เผยฉางชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กระนั้นกลับมิได้ตอบคำถามแต่อย่างใด
เฉินจิ้งเจียไม่เอ่ยอันใดเช่นกัน หันหน้ามองเ้าของโรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างๆ “เถ้าแก่ เอาข้าวต้มเนื้อปลา น้ำแกงไก่ อาหารมังสวิรัติอีกสองอย่างรสชาติไม่จัดมาก ส่งไปยังห้องคุณชายเผย”
เถ้าแก่หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม มองคุณชายเผยด้วยท่าทางลำบากใจ ก่อนขยับตัวปรี่ไปข้างกายเฉินจิ้งเจีย “คุณชายน้อยคงยังไม่รู้ บัณฑิตเผยน่ะ เขานอนห้องเตียงรวมขอรับ”
ห้องเตียงรวม?
เฉินจิ้งเจียตาโตเท่าไข่ห่านมองเผยฉางชิงอย่างอดไม่ได้ มิใช่ว่านางบอกหนานจือมอบเงินให้เขาถุงหนึ่งไปแล้วหรอกหรือ?
ครั้นเห็นสภาพเช่นนี้ เฉินอี้เหอจึงกระแอมไอพลางออกคำสั่งตาม “เถ้าแก่ หาห้องให้พวกข้าสามห้อง ประเดี๋ยวส่งอาหารมาที่ห้องด้วย”
“ขอรับ!”
เถ้าแก่ะโรับ เร่งรีบพาทั้งสามเดินขึ้นชั้นบน ก่อนเปิดห้องพักสามห้องเรียงติดกัน
หลังจากเข้าห้อง เฉินอี้เหอมองเผยฉางชิง ครั้นเห็นสีหน้าเขาดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงถาม “ข้าจำได้ว่าวันนั้นให้หนานจือมอบเงินบางส่วนให้ท่าน ไฉนถึงได้หมดเร็วขนาดนี้เล่า?”
เผยฉางชิงหาได้เขินอายแต่อย่างใด ยกมือโค้งกายทำความเคารพเฉินจิ้งเจีย “วันนั้นขอบพระคุณคุณหนูที่ช่วยเหลืออย่างยิ่ง ข้าน้อยเผยถึงได้ผ่านวันคืนมาอย่างสุขสงบขอรับ”
เอ่ยจบ เขาพลันยืดตัวตรงมองไปทางเฉินอี้เหอ “บ้านของข้าน้อยเผยอัตคัดยิ่ง ที่เข้าเมืองมาสอบได้ก็เพราะพึ่งพาความช่วยเหลือจากสหายของคุณชาย ให้ข้าน้อยเผยได้หยิบยืมที่พักขอรับ”
“เพียงแต่คุณชายของตระกูลเ้ากรมเมืองหลวง ผูกปมแค้นเป็ศัตรูกับข้าไปแล้ว หากข้ายังออกไปรบกวนอีก เกรงว่าคงนำพาความเดือดร้อนมาสู่คนรอบกาย ดังนั้น...”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้แล้ว ยังมีอะไรที่ทั้งสามคนไม่เข้าใจอีก
แม้นเงินที่เฉินจิ้งเจียมอบให้จะพอประทังชีวิตให้เขาดื่มกินได้ระยะหนึ่ง ทว่าเมืองหลวงคือที่ใดกัน? กว่าจะถึงวันสอบ ค่าที่พักในโรงเตี๊ยมก็ย่อมเพิ่มขึ้นตามเช่นกัน
“เื่นี้ข้าสะเพร่าเอง” เฉินจิ้งเจียก้มหน้าเอ่ย แต่กลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบเงยหน้ามองเผยฉางชิงทันใด
“ท่าน ไฉนท่านถึงมองข้าออกเล่า?”
เฉินจิ้งเจียจงใจแต่งตัวอำพรางเป็พิเศษ แม้แต่เสียงพูดยังกดทุ้มต่ำลง คนอื่นคิดว่านางเป็เพียงคุณชายน้อยเท่านั้น หากแต่เผยฉางชิงกลับ...
