หมี่หลันเยว่รีบพยักหน้าขอบคุณในความหวังดีของแม่เจิ้งอีกครั้ง ทั้งสามคนจัดการเครื่องดื่มเย็นชื่นใจจนหมด หมี่หลันเยว่จึงลุกขึ้นไปจ่ายเงิน แต่เจิ้งซวี่เหยาจะยอมได้ยังไง ในเมื่อมาถึงถิ่นของเขาแล้ว แถมยังเป็สาวน้อยที่เขาแอบปิ๊งอีกด้วย ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ไม่อาจปล่อยให้หลันเยว่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเองได้
เมื่อหมี่หลันเยว่แย่งจ่ายไม่ได้ จึงซื้อไอศกรีมแท่งให้ลุงคนขับรถเสียเลย
"งั้นคุณก็ใช้จ่ายเยอะๆ หน่อยแล้วกันนะคะ"
เจิ้งซวี่เหยาทำได้เพียงทนกล้ำกลืน เมื่อถูกสาวน้อยหยอกเย้า
เขาทำใจแข็งตอบโต้หมี่หลันเยว่ไม่ได้ แม้จะเลือกปล่อยมืออย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ปล่อยให้เธอเข้ามายุ่มย่ามในส่วนลึกที่สุดของหัวใจเขาอีกต่อไป แต่ความรู้สึกชื่นชอบที่มีต่อเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยสักนิด เพียงแต่จากนี้ไป เขาจะมีท่าทีที่สง่างามเมื่ออยู่ข้างกายเธอมากขึ้นเท่านั้นเอง
ทั้งสามคนกลับมาถึงบ้าน หมี่หลันเยว่ตรงดิ่งไปยังห้องพี่ชายเพื่อเล่าเื่ให้เขาฟัง เธอต้องปรึกษากับพี่ชายทั้งหลายว่าหลังจากนี้ พวกเขาจะดำเนินการยังไงกันต่อ เธอตั้งใจจะรับเื่ตามหาบ้านสี่ประสานมาดูแลเอง ส่วนเื่ปรับปรุงบ้านก็จะยกให้พี่ชายทั้งหลายเป็คนจัดการ
ส่วนแม่เจิ้งก็ลากลูกชายเข้าไปในห้องของตนเอง อยากจะเค้นถามไถ่ให้รู้เื่ วันนี้ที่ร้านเครื่องดื่มเย็น แม่เจิ้งได้สังเกตการณ์ต่างๆ จนในใจรู้สึกสับสนไปหมด ลูกชายก็คือแก้วตาดวงใจของเธอ การที่ต้องเห็นลูกชายต้องเ็ป เธอรู้สึกเ็ปตามไปด้วยจริงๆ
"เหยาเหยา แม่รู้ความคิดลูกอยู่บ้าง แต่พอเห็นลูกปล่อยมือแบบนี้ แม่ก็อดเป็ห่วงลูกไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ว่าแม่จะอยากให้ลูกแต่งงาน อยากได้อุ้มหลานเร็วๆ แต่หลักๆ ก็ต้องดูที่ความ้าของลูกเองด้วย"
แม่เจิ้งไม่พูดอ้อมค้อมกับลูกชาย ตรงเข้าประเด็นหลักทันที
"ถ้าลูกไม่ได้รักหลันเยว่มากขนาดนั้น แม่ก็อยากจะเร่งให้ลูกแต่งงานอยู่แล้ว แม่รอมาหลายปีแล้ว แต่ถ้าลูกรักหลันเยว่จริงๆ แม่ก็สนับสนุนลูกนะ"
แม่เจิ้งดึงลูกชายเข้ามากอดด้วยความสงสาร เพียงแต่ว่าตอนนี้ลูกชายโตแล้ว ลูกชายที่เธออยากจะกอด กลับโอบเธอไว้ในอ้อมอกเสียแทน
"เหยาเหยา ถ้าลูกมีใจจริงๆ พวกเราก็ลุยเลยนะ แม่รอได้ ขอแค่ลูกมีความสุขก็พอ"
"แม่ครับ ผมรู้ว่าแม่กังวลอะไร เพียงแต่ว่าบางเื่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ใจผมอย่างเดียว"
เจิ้งซวี่เหยาโอบแม่ แล้วพูดเบาๆ
