เสี่ยวเฉียวเยว่ยิ้มเคลิบเคลิ้มลูบคลำแหวนน้าวหยกด้วยความหลงใหล ส่วนต่อมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางเองก็จำไม่ได้แล้ว
นางลูบคลำแหวนน้าวหยกวงนี้อยู่ครึ่งคืน หากไม่ใช่เพราะต้านทานความเหนื่อยล้าของร่างกายไม่ไหว นางก็ไม่อยากจะนอนเลย
ก่อนเข้านอน นางชำเลืองมองทางโน้นทีทางนี้ที ฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสังเกต ลอบเอาแหวนน้าวหยกซ่อนไว้ใต้หมอนหนุนใบน้อย แล้วหลับปุ๋ยอย่างสบายใจเฉิบ
ความรู้สึกชั่วพริบตานั้นราวกับตนเองได้ทั้งโลกเลยเชียวล่ะ!
หลังจากนางหลับแล้ว ไท่ไท่สามก็คุยกับซูซานหลางอย่างพูดไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก "อันที่จริงข้าก็พอรู้ว่าบุตรคนนี้ชอบของมีประกายแวววาวอย่างพวกเครื่องประดับ เดิมทีนึกว่าเป็เพียงความบังเอิญ แต่ดูจากตอนนี้ท่าจะไม่ใช่ ท่านไม่เห็นตอนนางทำน้ำลายหกเต็มตัววันนี้ ช่างน่าโมโหและน่าขบขันเสียจริงๆ"
ซูซานหลางสุขุมเยือกเย็น เขาตบๆ เสี่ยวเฉียวเยว่ที่หลับไปแล้ว พลางเอ่ยว่า "เด็กผู้หญิงชอบเครื่องประดับเป็เื่ธรรมดา" เขาเลื่อนนิ้วคลำไปตามขอบของผ้าห่ม แต่ไม่พบแหวนน้าวหยก ก็เลิกคิ้วกล่าวว่า "เ้าหาดูซิ ลูกยังเล็ก อย่าให้นางเผลอกลืนเข้าไปเชียว"
ไท่ไท่สามพยักหน้า นางอุ้มบุตรตัวน้อยขึ้นมาอย่างอ่อนโยน หาไปก็พูดไป "พรุ่งนี้ไปจวนสกุลิ่ ท่านอย่าโอ้อวดเกินไปนัก อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ไม่มีผิดพลาด"
สามีของนางอะไรก็ล้วนดีไปหมด เสียแต่ว่าชอบโอ้อวดว่าไม่มีผู้ใดเทียบเทียมเขาได้ แม้แต่ยายหนูน้อยอิ้งเยว่ก็ถอดแบบบิดามาเต็มสิบส่วน
หวังเพียงว่าเด็กน้อยสองคนนี้อย่าได้ติดนิสัยเสียมาจากบิดาเขาอีกคนเลย
เอาชีวิตกันไปเลยดีกว่า!
