ่านโถงระเบียงที่งดงามเข้ามา ทุกคนก็มาถึงตำหนักขององค์หญิงใหญ่ ยามนี้องค์หญิงใหญ่กำลังเล่นพิณ ดึงดูดให้ทั้งสองเดินเข้าไป ทันทีที่เสียงพิณหยุดลง สวี่ม่านหนิงก็กล่าวชื่นชมด้วยรอยยิ้ม "ทุกคราที่ม่านหนิงได้ฟังเสียงพิณขององค์หญิงก็แทบไม่คิดว่าเป็คนคนเดียวกัน ให้ความรู้สึกดุจหนึ่งวันพันลี้ [1] เลยเพคะ"
การตบสะโพกม้าต้องมีชั้นเชิง ไม่ให้รู้สึกว่าเป็การยกยอแบบฉาบฉวย แต่ให้ความรู้สึกจริงใจ
องค์หญิงใหญ่ยิ้มหน้าบาน ก่อนหันมามองเฉียวเยว่แบบเรียบๆ "ท่านพี่อวี้อ๋องไม่อยู่ เฉียวเยว่เลยดูไม่ค่อยร่าเริงมีชีวิตชีวา เ้าอย่ากลัวเลย ข้าไม่กินเ้าหรอกน่ะ"
นางดึงมือของเฉียวเยว่มาจับ หลังจากนั้นก็พูดว่า "ดูซิ มือน้อยๆ เย็นเฉียบเลย"
เฉียวเยว่หัวเราะเสียงเบา ดวงตาโค้งเป็รูปพระจันทร์เสี้ยว กล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา
"หม่อมฉันกลัวหนาวมาั้แ่เล็ก ครานี้เข้าวังเองคนเดียว จึงมีความวิตกอยู่บ้าง ที่ผ่านมาหากไม่ใช่มากับท่านพ่อ ก็ยังมีท่านพี่จ้าน ถึงอย่างไรก็เป็พี่ชายที่รู้จักมักคุ้นมาั้แ่เล็ก จึงรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ด้วยกัน"
เฉียวเยว่ไม่สนใจว่าองค์หญิงใหญ่จะพูดเป็นัยอย่างไร นางวางตนเองไว้ในฐานะเด็กน้อยคนหนึ่ง เดิมทีก็มีข่าวซุบซิบอื้อฉาวที่ไม่ชัดเจนระหว่างนางกับอวี้อ๋อง หากยังคุยเื่นี้ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะมีข่าวลืออันใดออกไปอีกบ้าง
"เข้าวังครานี้แท้จริงแล้วต้องขอบคุณพี่หญิงสวี่เป็อย่างมาก แม้ว่ากงกงผู้ดูแลจะบอกว่าเดินมาอย่างไร แต่ข้าก็ยังกลัวหลงทาง หรือพลาดพลั้งไปชนกับผู้สูงศักดิ์ท่านไหนเข้า เคราะห์ดีที่พบกับพี่หญิงสวี่ จึงมาถึงได้อย่างราบรื่น"
สวี่ม่านหนิงก้มหน้ายิ้มอย่างเหมาะสม "คุณหนูเจ็ดถ่อมตัวไปแล้ว ใครบ้างไม่รู้ว่าคุณหนูเจ็ดฉลาดปราดเปรื่อง สถานที่จัดงานร้อยบุปผาก่อนหน้านี้ คุณหนูเจ็ดเดินเพียงครึ่งทางก็รู้เส้นทางที่เหลือทั้งหมดแล้ว คิดว่าในวังก็คงไม่มีปัญหา"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า พลางเอ่ยอย่างจริงจัง "ไม่ใช่เลย งานร้อยบุปผายังพอมีเค้าให้คาดเดาได้ แต่วังหลวงไม่ใช่ หากในวังสร้างเหมือนกับบ้านคนทั่วไปจะมีความน่าสนใจอันใด พี่หญิงสวี่ช่างล้อเล่นเก่งยิ่งนัก ท่านเองก็ลองตรองดู ว่ารูปแบบของวังหลวงแตกต่างจากทั่วไปหรือไม่"
สวี่ม่านหนิงยังอยากพูดบางอย่าง แต่องค์หญิงใหญ่กลับเอ่ยปากขึ้นก่อน "ข้าอยู่ในวังเบื่อหน่ายมากจริงๆ ฟังพวกเ้าพูดเกี่ยวกับงานร้อยบุปผาของสำนักศึกษาสตรี ก็รู้สึกอิจฉายิ่งนัก น่าเสียดายที่ตนเองไม่สามารถไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาสตรีได้"
นางยกถ้วยขึ้นมาจิบหนึ่งคำด้วยท่าทางคลุมเครือ แต่ดูเหมือนว่าจะว้าเหว่เล็กน้อย
