ในขณะที่หลินหร่านกังวลเื่อาหารเช้าของอวี้ฉู่จาว อวี้ฉู่จาวเองก็รู้สึกกังวลใจที่ต้องรีบกลับมากินอาหารเช้าร่วมกัน
เพื่อไม่ให้เป็การเสียเวลา เขาจึงกล่าวออกมา “อาหารเช้าวันนี้เรากินกันที่นี่นะ”
อวี้ฉู่จาวจูงมือหลินหร่าน พอหมุนตัวกลับมาก็พบกับหรงจิ่งและจางเหยียน
ทันใดนั้น ทั้งสี่คนจึงได้เผชิญหน้ากัน
เวลานี้ จางเหยียนยังคงงุนงงอยู่ว่าคนผู้นี้เป็ใคร ทว่าหรงจิ่งกลับยืนขึ้นและโค้งคำนับเล็กน้อย “ถวายบังคมพระชายา”
ถึงแม้หรงจิ่งจะยังไม่เคยพบหลินหร่าน แต่เขาก็มองออกว่าเด็กหนุ่มที่ท่านอ๋องปฏิบัติเช่นนี้ด้วยต้องเป็พระชายาที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็ที่รักของท่านอ๋องแน่
เมื่อเห็นหรงจิ่งถวายความเคารพ จางเหยียนก็รีบลุกขึ้นมาถวายความเคารพเช่นกัน “ถวายบังคมพระชายา”
่เวลานี้เอง หลินหร่านเพิ่งจะสังเกตว่าวันนี้มีแขกอีกสองคน เขาตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะเขาพลันรู้สึกว่า การที่ตนเองมาเจอแขกในท่าทีเช่นนี้ช่างไร้มารยาทเสียจริง
“ท่านทั้งสองลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องเกรงใจ” หลินหร่านมองคนทั้งคู่ที่สวมเฉาฝูกับชุดเกราะ นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้ทำความรู้จักกับเหล่า
คนในกองทัพเดียวกับท่านอ๋อง? และ…สหายของท่านอ๋อง?
เขารู้สึกไม่คุ้นเคยและประหม่าขึ้นมา ถ้อยคำที่กล่าวออกไปจึงเหมือนไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองนัก
อวี้ฉู่จาวรู้ดีว่าหลินหร่านไม่ได้เตรียมตัว เขาถึงได้กล่าวแนะนำ “นี่คือพระชายาของเปิ่นหวัง…”
หลังจากนั้น เขาค่อยหันมาเอ่ยกับหลินหร่าน “อวิ๋นซี ท่านผู้นี้คือต้าซือหม่าหรงจิ่ง เป็ผู้วางกลยุทธ์ในการศึกของข้า ส่วนท่านนี้คือแม่ทัพเจิงเป่ย มีนามว่าจางเหยียน แล้วก็เป็…” อวี้ฉู่จาวหยุดชั่วครู่ก่อนเอ่ยต่อ “เป็ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดที่อวี้ฉู่จาวแนะนำ จางเหยียนตกตะลึงเล็กน้อย แต่เขากลับรู้สึกโล่งใจ
ท่านอ๋องยอมรับในความจงรักภักดีของเขาแล้ว
“สวัสดีท่านทั้งสอง” หลินหร่านโปรยยิ้มพร้อมทั้งก้มหัวทักทาย
พระชายาตัวน้อยมีท่าทีที่เป็มิตรและไม่ถือตัว
หรงจิ่งรู้สึกว่าสิ่งนี้ช่างน่าสนใจ และดูเหมือนว่าการที่ท่านอ๋องรักพระชายามากนั้นจะต้องมีเหตุผลแน่
แม้แต่จางเหยียนก็ประหลาดใจกับท่าทีอันนุ่มนวลของหลินหร่าน
ในขณะที่ทั้งสี่คนกำลังสนทนากัน สำรับอาหารได้ถูกจัดขึ้นโต๊ะเรียบร้อย
“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเรามากินกันเถิด”