ซูซานหลางเลิกคิ้ว สีหน้าแฝงไปด้วยความมั่นใจหลายส่วน "ข้าโอ้อวดตรงไหน เพียงแค่พูดไปตามความจริงทั้งนั้น จะปล่อยให้พวกเขาพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนโดยไม่แก้ไขให้ถูกต้องได้อย่างไร นั่นไม่ใช่วิสัยของผู้เสาะแสวงหาความรู้"
การเล่นสำบัดสำนวนแบบนี้ ไท่ไท่สามไหนเลยจะเชื่อ พวกเขาเป็สามีภรรยากันมากี่ปีแล้ว นางดึงชายเสื้อของซูซานหลางแล้วเอ่ยว่า "ข้ายังไม่นำพา ท่านจะถือสาไปไย ท่านอย่าทำตัวโดดเด่นเกินไปจะดีกว่า อย่างไรเสียก็ไปเป็แขกที่จวนของผู้อื่น อีกอย่างปีนั้นพี่ใหญ่ิ่ยอมวางมือ ข้าก็รู้สึกขอบคุณเขามากแล้ว"
แม้ว่าเื่ราวตอนนั้นจะไม่สามารถอธิบายในแง่ของความถูกผิดได้ แต่ไท่ไท่สามก็ยอมรับในน้ำใจของแม่ทัพิ่
ผู้าุโฉีบิดาของไท่ไท่สามเป็บุคคลมีชื่อเสียงของต้าฉี ทั้งยังเป็พระอาจารย์ผู้ทรงเกียรติของฮ่องเต้ ส่วนเขาซูจิ้งหรั่นบุตรชายคนที่สามของสกุลซูก็เป็สหายร่วมเรียนของพระองค์ในตอนนั้น จึงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับฮ่องเต้
ไท่ไท่สามฉีอิ่งซินเป็บุตรสาวเพียงคนเดียวของผู้าุโฉี และมีสัญญาหมั้นหมายกับิ่หวายบุตรชายคนโตของแม่ทัพผู้เฒ่าิ่ เพียงแต่ก่อนวันแต่งงาน แม่ทัพผู้เฒ่าพาบุตรชายไปออกศึก และิ่หวายก็เสียชีวิตในสนามรบ
ตอนนั้นฮ่องเต้ยังเรียกฉีอิ่งซินว่าศิษย์น้องหญิง และทรงทราบความคิดของซูจิ้งหรั่น ด้วยเหตุนี้จึงพระราชทานสมรสให้พวกเขาสองคนโดยไม่คำนึงว่าศพของิ่หวายยังไม่ทันเย็นด้วยซ้ำ
ควรรู้ไว้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่าิ่หาใช่ใครอื่น นางเป็พระปิตุจฉาแท้ๆ ของฝ่าา มีอิสริยยศเป็จ่างกงจู่ [1] องค์ปัจจุบัน
หากพูดอย่างไม่น่าฟัง การพระราชทานสมรสของฝ่าาในตอนนั้นเทียบเท่ากับการยกภรรยาซึ่งยังไม่ได้แต่งงานของญาติผู้น้องของพระองค์ให้กับผู้อื่น
เพียงแต่์มักเล่นตลกกับมนุษย์ วันที่ซูซานหลางกับฉีอิ่งซินแต่งงานกัน ิ่หวายก็กลับมา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังยอมเป็ฝ่ายวางมืออีกด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าซูซานหลางหรือฉีอิ่งซิน พวกเขาล้วนติดค้างน้ำใจของิ่หวาย
ไม่นานหลังจากนั้นิ่หวายก็ต้องเดินทางไปชายแดนอีกหน ยิ่งหลังจากแม่ทัพผู้เฒ่าิ่จากโลกนี้ไป ภาระอันหนักหน่วงที่ชายแดนก็ตกอยู่ในความรับผิดชอบของเขา แล้วเขาก็ไม่ได้กลับมาเลยตลอดเจ็ดปี แม้แต่แต่งงานก็ยังต้องแต่งที่ชายแดน
ซูซานหลางตบมือปลอบประโลมไท่ไท่สาม เขาอมยิ้มพลางเอ่ยว่า "เ้าวางใจได้ ข้าจะไม่ออกไปก่อเื่ข้างนอก ยิ่งไม่สร้างปัญหาให้พี่ิ่หวาย แต่เ้ายังหาแหวนน้าวหยกไม่เจอใช่หรือไม่?"
ไท่ไท่สามถอนหายใจ "ก็หาไม่เจอน่ะสิ ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เอาไปยัดใส่ที่ไหน แต่ไม่เห็นว่าตกพื้นเลยนะ เมื่อครู่ข้ายังเห็นนางเล่นอยู่เลย"
ซูซานหลางทำท่าทางบอกให้นางอุ้มบุตรออกไปไกลหน่อย ก็เห็นแม่หนูน้อยยกมือยกไม้วุ่นวาย เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ "บุตรสาวของเราคนนี้โตไปไม่รู้ว่าจะซุกซนแค่ไหน"
เขารื้อค้นไปมา จนในที่สุดก็หาพบ แต่ถึงจะเจอแหวนน้าวหยกแล้ว เขากลับยังรู้สึกละเหี่ยใจอยู่หลายส่วน "นางถึงกับเอาไปยัดไว้ใต้หมอนหนุน ช่างรู้จักหาที่ซ่อนจริงๆ"
ไท่ไท่สามกลอกตาใส่เขา "เหมือนท่านนั่นแหละ"
ซูซานหลางทำหน้าซื่อแฝงด้วยรอยยิ้ม ค่อยๆ เอ่ยว่า "แล้วไม่เหมือนเ้าหรือ? ตอนเด็กๆ เ้าหยิบก้อนหินปาใส่ข้า ตอนนี้หน้าผากยังมีรอยอยู่เลย ก็ด้วยเหตุนี้มิใช่หรือ เ้าถึงต้องใช้ทั้งชีวิตคืนให้ข้า"
ไท่ไท่สามถูกเขาพูดเสียจนหน้าแดงก่ำ "ไปตรงโน้นเลย พูดเพ้อเจ้ออีกแล้ว"
ซูซานหลางกุมมือภรรยา แล้วกระซิบข้างหู "พวกเรากลับห้องกัน?"