"เธอเป็ผู้หญิงที่ดี ผมชอบเธอมาก แต่ก็เพราะชอบนั่นแหละ ผมเลยไม่อยากทำให้เธอต้องลำบากใจ"
เพราะทั้งสองคนอยู่ในท่ากอดกัน แม่เจิ้งจึงมองไม่เห็นสีหน้าของลูกชาย บนใบหน้าของเจิ้งซวี่เหยาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ที่ไม่อาจลบเลือนได้ แถมยังมีความเศร้าจางๆ เจือปนอยู่ด้วย เพียงแต่ดวงตาของเขากลับเป็ประกายสดใส
"แม่ครับ หลันเยว่เป็คนที่ทำอะไรใหญ่โตได้ อนาคตของเธอไม่มีขีดจำกัด ผมไม่อาจขวางทางเดินของเธอได้ เพราะว่าผมเองก็อาจจะต้องทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่เช่นกัน ดังนั้นผมจึง้าภรรยาที่คอยดูแลบ้าน แต่เธอทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เธอต้องหยุดเดิน แล้ววนเวียนอยู่กับลูกและหม้อข้าว ผมจะเกลียดตัวเอง"
หมี่หลันเยว่เปรียบเสมือนอินทรีที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีความสามารถในการโผบินสู่ท้องฟ้าเก้าชั้น แต่ก็เป็เพียงแค่เื่ของเวลาเท่านั้น เจิ้งซวี่เหยาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ หมี่หลันเยว่จะสามารถแสดงความสง่างามของเธอออกมาได้อย่างเต็มที่ ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม และใช้ชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์ในแบบของเธอเอง
เธอในแบบนั้นถึงจะสวยงามที่สุด พอคิดถึงการขังอินทรีตัวหนึ่งไว้ในเล้าไก่ เลี้ยงดูเหมือนสัตว์ปีก มันช่างเป็การทำลายของดีอย่างน่าเสียดาย เหมือนกับการซ่อนเครื่องกระเบื้องที่สวยงามที่สุดไว้ใต้ดิน ไม่มีใครได้เห็นความงามนั้น มันก็สูญเสียคุณค่าไป
"ลูกชาย สรุปแล้วลูกชอบหรือไม่ชอบกันแน่ ถ้าชอบแล้วยอมแพ้ไป มันน่าเสียดายนะ"
ถ้าไม่มีเื่ราวที่เกิดขึ้นใน่บ่ายวันนี้ ถ้าลูกชายบอกกับเธอว่าเขาอยากจะแต่งงานกับหมี่หลันเยว่ เธอคงปฏิเสธไปอย่างไม่ต้องคิด แต่พอเห็นเขายอมตัดใจอย่างอาลัยอาวรณ์ แม่เจิ้งก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขของลูกชาย เธอไม่อยากให้ลูกชายต้องเสียสละความสุขไปทั้งชีวิต เพียงเพื่อทำตามความ้าของเธอ หนึ่งชีวิตคนเรา ยาวก็ไม่ยาว สั้นก็ไม่สั้น หลายสิบปี ถ้าต้องทนทุกข์ทรมาน มันก็เหมือนกับไม่มีวันสิ้นสุด
"แม่ครับ ผมรู้ว่าตัวเอง้าอะไร อย่ามองผมเป็เด็กสิครับ ถ้าผมยังเป็เด็ก ผมอาจจะเอาแต่ใจตัวเอง อยากจะรั้งเธอไว้ แต่ผมไม่ใช่ ผมโตแล้ว ผมมีความคิดและการเลือกของตัวเอง ผมรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง"
"ผมมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเธอจริงๆ แต่ก็เป็แค่ความรู้สึกหวั่นไหวเท่านั้น ยังไม่ได้ถึงขั้นที่จะขาดกันไม่ได้ ดังนั้น แม่ไม่ต้องเป็ห่วงผมมากเกินไป คนสองคนที่เจอกันได้ไม่กี่วัน จะมีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งอะไรกันได้ แล้วยิ่งถอยออกมาเร็วเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งมีอำนาจในการตัดสินใจมากขึ้นเท่านั้น ผมไม่อยากทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบมากเกินไป"
การรักใครสักคนที่ไม่อาจเป็ไปได้ นั่นแหละคือความเ็ปที่สุด เจิ้งซวี่เหยาไม่อยากทำให้ตัวเองต้องเศร้าสร้อยขนาดนั้นในวัยยี่สิบแปดปี แถมยังเคยใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เขามีสติมากพอที่จะแบ่งแยกชีวิตและความรู้สึกออกจากกัน แล้วเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
แน่นอนว่าในส่วนลึกของหัวใจเจิ้งซวี่เหยา การเลือกของเขานั้น จริงๆ แล้วคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ เขาอยากเห็นเธอมีความสุข อยากเห็นเธอประสบความสำเร็จ และทั้งหมดนี้ ไม่ควรเป็สิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ เธอเพิ่งจะอายุสิบห้าปี ยังไม่ใช่่วัยที่จะเข้าใจความรัก มันไม่ใช่ความผิดของใคร เป็เพราะเวลาที่เขาปรากฏตัวมันไม่ถูกต้อง
ส่วนหมี่หลันเยว่ที่เข้าไปในห้องพี่ชาย ไม่รู้เื่การสนทนาระหว่างเจิ้งซวี่เหยากับแม่เจิ้งเลยสักนิด เธอกำลังถกเถียงกับพี่ชายอย่างดุเดือด
"พี่คะ ่นี้พวกพี่บำรุงกำลัง สะสมพลังงานให้เต็มที่ไปเลย"
"พักผ่อนให้เต็มที่ ถ้ามีเวลาว่างก็ออกแบบภาพรวมอีกครั้ง พอถึงสิ้นเดือนที่ร้านจัดการขนของออกเสร็จแล้ว เราก็จะรีบตกแต่งให้เร็วที่สุด ส่วนเื่โรงงาน ฉันส่งโทรเลขไปแล้ว ให้พวกเขาทำงานล่วงเวลาให้เราเยอะๆ เร่งผลิตเสื้อผ้าออกมาเยอะๆ เราจะพยายามเปิดร้านให้ทันก่อนเปิดเทอม ไม่งั้นพอเปิดเทอมไปแล้ว พวกเราคงไม่มีเวลาอีกแล้ว"
หลินเผิงเฟยกลับรู้สึกสงสัย
"หลันเยว่ ความคิดของเธอดีนะ แต่ตอนนี้โรงงานก็ผลิตสินค้าให้ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วทั้งเมืองได้พอดี ถ้าเพิ่มเสื้อผ้าของพวกเราเข้าไปอีก ฉันกลัวว่าโรงงานจะผลิตไม่ทันนะ"
ถ้าพูดถึงปริมาณสินค้าที่ออกจากโรงงานแล้ว ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าหลินเผิงเฟยอีกแล้ว ถึงแม้แต่หมี่หลันเยว่เองก็รู้แค่คร่าวๆ เท่านั้น เธอจะตรวจสอบอย่างละเอียดก็ต่อเมื่อตอนที่ตรวจบัญชีเท่านั้น แต่หลินเผิงเฟยต้องตรวจสอบสินค้าเข้าออกของโรงงานทุกวัน
