ฆ่ากวาง ถลกหนัง ตัดเขากวาง ภายในลมหายใจเดียวหวังซื่อก็ทำสำเร็จได้ด้วยความช่ำชองและคุ้นเคย
กวางป่าในป่าเขาเป็เหยื่อที่นายพรานโปรดปราน นิสัยไม่ดุร้ายแต่ราคาขายกลับค่อนข้างสูง เพียงเพราะกวางป่านิสัยระมัดระวังตัวมาก และยังวิ่งหนีได้รวดเร็วนัก คิดจะจับให้ได้หนึ่งตัวไม่ใช่เื่ง่าย
ตลอดทั้งปีของสกุลหวัง หากสามารถจับได้หนึ่งหรือสองตัวก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เขากวางเป็วัตถุดิบยาสมุนไพรจีน สามารถขายให้ร้านขายสมุนไพรได้ ส่วนหนังกวางเมื่อผ่านขั้นตอนการแช่แล้ว สามารถขายให้ร้านแปรรูปเสื้อผ้าหรือเก็บไว้เย็บเสื้อผ้าและเย็บเป็รองเท้าหนังให้ตนเองได้
เนื้อััของเนื้อกวางละเอียดและอ่อนนุ่ม รสชาติสดอร่อย ยิ่งไปกว่านั้นมีสรรพคุณที่เป็ประโยชน์บำรุงไต ได้รับความชื่นชอบจากครอบครัวร่ำรวยอย่างมาก กวางหนึ่งตัวขายไปถึงโรงเตี๊ยม อย่างน้อยสามารถขายได้ห้าเหลียงเลยทีเดียว
ห้าเหลียง... เกือบเท่ารายได้ของครอบครัวชาวนาในหนึ่งปีเลย
เดิมหวังซื่อคิดจะนำกวางไปขายในเมือง ถึงอย่างไรจำนวนเงินห้าเหลียงก็ไม่นับว่าเป็จำนวนน้อย
แต่ไม่คาดคิดว่าหลานสาวจะโบกมือ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าคนชรา เด็ก คนเจ็บป่วยและคนอ่อนแอที่บ้าน ล้วนจำเป็ต้องบำรุงร่างกายด้วยสิ่งเหล่านี้ ตัดเนื้อกวางเสร็จสามารถแบ่งให้ทุกคนล้วนบำรุงร่างกายได้พอดี
หวังซื่อไม่มีทางเลี่ยง จึงทำตามความคิดเห็นของนาง นำกวางมาเชือดและตัดแบ่งทั้งหมด
สิ่งที่กำจัดออกไป ได้แก่ อวัยวะภายใน หนังที่มีขนติดอยู่ หัวกวางและหางกวาง... เนื้อกวางไม่นับว่ามาก คนสองครอบครัวไม่น้อยเลย เมื่อแบ่งออกครึ่งหนึ่งแล้วปริมาณจึงน้อยลงไปพอสมควร
“ท่านย่า นำเนื้อกวางไปให้ท่านอาหงยู่สักสองชั่งเถอะ นางร่างกายอ่อนแอ จะได้บำรุงได้พอดี แล้วยังมีกีบกับกระดูกเหล่านี้ เอาไปด้วยทั้งหมดเลยนะเ้าคะ” เจินจูเก็บกระดูกบนเขียงมากกว่าครึ่งใส่ในตะกร้าไผ่สานของหวังซื่อ “ท่านลุงได้รับาเ็ภายใน ต้องบำรุงมากหน่อยเช่นกันเ้าค่ะ”
“มากพอแล้ว พวกเ้าเก็บไว้ให้ตัวเองมากหน่อย อาจารย์ฟางผู้นั้นไม่ใช่ว่ากำลังพักรักษาอาการาเ็อยู่หรือ เคี่ยวน้ำแกงกระดูกกวางมากหน่อย ให้พวกเขาได้ทานรักษาอาการาเ็ด้วย” หวังซื่อหยิบกระดูกชิ้นใหญ่ออกมาสองสามชิ้น ลังเลเล็กน้อย “แล้วก็... อินทรีตัวนั้นจับกวางป่าหนึ่งตัวมาไกลเช่นนี้ เ้า... ไม่เก็บไว้ให้มันสักหน่อยหรือ?”