ไท่ไท่สามหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม "ท่านสำรวมหน่อย..."
...
เสี่ยวเฉียวเยว่งอแงอาละวาด ฟาดงวงฟาดงาไม่ยอมสวมเสื้อผ้า ดวงหน้าน้อยกลมป่องเห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธจัด
ไท่ไท่สามรีบร้อนจะออกจากบ้าน เห็นนางไม่ยอมเชื่อฟังก็จิ้มไปที่จมูกน้อยๆ ของนางพร้อมกับเอ่ยว่า "เ้าจะก่อเื่ตอนนี้ให้ได้เลยใช่หรือไม่ นึกว่าข้าจะไม่ตีก้นของเ้าหรือ"
เสี่ยวเฉียวเยว่ยกมือน้อยๆ ประท้วงไม่หยุด ปากเล็กจ้อยก็ร้องอ้อๆ แอ้ๆ ราวกับ้าคำชี้แจงอย่างละเอียด
"หากไม่ออกตอนนี้ก็จะสายแล้ว เ้าทำตัวให้ดีๆ หน่อย มิเช่นนั้นจะถูกตีก้นเพียะๆ" ไท่ไท่สามดุ
"อุ แง้!"
เสี่ยวเฉียวเยว่น้อยโมโหร้องไห้ นางไม่ได้สนใจเื่เ่าั้สักหน่อย นางเป็ทารกน้อย สามารถบ้าบิ่นได้โดยไร้ความกลัวเกรง ทว่าั้แ่ที่กลายมาเป็ทารก ไม่รู้ทำไมนางถึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
นางไม่ได้อยากก่อเื่ แค่้าแหวนน้าวหยกของตนเองกลับคืนมาเท่านั้นเอง
ท่านย่าให้แหวนน้าวหยกแก่นางชัดๆ แต่กลับถูกสองสามีภรรยาขี้ขโมยแย่งชิงไป นอกจากพวกเขาก็ไม่มีทางเป็คนอื่นแล้ว เสียแรงที่นางอุตส่าห์เอาไปซ่อนอย่างดี
ฮือๆ แย่มาก!
นั่นของของนางนะ ของนาง!
เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้ หัวใจของหลันหมัวมัวก็ละลายไปหมด รีบอุ้มนางขึ้นมาปลอบขวัญ พะเน้าพะนอ ทั้งยังตำหนิไท่ไท่สามเล็กน้อย "ไยไท่ไท่ต้องทำให้เด็กเสียขวัญเช่นนี้ นางยังเล็ก ดื้อสักหน่อยจะเป็อันใดไป"
ไท่ไท่สามอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา "หมัวมัวก็ชอบให้ท้ายนางเยี่ยงนี้ นางถึงยิ่งไม่รู้จักขอบเขต หนักข้อขึ้นทุกวัน"
"เช่นนั้นท่านด่าแล้วนางรู้เื่หรือไม่"
นี่ก็จริง
ไท่ไท่สามถอนหายใจ มองเสี่ยวฉีอันซึ่งสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นั่งปรบมือน้อยๆ มองพี่สาวฝาแฝดของตนเองร้องไห้งอแง "ดูเขาสิ อย่างกับนั่งชมทิวทัศน์อยู่เลย"
เสี่ยวอิ้งเยว่ทนไม่ได้ หัวเราะพรืดออกมา นางเดินเข้าไปจับมือของเสี่ยวเฉียวเยว่ แล้วพูดปลอบว่า "เฉียวเยว่ไม่ร้องนะ พี่สาวอยู่นี่"
แท้จริงแล้วเสี่ยวเฉียวเยว่ไม่ได้อยากร้อง แต่นางพูดไม่ได้ ซ้ำยังถูกข่มขู่ นอกจากร้องไห้แล้ว ยังทำสิ่งใดได้อีกหรือ!