"องค์หญิงเป็พระธิดาของฝ่าา ไหนเลยจะต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาสตรีเล่า คนธรรมดาอย่างพวกเราไปสำนักศึกษาก็หวังว่าจะมีหูตากว้างไกลขึ้น จะได้ไม่ถึงกับล้าหลังเมื่อสนทนากับองค์หญิง" สวี่ม่านหนิงเอ่ยขึ้นทันควัน
เฉียวเยว่ทอยิ้มอ่อนจาง เผยให้เห็นลักยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี ยามนางยิ้มออกมาจากข้างในจะไม่เห็นลักยิ้มปรากฏชัดเจนนัก แต่ถ้าเป็รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความระมัดระวังถึงจะเห็นได้ แต่คนที่ไม่คุ้นเคยจะไม่รู้สึก คิดว่านางอ่อนโยนน่ารัก
"ปากเล็กๆ ของเ้าช่างรู้จักพูดยิ่งนัก หากได้คุยกับม่านหนิงทุกวัน ข้าก็คงสุขใจจนนอนไม่หลับ มิน่าฉางเกอถึงชอบเ้าเป็พิเศษ"
"เป็เพราะความเมตตาขององค์หญิงและท่านหญิงเพคะ"
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้สนิทสนมกับพวกนางมากนัก แม้ว่าปากจะเอ่ยวาจาไพเราะน่าฟัง แต่พวกนางล้วนเป็แม่นางน้อยอายุไม่มาก แม้แต่ประทานเก้าอี้นั่งก็ยังไม่มี แม้จะบอกว่าเป็สถานที่พำนักขององค์หญิง แต่แท้จริงแล้วเป็สถานที่ส่วนตัว ไม่มีคนนอก เห็นได้ว่าพระทัยขององค์หญิงมีความซับซ้อนเหนือกว่าผู้อื่นหนึ่งขั้น
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดให้คนรู้สึกแปลกใจหรือรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เฉียวเยว่ได้แต่เตือนตนเอง องค์หญิงก็คือองค์หญิง ไม่อาจหลงลืมสถานะตนเพียงเพราะฟังถ้อยคำหวานหูไม่กี่ประโยค
"ดูสิ พวกเรามัวแต่คุยกัน ไม่สนใจน้องหญิงเจ็ด น้องหญิงเจ็ดคงจะเบื่อแย่แล้วกระมัง แท้จริงแล้วที่เชิญเ้าเข้าวังมาครานี้ เพื่อให้เ้าช่วยสอนพวกเรา ได้ยินว่าดอกไม้ที่เ้าปลูกมีความแตกต่างอย่างน่าอัศจรรย์ ในวังของพวกเรายังไม่มีของแบบนี้ ข้าย่อมเกิดความสนใจอย่างมาก"
องค์หญิงใหญ่เห็นเฉียวเยว่เป็ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกดอกไม้ไปเสียแล้ว เห็นนางแลดูอ่อนโยน แต่คนเช่นนี้รับมือยากยิ่งกว่าคนที่ร้ายแบบแสดงออก
ทว่าเฉียวเยว่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจมากนัก องค์หญิงใหญ่จะมีอุปนิสัยเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับนาง นางไม่ได้เข้าวังเป็ประจำ นี่เป็ครั้งแรกที่บิดาของนางปฏิเสธไม่ได้ ถ้าหากมีอีก ก็ใช่ว่าจะต้องมาทุกครั้ง
"แท้จริงแล้วหม่อมฉันก็มิได้ทำเองหรอกเพคะ แค่เคยเห็นคนสวนเป็คนทำ หม่อมฉันสามารถเล่าวิธีการให้พวกท่านฟังได้"
เฉียวเยว่จะไม่บอกว่าเป็ความคิดของตนเอง คนจะได้ไม่รู้สึกว่าตนเองโอ้อวด
"ทูลองค์หญิง ไทเฮามีพระเสาวนีย์ให้คุณหนูเจ็ดสกุลซูไปนั่งที่ตำหนักเพคะ" นางกำนัลรุ่นใหญ่ขององค์หญิงอวิ๋นเล่อสาวเท้าเข้าประตูมา แล้วกระซิบข้างหูนางเบาๆ
หรงเหยียนอึ้งเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ถามว่า "ตำหนักเสด็จย่ามีคนอีกหรือไม่?"