"ถ้าโรงงานผลิตสินค้าออกมาไม่ทันจริงๆ ก็ให้พวกเขายืดเวลาส่งสินค้าให้กับเมืองอื่นออกไปก่อน ฉันจะออกไปส่งโทรเลขอีกฉบับ ให้พวกเขาเร่งผลิตสินค้าให้เราก่อน ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แล้วตอนนี้ฉัน้าแค่ส่วนที่เป็สินค้าคุณภาพดีเท่านั้น ส่วนสินค้าทั่วไปเอาไว้ทีหลัง"
เพราะว่าทำเลที่ตั้งของร้านอยู่ในใจกลางเมือง ร้านค้าที่อยู่ข้างๆ ล้วนแต่มีระดับสูงทั้งนั้น ดังนั้นเสื้อผ้าที่หมี่หลันเยว่้าจะนำเสนอ จะต้องไม่ใช่สินค้าราคาถูก ถ้าเสื้อผ้าราคาไม่ถึง ร้านนี้ก็จะดูด้อยค่าลงไป ผลกำไรจากการขายก็คงจะไม่ดีเท่าที่ควร เพราะมันไม่เข้ากับร้านค้าข้างเคียง
"ถ้าทำแต่สินค้าคุณภาพดี ก็ให้พวกเขาเน้นผลิตเสื้อผ้าคุณภาพดีอย่างเดียว แบบนั้นจะลดความวุ่นวายลงได้บ้าง สามารถดึงคนจากส่วนที่ผลิตเสื้อผ้าทั่วไปมาช่วยผลิตชุดคุณภาพดีก่อนได้"
เมื่อได้ยินหมี่หลันเยว่พูดว่าจะทำแต่สินค้าคุณภาพดี หลินเผิงเฟยกับคนอื่นๆ ก็เข้าใจถึงแผนการของหมี่หลันเยว่
ยังไงซะ ทุกคนก็ทำงานด้วยกันมาหลายปี มีความเข้าใจกันเป็อย่างดี หมี่หลันเยว่แค่พูดออกมา ทุกคนก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจแบบนี้ ที่ดินตรงนั้นเป็ทำเลทองจริงๆ สินค้าที่อยู่ในร้านก็ต้องมีคุณภาพที่คู่ควรเช่นกัน
"ถ้าจะทำตามรูปแบบการจัดสินค้าคุณภาพดี ค่าใช้จ่ายก็อาจจะไม่น้อยเลยนะ พวกเราหลายคนตอนที่กลับมา ก็ได้สอบถามเื่ค่าแรงและวัสดุอุปกรณ์ในการตกแต่งในปักกิ่งมาบ้างแล้ว"
เฉียนหย่งจิ้นหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋า ในนั้นมีตัวหนังสือเขียนไว้อย่างหนาแน่น
"อืม เื่นี้แน่นอนอยู่แล้ว ปักกิ่งไม่ใช่เมืองเล็กๆ ของเรา ค่าครองชีพและค่าแรงจะต้องสูงกว่าที่บ้านเราแน่นอน แต่มันก็คงจะไม่แพงเกินไปหรอก"
นี่มันก็แค่่กลางยุคที่ 80 ถึงแม้ว่าปักกิ่งจะมีความแตกต่างกับเมืองชายขอบ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากจนน่าใเหมือนในยุคหลัง
"เอาล่ะ เื่ตกแต่งภายในเธอก็ไม่ต้องเป็ห่วงหรอกนะ หลันเยว่ พวกเราจะจัดการให้เอง จะเตรียมงานทุกอย่างให้พร้อม ลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด และทำตามความ้าของเธอให้ได้มากที่สุด"
เฉียนหย่งจิ้นเก็บสมุดเล่มเล็ก แล้วรับประกันกับหมี่หลันเยว่
"ใช่แล้ว หลันเยว่ เื่ต้นทุนเธอไม่ต้องเป็ห่วง ฉันจะคำนวณให้เอง ส่วนเื่ฝีมือของช่าง หย่งจิ้นก็จะไม่ปล่อยปละละเลย เธอไม่ต้องกังวลเื่การตกแต่งร้านมากเกินไป ใน่นี้ก็คุยกับที่บ้านให้เรียบร้อย ให้พวกเขาเตรียมสินค้าให้เราก็พอ"