แหวนน้าวหยกเป็ของนาง!
เสี่ยวอิ้งเยว่หันไปถามทันควัน "ท่านแม่ แหวนหยกที่น้องสาวเล่นอยู่เมื่อวานเล่า?"
เสี่ยวเฉียวเยว่หยุดร้องทันควัน เบิกตากว้างจ้องเขม็งมาที่พี่สาว
นางขอกราบคารวะงามๆ พี่สาวของนางคงไม่ได้มีวิชาอ่านใจใช่หรือไม่
ความรู้สึกนี้ช่างซับซ้อน!
เสี่ยวเฉียวเยว่หยุดร้องไห้ฉับพลัน น้ำตาหยาดโตๆ ยังคงเปื้อนอยู่บนใบหน้า ทั้งน่ารักและน่าขบขันจริงๆ
เมื่อเห็นนางแสดงท่าทีชัดเจนเยี่ยงนี้ ไท่ไท่สามก็รีบสั่งให้คนไปหยิบแหวนน้าวหยกวงนั้นมา แล้วชูตรงหน้าหน้านาง "เ้าอยากได้อันนี้ใช่หรือไม่?"
เด็กน้อยกลืนน้ำลาย ดวงตาสุกใสเปล่งประกายออกมา
ไท่ไท่สาม "..."
เนื่องจากเ้าตัวน้อยประพฤติตัวไม่น่ารัก หลังจากไท่ไท่สามเอาแหวนคล้องกับสร้อยแล้วสวมคอให้นางแล้ว ก็ขู่ว่า "เ้าทำตัวดีๆ เชื่อฟัง มิเช่นนั้นกลับมาแม่จะตีเ้า"
เสี่ยวเฉียวเยว่พลันเศร้าใจ หม่าม้าของตนเป็ผู้ใหญ่ชอบตีเด็ก ทำไงดี!
แต่พอได้แหวนน้าวหยกของตนคืนมาแล้ว นางก็ทำตัวดีขึ้น
การแสดงออกที่ชัดเจนแบบนี้ชวนให้คนละเลยไม่ได้ หลันหมัวมัวกล่าวว่า "คุณหนูเจ็ดหัวไวเฉลียวฉลาด ไม่เหมือนเด็กทั่วไปแม้แต่น้อย"
ไท่ไท่สามกลอกตาใส่เสี่ยวเฉียวเยว่ ยังรู้สึกคับข้องใจอยู่ "ไม่เหมือนตรงไหน? เื่ร้องไห้ งอแง หรือฉี่รดที่นอน นางล้วนทำเป็ทั้งนั้น อ้อ หากว่าจะมีที่แตกต่าง ก็คงจะเป็ก่อเื่เก่งเป็พิเศษกระมัง?"
เสี่ยวเฉียวเยว่รู้สึกเหมือนถูกร้อยศรยิงทะลุหัวใจ
นางถูกรังเกียจแล้ว นางซึ่งเป็ผู้ใหญ่กลับมาอยู่ในร่างของเด็กทารกถึงกับถูกคนรังเกียจ
ฮือๆ หมดกันความภาคภูมิใจในตนเอง!
กว่าจะมีการตอบสนองอีกครั้งก็อยู่บนรถม้าแล้ว นี่เป็การขึ้นรถม้าครั้งแรกของนาง จึงรู้สึกตื่นเต้นมาก รถม้าโบราณจะเหมือนกับรถยนต์ในปัจจุบันหรือไม่นะ?
หากอ้างอิงตามฐานะของครอบครัว รถม้าคันนี้คงเทียบเท่าได้กับรถปอร์เช่กระมัง?