"บ่าวมิทราบ แต่วันนี้ไม่ได้ยินว่ามีใครเข้าวังนะเพคะ และไม่ได้ยินว่ามีใครอยู่ที่นั่น ถ้าหากจะมีก็คงเป็พระสนมสองสามพระองค์เพคะ”
หรงเยียนมองเฉียวเยว่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า "คุณหนูเจ็ด เมื่อเป็เช่นนี้ เ้าก็ไปนั่งเล่นเป็เพื่อนเสด็จย่าสักครู่เถอะ ข้าไม่ไป"
หลังจากคิดดูแล้ว ก็เอียงคอมองสวี่ม่านหนิง "ม่านหนิงจะไปด้วยหรือไม่?"
ฟังดูไม่มีความนัยแอบแฝง "หม่อมฉันไม่กล้าไปรบกวนเวลาพักผ่อนของไทเฮาหรอกเพคะ ม่านหนิงอยู่เป็เพื่อนองค์หญิงดีกว่า องค์หญิงเพคะ พวกเรามาทดลองทาบกิ่งดอกไม้ตามคำบอกเล่าของคุณหนูเจ็ดสกุลซูดีหรือไม่?"
หรงเยียนทำปากยื่น "เื่พวกนั้นให้บ่าวไปทำเถอะ ข้าแค่จะรอดูผลลัพธ์" นางหยุดเว้นจังหวะ หันมายิ้ม "เ้าไปเถอะ"
เฉียวเยว่รับคำ พลางทอดถอนใจอยู่เงียบๆ วังหลวงแห่งนี้ไม่น่ายุ่งเกี่ยวด้วยเลยสักนิด ทุกถ้อยคำขององค์หญิงอวิ๋นเล่อล้วนเต็มไปด้วยคมหนาม แต่ก็ไม่เป็ไร ตนเองหน้าหนาจนชินเสียแล้ว แต่พูดถึงพระเสาวนีย์ไทเฮาก็รู้สึกงงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าพระนางเรียกตนเองไปเข้าเฝ้าด้วยเหตุอันใด
นางเดินตามนางกำนัลมาถึงตำหนักของไทเฮา พูดตามตรง เฉียวเยว่รู้สึกว่าพอมาถึงที่นี่ค่อยรู้สึกสบายกว่า อย่างไรเสียสองสามครั้งที่เข้าวังล้วนมาที่นี่ คนเรามักเป็ตัวของตัวเองมากขึ้นเมื่ออยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคย
เมื่อมาถึงเห็นพระสนมสองสามคนนั่งอยู่ด้านข้างไทเฮา เฉียวเยว่คุกเข่าถวายพระพร
ไทเฮาแย้มพระสรวล "ลุกขึ้นเถิด"
หลังจากนั้นก็ตรัสกับคนอื่นๆ "คนเป็บิดามักเป็ห่วงบุตรสาว เมื่อวานหากเราไม่เอ่ยปาก ซูซานหลางต้องหาทางปฏิเสธคำเชิญทางอ้อมเป็แน่"
เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าคำกล่าวนี้จะมีความหมายแอบแฝงอันใดหรือไม่ นางรับหน้าที่เพียงยิ้มหวาน
"หม่อมฉันได้ยินมานานว่าไทเฮาทรงเอ็นดูคุณชายสามสกุลซู ดูจากวันนี้เห็นท่าจะจริง ไม่เพียงเท่านี้ คุณชายสามสกุลซูยังเคารพไทเฮาเป็ที่สุด" สตรีสวมเสื้ออ่าวสีชมพูด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "หม่อมฉันอิจฉาคุณชายสามสกุลซูยิ่งนักที่ได้รับการชื่นชมจากไทเฮา"
"เ้าลิงน้อยปากคอเราะราย เราดีกับเ้ายิ่งกว่านี้ ไม่เห็นเ้าจะเอ่ยถึงสักคำ ยังจะไปอิจฉาผู้อื่น น่าตีนักเชียว" ไทเฮาตรัสเสียงเรียบ
เฉียวเยว่มองทุกคนล้อเล่นกันอยู่เงียบๆ
หลังจากนั้นไทเฮาก็หันมามองนาง มุมประโอษฐ์โค้งขึ้น "จะว่าไป เ้าดูสงบเสงี่ยมขึ้นกว่าเมื่อก่อน เราจำได้เ้าสดใสร่าเริงเป็พิเศษ"
ใบหน้าของเฉียวเยว่แดงระเรื่อ เอ่ยเสียงเบา "นั่นเพราะหม่อมฉันอายุยังน้อยเพคะ"
ไทเฮา "เหลวไหล เราเห็นคราก่อนเ้าก็ยังกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาอยู่เลย"
เฉียวเยว่ก้มหน้า เล่นชายกระโปรงด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังนับว่าดังกังวาน "ก่อนหน้านี้บิดามารดาล้วนอยู่ด้วยนี่เพคะ"
พูดตามตรง เพียงแค่อยู่คนเดียว ความกลัวก็เกิดขึ้นได้แล้ว นับประสาอันใดกับเด็กอายุเพียงแค่นี้ที่ต้องเข้าวังมาเพียงลำพัง
"ช่างเป็เด็กที่ซื่อตรงจริงๆ" ไทเฮาแย้มพระสรวลเล็กน้อย
เฉียวเยว่เอ่ยเสียงเบา "หม่อมฉันไม่กล้าปิดบังไทเฮาหรอกเพคะ"
"แท้จริงแล้วน่ะ..."