ฉับพลัน หลินหร่านกลับมีท่าทีลังเล
อวี้ฉู่จาวดึงให้หลินหร่านนั่งลง แต่หลินหร่านก็ขยับตัวไปด้านข้างเล็กน้อย แสดงท่าทีปฏิเสธ
“เป็อะไรหรือ?” อวี้ฉู่จาวเอ่ยถาม
หลินหร่านมองอวี้ฉู่จาวครั้งแล้วครั้งเล่า หรงจิ่งกับจางเหยียนก็จ้องมองมาที่ท่านอ๋องเช่นกัน
่เวลานั้น พวกเขาทั้งสี่คนต่างมีความรู้สึกไม่เหมือนกัน
อวี้ฉู่จาวคิดว่า ให้ทั้งสี่คนมาร่วมกันรับประทานอาหาร มีเื่ใดที่อยากพูดคุยก็หยิบยกขึ้นมาเสีย
หรงจิ่งกับจางเหยียนกลับคิดว่า เื่ที่พวกเขาจะสนทนากันเป็เื่ที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ไม่ควรให้คนของตำหนักหลังมาร่วมวงสนทนาด้วย
สำหรับหลินหร่าน เขาก็มีความคิดไม่ได้ต่างจากหรงจิ่งมากนัก เมื่อมีแขกมาเยี่ยมเยือน แสดงว่าต้องมีธุระสำคัญ
เขาที่เป็พระชายาและเป็คนของตำหนักหลังย่อมไม่เหมาะสมที่จะอยู่ตรงนี้เสียเท่าไร ดังคำกล่าวในสมัยโบราณที่ว่า ‘เหล่าผู้คนจากตำหนักหลังมิควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง1 มิใช่หรือ’
หากเป็เช่นนั้น คนในตำหนักหลังอย่างเขาก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองด้วย
“ท่านอ๋อง พวกท่านคงมีเื่ที่ต้องพูดคุยกัน เช่นนั้นข้าไม่รบกวนดีกว่า ข้าไปกินข้าวด้านหลังตำหนักก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านเอ่ยออกมาอย่างมีเหตุผล
สีหน้าของอวี้ฉู่จาวลพลันเปลี่ยนเป็เ็าในทันที
เขาไม่ชอบให้หลินหร่านประเมินค่าตนเองต่ำเช่นนี้
“อวิ๋นซีจะไปไหนเล่า พวกเราเคยชินกับการร่วมโต๊ะอาหาร วันนี้เ้าก็อยู่กินด้วยกันที่นี่แหละ”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่” อวี้ฉู่จาวมีท่าทีไม่อ่อนโอน แต่น้ำเสียงก็ยังคงอ่อนโยน “ฟังที่ข้าบอก”
หลินหร่านจึงทำได้เพียงรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่้าให้อวี้ฉู่จาวโกรธจึงตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก
ท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายที่เปลี่ยนไปมาของอวี้ฉู่จาวทำให้หรงจิ่งกับจางเหยียนตะลึงงันไปชั่วครู่
ไม่นาน หรงจิ่งก็ยิ้มออกมาราวกับเริ่มยอมรับและเข้าใจ แต่จางเหยียนยังคงตกตะลึง ได้แต่จ้องมองอยู่เช่นนั้น
ต่อจากนั้น ทุกคนพากันนั่งประจำที่บนโต๊ะอาหารโดยที่ไม่มีใครต้องเอ่ยอะไร กระทั่งเวลาต่อมามีเพียงเสียงของอวี้ฉู่จาวที่คีบอาหารให้หลินหร่านพร้อมกับพูดคุยกันอยู่สองคน
“เ้าออกกำลังกายยามเช้าแล้วหรือ?” อวี้ฉู่จาวคีบก้วนทังเปา2 ที่อยู่ไกลใส่ไปในถ้วยของหลินหร่านพร้อมกับเอ่ยถาม