คิกๆ ข้ามภพมาเป็เด็กทารกของตระกูลสูงศักดิ์ก็แตกต่างอย่างนี้ล่ะ!
รถม้าไม่เล็ก นอกจากไท่ไท่สามกับหลันหมัวมัวแล้ว ยังมีสาวใช้อีกสองคน พวกนางต่างอุ้มซาลาเปาน้อยคนละคน และยังมีเสี่ยวอิ้งเยว่พี่สาวของพวกเขานั่งเรียบร้อยอยู่ด้านข้างอีกคน
ผู้ใหญ่สี่คนกับเด็กน้อยสามคนยังไม่รู้สึกว่าแออัดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ารถม้าใหญ่มากจริงๆ
สีฟ้าสดใสทำให้คนรู้สึกกระฉับกระเฉง ดวงตากลมโตของเฉียวเยว่กลิ้งหลุกหลิกมองไปรอบด้าน เด็กน้อยขยับยุกยิกอยู่ไม่สุขตลอดเวลา ทำเอาไท่ไท่สามระอาใจอย่างมาก จนอดบ่นไม่ได้ว่า "ปรกติที่ดูเฉลียวฉลาดน่ารักล้วนเสแสร้ง พอมานอกบ้านก็ออกลายเลย"
ในขณะที่คนน้องชายหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้ คนพี่สาวกลับชูคอน้อยๆ ขึ้นมา ดวงหน้าน้อยน่ารักสดใสเริงร่า
ไท่ไท่สามรับนางมาแล้วตบเบาๆ สองที "นอนซะนะ เด็กดี"
เสี่ยวเฉียวเยว่ไหนเลยจะยอม นี่เป็ครั้งแรกของนางที่ได้ออกนอกบ้าน จะหลับได้อย่างไร
ทว่า... ถูกตบๆ แบบนี้ก็สบายดียิ่งนัก
แย่แล้วสิ หนังตาเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว
"หนูน้อยแสนดี หลับนอนเสีย กินข้าวเยอะๆ ตัวจะได้สูงๆ" ไท่ไท่สามฮัมเพลงกล่อมเด็ก น้ำเสียงอ่อนโยนของนางให้ความรู้สึกสงบยิ่งนัก
เสี่ยวเฉียวเยว่รู้สึกว่าหนังตาของตนเองหนักขึ้นเรื่อยๆ จะหลับไม่ได้!
แต่ว่าสบายจังเลย ชักอยากจะหลับแล้วสิ...
เห็นนางพยายามแข็งขืนจนกระทั่งตาค่อยๆ ปิด แล้วกรนเสียงคร่อกฟี้ในที่สุด ไท่ไท่สามก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "ยายหนูคนนี้ช่างเหมือนซานหลางจริงๆ"
หลันหมัวมัวยิ้มแล้วเอ่ยว่า "ไท่ไท่ชอบว่านายท่านสามอยู่เรื่อย ชีเจี่ยเอ๋อร์เหมือนท่านชัดๆ "
"น้องสาวเหมือนข้าที่สุด" เสี่ยวอิ้งเยว่จับมือน้อยๆ ของเฉียวเยว่ "ข้าชอบน้องสาวที่สุดด้วย"
"แว้..." จู่ๆ เสี่ยวฉีอันที่หลับอยู่ก็ร้องไห้ออกมา
สาวใช้รีบเขย่าเบาๆ เขาสะอึกสะอื้นอยู่ครู่หนึ่งก็หลับต่อ
ไท่ไท่สามเอ่ยว่า "คนหนึ่งเป็น้องชายของเ้า อีกคนเป็น้องสาวของเ้า ไม่อาจลำเอียงรักคนโน้นมากกว่าคนนี้ได้"
อิ้งเยว่เอื้อมมือไปจับอีกคน "ข้าชอบพวกเขาทั้งคู่"
...
[1] จ่างกงจู่ คือบรรดาศักดิ์เชื้อพระวงศ์หญิงลำดับสูงสุด ซึ่งปรกติแล้วเป็บรรดาศักดิ์ที่พระราชทานให้พระปิตุจฉา (ป้าหรืออา) หรือพระขนิษฐภคินี (พี่สาวหรือน้องสาว) ของฮ่องเต้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้