ขณะชาวบ้านก้าวขึ้นหน้าและจะลงมือ เมิ่งต้ากับภรรยาก็เข้ามาขัดขวาง
นางเย่กล่าว "พวกเ้ามีสิทธิ์อันใดถึงกล่าวว่าเป็เจียนเจียทำ! พวกเ้าเห็นกับตาตนเองหรือไม่!"
สีหน้าของเมิ่งเจียนเจียซีดเผือด นางตัวสั่นเทาด้วยความกริ่งเกรง พร้อมกล่าวทั้งน้ำตา “มิใช่ข้า มิใช่ข้าจริงๆ ทุกท่านโปรดเชื่อข้าด้วย... ข้าไม่รู้เื่นี้จริงๆ ข้ายังถามซวี่ซวีเลยว่ายาหายไปที่ใด ซวี่ซวีก็บอกว่านางไม่รู้...”
ชาวบ้านสั่ง "ไปเรียกเมิ่งซวี่ซวีออกมา!"
เมิ่งซวี่ซวีมิอาจหลบซ่อนอยู่ในห้องได้อีก นางเย่กับนางเหอก็ขัดขวางไม่สำเร็จ เพราะสตรีชาวบ้านหลายคนเบียดเสียดเข้าไปในห้อง แล้วลากตัวเมิ่งซวี่ซวีออกมา
เวลานี้เมิ่งซวี่ซวีตัวสั่นเทิ้ม ตื่นตระหนกสุดขีด ใบหน้าเปี่ยมด้วยความหวาดผวา เห็นได้ชัดว่ามีพิรุธ
เมิ่งเจียนเจียกล่าวทั้งน้ำตา “ซวี่ซวี เ้ารีบบอกพวกเขาเร็วเข้าว่ายาเบื่อหนูหายไปที่ใด?”
คำพูดนี้เปรียบเสมือนผลักความสงสัยและความกดดันทั้งหมดไปไว้ที่เมิ่งซวี่ซวี
เมิ่งซวี่ซวีเพียงกล่าวเสียงสั่น “มิใช่ข้า… มิใช่ข้า…”
มองแบบนี้ดูคล้ายนางร้อนตัวมาก
ทันใดนั้นก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ย “อ้อ ข้านึกออกแล้ว! ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งเดินผ่านขณะออกไปทำงานในทุ่ง เห็นเมิ่งซวี่ซวีอยู่ข้างบ่อน้ำ”
ชาวบ้านคนนั้นกล่าวต่อ “เวลานั้นมารดาของเมิ่งอู่กำลังตักน้ำอยู่ข้างบ่อน้ำ หลังมารดาของเมิ่งอู่ตักน้ำกลับไปแล้ว ได้ยินว่านางต้มชาคลายร้อน พอดื่มเข้าไปก็ไม่ดีแล้ว! ต้องเป็ฝีมือของเมิ่งซวี่ซวีแน่ๆ นอกจากนางแล้วยังจะมีผู้ใดอีกเล่า!”
ภายในหมู่บ้านโกลาหลวุ่นวาย ทุกคนร่วมใจกันมัดตัวเมิ่งซวี่ซวีเพื่อนำไปลงโทษ เมิ่งต้ากับภรรยา และนางเหอไล่ตามไปตลอดทาง เริ่มแรกได้แต่ผรุสวาทไม่หยุดปาก ต่อมาก็ร้องไห้โวยวายเสียงดังไปทั่ว
เสียงอึกทึกและเสียงโวยวายอย่างโกรธแค้นของผู้คนด้านนอก ตรงข้ามกับความเงียบสงบภายในเรือนของเมิ่งอู่อย่างชัดเจน
เมิ่งอู่ป้อนโจ๊กให้นางเซี่ยอยู่ในห้อง
เป็ซวี่เฉินฟางทำอาหารมื้อเที่ยง อินเหิงชิมน้ำแกงผักที่เขาต้ม ก่อนวิจารณ์ว่า “เค็มไปหน่อย”
ซวี่เฉินฟางเองก็กำลังกินเช่นกัน เขากล่าวว่า “หากมีปัญหาก็อย่ากิน”
อินเหิงกินอย่างสบายอกสบายใจ ก่อนกล่าวว่า “ข้าขอแนะนำว่าครั้งหน้าเ้าสมควรใส่เกลือให้น้อยลงหน่อย”
ซวี่เฉินฟางเลิกคิ้ว “เ้าน่าจะแนะนำตนเองว่าอย่ายุ่งเื่ของผู้อื่นมากขนาดนั้นเช่นกัน”
เสียงอึกทึกครึกโครมดังผ่านหน้าประตูเรือน ทั้งสองคนต่อปากต่อคำกันราวกับไม่ได้ยินเสียงใด ดูคล้ายไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
ต่อมาก็มีชาวบ้านคนหนึ่งมาเคาะประตู ซวี่เฉินฟางจึงเดินไปเปิดประตู ชาวบ้านคนนั้นกล่าวว่า “บ่ายนี้จะลงทัณฑ์เมิ่งซวี่ซวีคนร้ายวางยาพิษแล้ว พวกเ้าจะไปดูหรือไม่?”