หมี่หลันเยว่พยักหน้า เื่การตกแต่งร้านมีพี่ชายหลายคนคอยดูแลอยู่ คงไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเื่เสื้อผ้าและการขาย สินค้าของที่บ้านก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน เธอเชื่อมั่นในความสามารถของหลิวเสี่ยวหว่าน ตอนที่โรงงานมีคนแค่สิบกว่าคน ก็กล้ารับงานใหญ่ขนาดนั้นจากลุงหนิวมาแล้ว สุดท้ายก็ทำสำเร็จไม่ใช่เหรอ
"เื่สินค้าคงไม่มีปัญหาอะไร เสี่ยวหว่านตกลงที่จะส่งสินค้าให้ฉันแล้ว เธอก็ต้องส่งให้ได้แน่นอน แต่เื่พนักงานขาย พวกเราต้องคิดให้ดีๆ หน่อย คนที่ชำนาญแล้วน่าจะใช้การได้ดีกว่าคนที่ยังไม่เคยทำอะไรเลย อย่างนี้ ตอนเย็นฉันจะถามป้าดูว่าพนักงานขายที่ป้าิ่ดูแลอยู่น่ะเป็ยังไงบ้าง ถ้าใช้ได้ พวกเราก็จ้างพวกเขาไว้เลย"
"ถ้าเป็แบบนั้นปัญหาหลายๆ อย่างก็จะง่ายขึ้นเยอะ พวกเราแค่ต้องฝึกอบรมพวกเขาอีกหน่อย แต่ถ้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันว่าไม่ต้องใช้เลยดีกว่า พวกครึ่งๆ กลางๆ น่ะจัดการยากที่สุด เหนียวหนึบติดมือก็แกะออกยาก ถ้าป้าบอกว่าคนไม่ดี พวกเราก็ค่อยรับสมัครคนใหม่ แต่แบบนั้นก็ต้องใช้เวลาหน่อย"
หมี่หลันหยางกับคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย ใช่แล้ว การรับสมัครคนก็ต้องมี่เวลาสังเกตการณ์ ไม่อย่างนั้นแค่พูดคุยกันไม่กี่คำก็ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ แต่สิ่งที่พวกเขาขาดแคลนที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา เหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่าๆ ก็จะเปิดเทอมแล้ว
"งั้นก็เอาตามนี้ก่อน เดี๋ยวตอนเย็นฉันถามคุณป้าดูก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้พวกพี่ก็เตรียมตัวเื่ตกแต่งร้านให้พร้อม คุณป้าจะช่วยหาช่างให้ ส่วนฉัน พรุ่งนี้จะเริ่มออกไปเดินเล่นในเมือง ต้องหาร้านให้เจอโดยเร็วที่สุด การที่โรงงานจะส่งเสื้อผ้าให้เราครั้งสองครั้งก็ยังพอไหว ถ้ามากกว่านั้น พวกเขาก็คงจะส่งให้ไม่ทัน เราต้องพึ่งตัวเอง"
พอได้ยินว่าหลันเยว่จะไปเดินเล่นในปักกิ่งเอง พวกเด็กหนุ่มทั้งสี่คนจะยอมได้ยังไง ไม่ต้องพูดถึงเื่ที่พวกเขาไม่วางใจหลันเยว่ไปคนเดียว แค่การได้ไปเดินเล่นในเมืองปักกิ่งก็เป็สิ่งที่เย้ายวนใจพวกเขาอย่างมากแล้ว ที่นี่คือปักกิ่งนะ ั้แ่มาถึงที่นี่ ยังไม่ได้ไปเดินเล่นอย่างจริงจังเลย
"หลันเยว่ พวกเราต้องไปด้วยกัน ไปเดินเล่นในปักกิ่งน่ะ พวกเราไม่ได้อยากไปทำอะไรอย่างอื่นหรอกนะ แค่ไปเดินดูตลาดวัสดุอุปกรณ์ตกแต่งในปักกิ่งก็ต้องไปแล้ว พวกเราต้องทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ต่างๆ จะได้ไม่ถูกหลอก"
หลังจากการปรึกษาหารืออย่างตื่นเต้น ทั้งห้าคนก็ตัดสินใจที่จะออกไปเดินเล่นในเมืองปักกิ่งด้วยกัน