คำถามเช่นนี้คล้ายกับคำถามที่หลินร่านชอบถามอวี้ฉู่จาวด้วยความเคยชินว่า ตื่นนอนขึ้นมาดื่มน้ำแล้วหรือยังอย่างไรอย่างนั้น
หลินหร่านหูแดงขึ้นมา ดวงตาแอบลอบมองไปโดยรอบอย่างเงียบๆ เมื่อไม่มีใครสังเกตเห็นจึงได้พยักหน้าตอบรับ “ทำแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของอวี้ฉู่จาวไม่ได้มีรอยยิ้ม ภายนอกยังคงมีท่าทีสงบ แต่ภายในใจนั้นพึงพอใจนัก
หรงจิ่งลอบสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายาครู่หนึ่ง เขามองออกอย่างชัดเจน
ถึงท่านอ๋องจะมีสีหน้าราบเรียบ ท่าทีเงียบสงบราวกับไม่แยแสใครบนพระพักตร์ แต่ที่จริงในใจนั้นอารมณ์ดีเป็อย่างมาก เสมือนเวลานี้กำลังมีดอกไม้เบ่งบานอยู่ในหัวใจ
ส่วนทางด้านจางเหยียน เขากำลังหาโอกาสเอ่ยปากและครุ่นคิดอยู่ว่าตนเองควรพูดหรือไม่
“เอ๊ะ ท่านแม่ทัพมีเื่ที่จะกราบทูลท่านอ๋องมิใช่หรือ” หรงจิ่งเป็คนฉลาด เขาจึงใช้โอกาสนี้รีบทำลายความเงียบเสียก่อน
“เอ่อ...ใช่ แต่นี่...” จางเหยียนยังคงมีท่าทีลังเล
“เปิ่นหวังกับพระชายาเกิดมาร่วมทุกข์สุข ตายก็ย่อมลงโลงเดียวกัน3 เป็หนึ่งเดียวกัน ไม่มีเื่ใดที่เขารู้ไม่ได้” อวี้ฉู่จาวรู้ดีว่าจางเหยียนลังเลเพราะสาเหตุใด ดังนั้น เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงการตักเตือนอยู่กลายๆ
ประโยคที่อวี้ฉู่จาวเอ่ยออกมาทำให้หลินหร่านรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขาอดไม่ได้ที่จะทอดสายตามองท่านอ๋องด้วยความรักใคร่
‘เกิดมาร่วมทุกข์สุข ตายก็ย่อมลงโลงเดียวกัน’
ช่างเป็ประโยคแห่งความรักที่ฟังแล้วรู้สึกดีอะไรเช่นนี้ อย่างกับมีความหวานหล่อหลอมอยู่ในหัวใจ
อวี้ฉู่จาวรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงของหลินหร่านจึงได้หันหน้าไปมอง จากนั้นยื่นมือไปลูบศีรษะหลินหร่านแ่เบา แล้วค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา “อย่ามองข้าเช่นนั้น อวิ๋นซีกำลังจะทำให้ข้าเสียมารยาทต่อหน้าแขกนะ”
แน่นอนว่าหลินหร่านไม่อยากให้เป็เช่นนั้นจึงรีบส่ายหน้า พร้อมรีบปกปิดความรู้สึกของตนเอง
หรงจิ่งได้แต่ส่ายหัวไปมา แน่นอนว่าหันไปแสดงท่าทีเช่นนี้กับจางเหยียน
จางเหยียนผู้นี้เพิ่งกลับมาที่เมืองหลวง ทำให้ยังไม่ค่อยได้ยินอะไรมากนัก เขาจึงยังคงมีท่าทีระแวดระวังในสถานะของพระชายา
ทว่า ท่านอ๋องแสดงออกอย่างชัดเจนว่าได้วางตำแหน่งของพระชายาให้อยู่ในตำแหน่งที่แสนพิเศษไปแล้ว