ซวี่เฉินฟางยกริมฝีปากแย้มยิ้มกล่าว “ดีแล้วที่จับตัวคนร้ายตัวจริงได้ บ่ายนี้พวกเราจะไปดูเอง ขอบคุณเ้ามากที่ตั้งใจมาบอกพวกเรา”
รอยยิ้มอันเป็เอกลักษณ์ของเขามีเพียงไม่กี่คนที่ต้านทานได้ แม้แต่ชาวบ้านที่มาแจ้งข่าวสารก็ยังอดอิ่มเอมใจไปกับรอยยิ้มของซวี่เฉินฟางอยู่บ้างไม่ได้
ยามที่เมิ่งอู่ออกมาจากห้องของนางเซี่ย ก็พอดีเห็นชาวบ้านคนนั้นยิ้มขัดเขินก่อนวิ่งหนีไป
จากนั้นซวี่เฉินฟางก็ยื่นชามน้ำแกงผักให้เมิ่งอู่ ทั้งสามคนนั่งยองกินใต้ชายคาเรือนด้วยกัน
เมิ่งอู่ถาม “เมื่อครู่เขามาทำอันใด?” นางหมายถึงชาวบ้านคนนั้น
ซวี่เฉินฟางมัวแต่ซดน้ำแกง อินเหิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “บอกว่าจับคนร้ายที่วางยาพิษได้แล้ว”
เมิ่งอู่เงยหน้าจากชามแล้วหรี่ตา “อ้อ แล้วอย่างไรต่อ?”
ซวี่เฉินฟางกล่าว “เชิญพวกเราไปดูพิธีลงทัณฑ์ตอนบ่าย”
เมิ่งอู่กล่าว “ข้ายังไม่ทันไปคิดบัญชีกับนาง นางกลับเล่นกับไฟจนตนเองถูกไฟเผาเสียแล้วรึ?”
ซวี่เฉินฟางหรี่ตาเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “นี่อาจเป็สิ่งที่เ้าเรียกว่าเวรกรรมมีจริง ทำชั่วได้ชั่ว ล้วนเป็เจตจำนงของ์”
เมิ่งอู่มองซวี่เฉินฟาง จากนั้นค่อยมองอินเหิง ถามว่า “ใช่หรือ”
อินเหิงวางชามและตะเกียบลง เช็ดมุมปากแล้วถาม “บ่ายนี้อาอู่จะไปดูหรือไม่?”
เมิ่งอู่กล่าว “หากข้าไม่ไปดู ไม่ใช่ว่าผิดต่อเจตจำนงของ์หรือ” นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนหันไปมองชายหนุ่มทั้งสองคน กล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนดื่มน้ำจากบ่อน้ำเดียวกันแล้วเกิดอาการเป็พิษ ชาวบ้านคนอื่นๆ มีอาการไม่รุนแรง พักผ่อนสองสามวันก็หายดี ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่ท่านแม่ข้ากับซวี่เฉินฟางเกือบเอาชีวิตไม่รอด เหตุใดถึงแตกต่างกันมากขนาดนี้ เจตจำนงของ์มองเื่นี้อย่างไร?”