มองออกยากมากเลยหรือ? เผยฉางชิงขมวดคิ้วมุ่น ยกนิ้วชี้ไปยังใบหูเฉินจิ้งเจีย
“ใบหูของคุณหนูมีรูเจาะ มีเพียงสตรีเท่านั้นที่เจาะหูไว้ใส่ต่างหูประดับ บุรุษหาได้มีไม่”
เฉินจิ้งเจียพลันลูบใบหูตัวเองอย่างลืมตัว รูเจาะสำหรับใส่ต่างหูเล็กๆ นั่น หากไม่สังเกตให้ดีก็ยากที่จะมองเห็น
“น้องเผยตาคมยิ่งนัก” เฉินอี้เหอเองก็ไม่คิดฝันว่าเผยฉางชิงจะเยี่ยมยอดขนาดนี้ ทัศนคติที่มีต่อชายหนุ่มเริ่มดีขึ้นหลายส่วน
เผยฉางชิงก้มหน้าเล็กน้อย หลุบดวงตาลงต่ำ “ท่านแม่ทัพเฉินกล่าวเกินไปแล้วขอรับ มิทราบว่าท่านแม่ทัพและคุณหนูมาหาข้าน้อยเผย มีเื่อันใดหรือขอรับ?”
ประกอบกับเสี่ยวเอ้อร์โผล่เข้ามาส่งอาหารพอดี ทุกคนจึงนั่งล้อมวงโต๊ะ
หนานจือถือข้าวต้มขึ้นมา ทว่าเฉินจิ้งเจียกลับส่งสัญญาณให้นางส่งถ้วยแรกให้เผยฉางชิง “คุณชายเผย ท่านยังาเ็ หมั่นโถวผักสดยังบำรุงร่างกายได้ไม่เท่าข้าวต้มปลาหรอก”
“ขอบพระคุณคุณหนูขอรับ” เผยฉางชิงขอบคุณเสร็จ จึงรับข้าวต้มมาวางเบื้องหน้าตนอย่างไม่สะทกสะท้าน ไร้ซึ่งความกระดากอาย
เมื่อเห็นท่าทีดังว่า หนานจืออดที่จะขมวดคิ้วขึ้นเสียมิได้ ที่คุณหนูบอกว่ามีความทะนงในศักดิ์ศรีและสุภาพอะไรนั่น ไหนเล่าท่าทางทะนงตนที่ว่า?
เฉินอี้เหอมองเผยฉางชิง แววตาฉายแววล้ำลึกซ่อนเร้นนัย
“คุณชายเผย ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพราะท่านพ่อเราอยากเจอท่าน” น้ำเสียงเขาสงบสุขุม ฟังอารมณ์แฝงเร้นไม่ออก
ตะเกียบที่เผยฉางชิงกำลังคีบอาหารเข้าปากหยุดชะงัก ก่อนเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ “ท่านพ่อ?”
เขาไม่เคยลืม ยามคุณชายโจวแห่งเ้ากรมเมืองหลวงเจอเฉินอี้เหอนั้น ก็ตื่นใจนเสียอาการไปไม่น้อยทีเดียว
นอกจากสถานะแม่ทัพ เขาต้องมีบางอย่างที่ทำให้คุณชายโจวหวาดกลัวอีกเป็แน่ ในเมืองหลวงนี้ สิ่งที่ทำให้เ้ากรมเมืองหลวงตื่นใหวาดกลัวจนวิ่งหนีหางจุกตูดได้นั้น ก็คงเป็พวกยศสูงศักดิ์มากอำนาจสินะ?
“ลืมบอกไป ท่านพ่อที่ว่าคือป๋อชางโหว” เฉินอี้เหอเอ่ยต่อ
ดวงตาเผยฉางชิงส่องประกายวูบ ฉายแววเหนือความคาดหมาย หาได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือประจบสอพลอแต่อย่างใด ซึ่งนั่นทำให้เฉินอี้เหอพึงพอใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านโหวถึงอยากเจอข้าขอรับ?” เผยฉางชิงถามความสงสัยในใจ
เฉินอี้เหอเติมข้าวต้มให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง เอ่ยตอบด้วยท่าทีดังเดิม “ไม่มีอะไรหรอก เผอิญว่าเราเผลอพูดเื่ที่เจอเ้าขึ้นมา ท่านพ่อรู้ว่าเ้าเป็บัณฑิตที่เข้าเมืองหลวงมาสอบ จึงอยากดูว่าจะพอคบค้ากับเ้าได้บ้างหรือไม่”
คำกล่าวบอกปัดนี้หาได้ทำให้เผยฉางชิงเชื่อแต่อย่างใด
อย่างไรเสียยามนี้การสอบก็ยังไม่เริ่ม เหล่าบัณฑิตที่เข้าเมืองมาสอบก็มีมหาศาล เขาไม่คิดว่าป๋อชางโหวจะนึกถึงตนได้ทั้งที่ยังไม่ทันแสดงความสามารถออกมา
ต่อให้ป๋อชางโหวคิดจะสมาคมด้วย ย่อมต้องพิจารณาผู้ที่มีชื่อเสียงผลงานมาก่อนอยู่แล้ว แต่ตนนั้น...