“เ้าเอ่ยมาเถิด อย่างไรพระชายาก็ถือเป็กองกำลังที่เป็มิตรของพวกเรา ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะพระชายา” หรงจิ่งไม่ลืมที่จะหันไปคุยกันหลินหร่านหลังกล่าวจบ
หลินหร่านใเล็กน้อยที่หรงจิ่งเป็ฝ่ายพูดคุยกับตนเองก่อน ต่อมาเขายกยิ้มพลางพยักหน้า “อื้อ ใช่ ใช่แล้ว”
หลังจางเหยียนได้รับการยืนยันจากหรงจิ่งก็คลี่ยิ้มด้วยความประหม่าก่อนเอ่ยตอบ “ท่านอ๋อง เป็เพราะกระหม่อมมีตาหามีแววไม่”
อวี้ฉู่จาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำลง “ไม่เป็ไร”
หลังจากนั้น จางเหยียนจึงเริ่มเข้าเื่ในทันที “ท่านอ๋องอาจยังไม่ทรงทราบ ก่อนที่กระหม่อมจะออกรบ กระหม่อมได้ทำไร่ทำสวนอยู่ที่บ้านเกิดทางเหนือ เื่มันเริ่มเมื่อราวๆ สองปีก่อน มักมีคนมาเกณฑ์ผู้คนในหมู่บ้านไปเป็ทหาร อีกทั้งเงินที่ได้ก็มากเป็สองเท่าของทหารในราชสำนัก ตอนแรกก็คิดว่าเป็เพราะมีาเกิดขึ้นมากมายจึงไม่ได้สนใจนัก”
“ทว่า...ในปีนี้เห็นได้ชัดว่าาลดน้อยลงมาก แต่ความถี่ในการรับทหารเกณฑ์กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กระหม่อมอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย พื้นที่ทางตอนเหนือเป็พื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกล อีกทั้งยังมีูเามาก มายและเหมาะจะเป็ที่สถานที่หลบซ่อนตัว หากมีใครแอบสร้างกองทัพหรือเลี้ยงม้าไว้ล่ะก็…”
คำพูดต่อจากนั้นจางเหยียนไม่จำเป็ต้องเอ่ย นอกจากหลินหร่านที่ยังคงครุ่นคิดด้วยความสงสัย อีกสองคนที่เหลือเข้าใจเป็อย่างดี
การเกณฑ์ทหารนั้น หากมาคิดดูดีๆ แล้วต้องมีคนที่กำลังสร้างกองกำลังทหารอยู่เป็แน่
าใน่สองปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้ฉงเต๋อมอบหมายหน้าที่ให้อยู่ในมือของอวี้ฉู่จาวมาตลอด อำนาจทางการทหารจึงค่อยๆ มารวมอยู่ที่เขา
สำหรับเื่นี้ทำให้ใครหลายคนเริ่มไม่สบายใจ บนมือใครไม่มีกองกำลังทหารก็จะรู้สึกเหมือนไร้ซึ่งอาวุธ ต้องรอที่จะต้องถูกเชือดทิ้งเท่านั้น
เพราะฉะนั้น การแอบสร้างกองกำลังและซื้อม้า จึงล้วนแต่เป็การสร้างสายทางการทหารให้กับตนเองทั้งสิ้น
-------------------------------------------------
1 เหล่าผู้คนจากตำหนักหลังมิควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรืออาจกล่าวได้ว่า ผู้เป็หญิงมิควรยุ่งเื่การเมือง ตำหนักหลังเปรียบดั่งผู้เป็ภรรยา
2 ก้วนทังเปา คือ ซาลาเปาแบบมีน้ำซุปด้านใน คล้ายกับเสี่ยวหลงเปา
3 เกิดมาร่วมทุกข์สุข ตายก็ย่อมลงโลงเดียวกัน อธิบายถึงคู่สามีภรรยาที่มีความรู้สึกต่อกันอย่างลึกซึ้ง