สองคนในเรือนของนางกับชาวบ้านคนอื่นๆ ไม่ได้รับพิษภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน ในเมื่อนางสังเกตเห็นเื่นี้ ย่อมต้องมีผู้อื่นสังเกตเห็นเช่นกัน
ซวี่เฉินฟางใช้ปลายตะเกียบเคาะหน้าผากของเมิ่งอู่เบาๆ นิ้วมือของเขาขาวผ่องดุจหยก งดงามเหลือหลาย เขายิ้มละไมก่อนกล่าว “เจตจำนงของ์หรือจะให้มนุษย์ปุถุชนเช่นพวกเราคาดเดาออก”
พอตกบ่าย แดดยังคงร้อนแผดเผา
หมู่บ้านซุ่ยถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่สงบสุข
เมิ่งซวี่ซวีถูกมัดติดกับเสาไม้ ตากแดดั้แ่เที่ยง ร่างกายอ่อนแรง ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง
ชาวบ้านต่างพากันมามุงดู และหารือกันว่าจะลงโทษนางอย่างไร
บังอาจวางยาพิษคนทั้งหมู่บ้าน ช่างใจดำอำมหิต บาปหนายิ่งนัก ดังนั้นจึงมีคนเสนอให้จับนางถ่วงน้ำ ชาวบ้านบางคนคิดว่าการลงโทษเช่นนี้เบาเกินไป จึงเสนอให้เผาทั้งเป็ ในสภาพอากาศร้อนอบอ้าวเยี่ยงนี้ การถูกเผาทั้งเป็ถึงจะสาสม
เมิ่งซวี่ซวีหวาดหวั่นสุดขีด ไม่ว่าชาวบ้านจะหารือกันอย่างไร ไม่มีผู้ใดคิดจะปล่อยนางไปแม้แต่คนเดียว
ต่อมาผู้ที่มามุงดูเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าเมิ่งต้ากับภรรยามิอาจทนดูบุตรสาวถูกเผาทั้งเป็ได้ พวกเขาวิ่งเข้าไปจะช่วยเมิ่งซวี่ซวี แต่ถูกชาวบ้านล้อมเอาไว้
เมิ่งซวี่ซวีเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ร้องจนน้ำตาแห้งเหือด ได้แต่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง
นางเย่ดิ้นรนพร้อมกล่าว “ปล่อยข้า! นางยังเด็ก! พวกเ้าช่างใจร้ายนัก!”
“นางวางยาพิษทำร้ายผู้อื่น ยังเรียกว่าเด็กอีกหรือ? ผู้ใดบอกเ้าว่าเด็กสามารถทำอันใดก็ได้ เมื่อทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษรึ?”
เสียงเรียบเฉยดังขึ้นทางด้านหลังฝูงชน
ทุกคนต่างหลีกทางให้ เห็นเพียงเมิ่งอู่ค่อยๆ เดินเข้ามา
เมิ่งอู่มองครอบครัวของเมิ่งต้าด้วยสายตาเ็า กล่าวว่า “เลี้ยงดูบุตรไม่ดีย่อมเป็ความผิดของบิดามารดา หากพวกเ้าคิดว่านางยังเด็ก ก็สมควรให้คนเป็พ่อเป็แม่รับโทษแทน”
นางเย่โกรธจัด ร้องไห้ฟูมฟาย “ผู้ใดสั่งสอนให้เ้าพูดจาอวดดีเช่นนี้! นางเป็น้องสาวของเ้านะ!”
นางเย่หมายจะกระโจนเข้าไปฉีกทึ้งเมิ่งอู่ แต่น่าเสียดายที่นางไม่สมหวัง ด้วยชาวบ้านหยุดนางเอาไว้
เมิ่งอู่ยิ้มกล่าว “ข้าไม่้าน้องสาวที่คิดจะฆ่าคนในครอบครัวของข้าหรอก”
ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ย “เมิ่งอู่ ครั้งนี้คนในครอบครัวของเ้าได้รับพิษรุนแรงที่สุด เ้าว่าสมควรลงโทษเมิ่งซวี่ซวีอย่างไร”
เมิ่งอู่หันไปมองเมิ่งซวี่ซวีที่ถูกมัด ั์ตาคู่งามมืดมน ไร้ประกาย ความเย็นะเืแผ่ซ่านไปทั่ว จากนั้นนางก็ค่อยๆ ยกมุมปากเผยรอยยิ้มชั่วร้ายระคนไร้เดียงสา ก่อนกล่าวว่า “ย่อมต้องตีนางจนตาย”
เมิ่งซวี่ซวีเบิกตากว้าง ชั่วขณะนั้นราวกับนางถูกตัดสินปะาชีวิต
ครอบครัวเมิ่งต้ายังคงะโสาปแช่งไม่หยุด พยายามอย่างยิ่งที่จะขัดขวาง
ชาวบ้านหยิบไม้หนาๆ ออกมา หากพวกเขายังกล้าเข้ามาขวาง ก็จะถูกตีไปด้วย พวกเขาจึงหยุดชะงัก
หลังจากนั้นเมิ่งซวี่ซวีก็ถูกลากและกดลงกับพื้น ชาวบ้านควงไม้หนาๆ ขึ้นฟาดเอว แผ่นหลัง และบั้นท้ายของนางอย่างแรง
พอไม้ท่อนนั้นฟาดลงไป เมิ่งซวี่ซวีก็กรีดร้อง สุดท้ายก็ถูกความเ็ปแสนสาหัสดึงกลับมาสู่ความเป็จริง