"กราบทูลไทเฮา อวี้อ๋องเสด็จเพคะ"
ไทเฮาคล้ายจะแย้มพระสรวล นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ "จ้านเอ๋อร์รึ? ให้เขาเข้ามาเถอะ" คำกล่าวในตอนแรกก็ไม่มีพูดต่อ
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ อวี้อ๋องในอาภรณ์สีเขียวมรกตก็เดินเข้ามา บนศีรษะยังผูกผ้าสี่เหลี่ยมสีเขียว ลำนำที่ว่า 'พัดขนนกพร้อมหมวกผ้า' [2] เฉียวเยว่ย่อมรู้จัก แต่สีเขียวนี่... อย่างไรเสียก็เป็สีที่ทำให้บุรุษรู้สึกอึดอัด แม้แต่สตรีก็ยังไม่ใช้สีนี้มาทำแถบผ้ารัดผม แต่เขากลับไม่ถือสา
เดิมทีรูปโฉมงามสง่า แจ่มจรัสดุจจันทร์กระจ่าง ท่วงทีที่ไม่แยแสมีความเป็ตัวของตัวเอง ยิ่งขับเสริมให้คนดูมีเสน่ห์
"เ้าเด็กเหลวไหล อยู่ดีๆ แต่งตัวอะไรกันนี่" ไทเฮาจดจ้องสีเขียวบนศีรษะของเขาอย่างไม่พอใจ
อวี้อ๋องกลับไม่นำพา ถวายพระพรเสร็จก็นั่งลงข้างเฉียวเยว่พอดี เฉียวเยว่ยืนอยู่ตรงนั้นพลันรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
"เสด็จย่าไม่รู้สึกว่าข้าแต่งเช่นนี้ดูหล่อเหลาเอาการหรอกหรือ? บุรุษในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดใส่ซ้ำข้าสักคน"
ไทเฮากลอกพระเนตรใส่ "ขนาดสตรียังหลีกเลี่ยงสีนี้ บุรุษเช่นเ้าไยถึงคิดมากนัก ไหนจะเสื้อคลุมตัวนอกของเ้าอีก เสื้อแบบนี้คล้ายกับเสื้อของสตรีไปหน่อย ไม่เหมาะสม เราเห็นแล้วขัดตา ไปเปลี่ยนเสีย"
หากพูดอย่างเป็กลาง เฉียวเยว่บอกได้ว่าอาภรณ์เช่นนี้เป็แบบที่สวมใส่ได้ทั้งสองเพศ หากจะกล่าวว่าเป็ชุดสตรี ก็คงจะไม่เป็ธรรมเกินไปจริงๆ
หลังจากกวาดตาสังเกตรอบหนึ่ง เฉียวเยว่ก็เงยหน้าขึ้น พบว่าการที่ตนเองแอบชำเลืองมองหรงจ้านแล้วอมยิ้มถูกไทเฮาทอดพระเนตรเห็นเข้าพอดี นางพลันรู้สึกเก้อเขิน ดวงหน้าแดงซ่านอีกครา
ไทเฮาเลิกพระขนง ตรัสด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "จ้านเอ๋อร์ เรามีพระเสาวนีย์เรียกเ้ามาพบหลายครั้ง เ้าก็ไม่ยอมเข้าวัง วันนี้ไม่เชิญกลับมาเองได้ หึๆ มี... ธุระอันใดรึ?"
...
[1] หนึ่งวันพันลี้ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เหมือนม้าที่วิ่งได้พันลี้ภายในหนึ่งวัน
[2] พัดขนนกพร้อมหมวกผ้า ก้าวฝ่าธุลีแห่งสมรภูมิ จากวรรคหนึ่ง ของบทเพลง ว่อหลงหยิน 卧龙吟 (สามก๊ก 199)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้