เขารู้ตำแหน่งของตนดีแก่ใจ ตัวเขาในยามนี้ยังไม่ควรค่าแก่การถูกคนใหญ่คนโตใดสนใจแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ทัพกล่าวเกินไปแล้วขอรับ” เขาเอ่ยก่อนหลุบตาลง เก็บแววตาเปี่ยมด้วยความสงสัยกลับไป
ทั้งที่เป็แค่การผูกมิตรสมาคม ทว่าด้วยสถานะของเขานั้น แค่ให้พ่อบ้านในจวนเดินทางมาหาก็นับว่าเป็เกียรติยิ่งแล้ว แต่ต้องถึงขั้นพาเหล่าบุตรชายบุตรสาวของตนมาเจอด้วยอีกหรือ?
ยิ่งคิด ความสงสัยในใจเขาก็ยิ่งทวีคูณ
การที่ทั้งสองมาหาต้องมีจุดประสงค์เป็แน่ ทว่าจุดประสงค์อันใดเล่า?
เขาเป็เพียงบัณฑิตคนหนึ่งเท่านั้น คิดจะเอาเงินหรือ? พูดตามตรงว่าเขาไม่เชื่ออย่างแน่นอน
คิดจะขืนใจหรือ?
เผยฉางชิงเงยหน้ามองเฉินจิ้งเจียที่ปลอมตัวในอาภรณ์บุรุษเพศทันใด
ทั้งที่แต่งกายเป็บุรุษ แต่ก็ปิดบังลักษณะทั้งตัวของนางไว้ไม่อยู่ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาละเอียด ดวงตาและคิ้วงามได้รูปประหนึ่งภาพวาด อีกทั้งต้นตระกูลยังเป็จวนป๋อชางโหวอีก เหล่าชายหนุ่มรูปงามทั้งเมืองหลวง นางล้วนเลือกได้ทั้งสิ้น ไหนเลยจะมามองเขากัน?
ครั้นเห็นสายตาเผยฉางชิงปราดมองมา เฉินจิ้งเจียจึงยกยิ้มมุมปาก “คุณชายเผยอยากพูดอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เขามีเื่อยากถามไถ่จริงดังว่า หากแต่มาคิดดูแล้ว เฉินจิ้งเจียไม่มีทางพูดความจริงแน่
“ไม่มีขอรับ” เขาตอบกลับ ก่อนเก็บสายตามองประเมินเฉินจิ้งเจียเมื่อครู่กลับไป
หลังจากกินข้าวเสร็จ เฉินอี้เหอเช็ดมุมปากจากนั้นจึงเอ่ย “คุณชายเผยมิต้องกลัวไป จวนป๋อชางโหวของเราหาได้เหมือนคุณชายโจว แค่พาท่านไปเจอบิดาเราเท่านั้น มิได้คิดทำอันใดต่อท่าน”
เพราะกลัวเขาจะหวาดกลัวขึ้นมา เฉินอี้เหอจึงชี้แจงอีกที
“ข้าน้อยเผยเข้าใจแล้วขอรับ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพและคุณหนูที่ให้ความสำคัญแก่ข้าน้อยขอรับ” ระดับการพูดของเขามีกาลเทศะทีเดียว ไม่ยึดมั่นโอหังและประจบสอพลอ นับว่าช่วยให้เฉินอี้เหอคลายใจไปได้มาก
หลังจากให้เสี่ยวเอ้อร์เก็บถ้วยชามบนโต๊ะแล้ว เฉินอี้เหอจึงหยัดกายยืนขึ้น “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เชิญคุณชายเผยตามสบาย”
กล่าวจบจึงพาเฉินจิ้งเจียออกจากห้องไป
เผยฉางชิงมองทั้งสามเร้นจากห้องไป หัวคิ้วค่อยๆ ขมวดมุ่น สำหรับความหวังดีอันกะทันหันนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มองไม่ออกจริงๆ
เื่ราวดีๆ ดังเช่นลาภลอยครั้งนี้ มีหรือจะมาประสบพบเจอกับตัวเขาได้ง่ายดายขนาดนี้?
หากเขามีความคิดจะคบค้าสมาคมกับป๋อชางโหว ก็คงเป็เื่ที่ต้องพิจารณาหลังจากตนได้แสดงความสามารถให้เห็นก่อนนี่นา
หากตัวเขาไปเข้าร่วมเอง จะเรียกว่าความสัมพันธ์แบบฝืนใจประจบก็ย่อมได้
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า...
พวกเขาเสียเองที่เป็ฝ่ายเข้ามาผูกปมสัมพันธ์นี้ เช่นนี้ยังเรียกว่าฝืนใจประจบได้อยู่อีกหรือไม่?