สำหรับเื่ที่นกอินทรีทองถูกซื้อตัวไว้ด้วยเนื้อพะโล้ของครอบครัวตนเอง หวังซื่อเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง สัตว์จำพวกเหยี่ยวหรืออินทรีถูกคนเลี้ยงฝึกให้เชื่องได้นั้นนางย่อมรู้ แต่ถูกเนื้อพะโล้ไม่กี่ชิ้นทำให้โอนอ่อนและยอมสยบอยู่ในมือง่ายๆ เช่นนี้ อาจจะเป็การละเล่นของเด็กมากไปหน่อย
แต่หลังจากได้เห็นว่าเสี่ยวจินใช้กำลังกินเนื้อพะโล้อย่างสุดชีวิต หวังซื่อจึงเชื่อไปสองสามส่วน
กินเก่งจริงๆ หัวใจหมูพะโล้หนึ่งชิ้น ปอดหมูพะโล้กับเนื้อขาหลังหมูพะโล้อย่างละหนึ่งชิ้น เนื้อพะโล้ที่หั่นเป็ชิ้นใช้เวลาไม่นานก็กินจนเกลี้ยงหนึ่งถาดใหญ่ และท่าทางเหมือนยังไม่อิ่มหนำนั้นเต็มไปด้วยความเป็นักกินจุตัวหนึ่งเลย
“เก็บไว้แล้วเ้าค่ะ มันชอบกินของที่ผ่านการพะโล้ ข้าพะโล้เนื้อกวางให้มันไม่กี่ชั่งก็พอ” เจินจูกล่าวออกมาทันที
เนื้อกวางพะโล้? คำพูดของหวังซื่อหยุดชะงัก ตนเองล้วนยังไม่ได้ทานเลย นกอินทรีหนึ่งตัวนี่กลับได้ทานก่อนแล้ว
เจินจูขอคำชี้แนะวิธีทำเนื้อกวางอย่างจริงจังกับหวังซื่อ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยทานเนื้อกวางพะโล้ หากเนื้อทำออกมาได้ไม่ดีก็จะเสียของเกินไปแล้ว
หวังซื่อยิ้ม เนื้อกวางละเอียดและอ่อนนุ่มกว่าเนื้อหมูและเนื้อวัว ทั้งยังเนื้อแดงมากเนื้อมันน้อยจะทำอย่างไรล้วนได้หมด ปรุงน้ำแดง ผัดไฟแดง ตุ๋นน้ำแกงและอื่นๆ รสชาติล้วนอร่อยมากทั้งสิ้น
เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย ชั่วพริบตาเดียวในสมองของเจินจูนึกรายการอาหารได้ไม่น้อย เนื้อกวางปรุงน้ำแดง เนื้อหั่นผัดไฟแดง ผัดเนื้อเผ็ดหอม น้ำแกงกระดูกกวางและเห็ด... อย่างไรเสียเตรียมอาหารมื้อใหญ่ตามปกติและเวียนตามลำดับที่คิดออกหนึ่งรอบก็ไม่เลวเลย
อาชิงหลบอยู่หลังซี่กรงหน้าต่าง กำลังแอบมองไปทางห้องครัว
เมื่อสักครู่เขามองเห็นได้ชัดเจน กวางตัวนั้นในลานบ้าน ถูกพวกนางหามเข้ามาในห้องครัวทำการเชือดและถลกหนัง นั่นไม่ใช่หมายความว่าวันนี้พวกเขาจะมีเนื้อกวางทานหรือ?
“อาจารย์ขอรับ ท่านว่าพี่สาวสกุลหูผู้นั้นโง่หรือไม่ กวางตัวผู้หนึ่งตัวไม่เอาไปขาย แต่กลับเชือดมาให้ครอบครัวตนเองทาน นี่ต้องสิ้นเปลืองเงินมากเท่าไรกัน!” แม้อาชิงอยากทานเนื้อกวาง แต่กวางแข็งแรงหนึ่งตัวอย่างนั้นสามารถขายได้ห้าถึงหกเหลียงเลยนะ เงินมากมายเพียงนั้นสามารถเปลี่ยนมาเป็เนื้อทานได้ตั้งมากมาย
“อย่ายืนอยู่หลังหน้าต่างด้อมๆ มองๆ ผู้อื่นไม่ได้โง่หรอก คนเขาแค่ไม่ขาดแคลนเงินเล็กน้อยนี้” ฟางเสิงพิงหัวเตียงอย่างเงียบสงบ
ดื่มสมุนไพรมาสองสามวัน สภาพร่างกายของฟางเสิงเปลี่ยนมาดีขึ้นไม่น้อย พิษตกค้างภายในร่างกายค่อยๆ ขับออกไปทีละน้อย
ฟางเสิงแอบชื่นชมท่านหมอจางมากยิ่งขึ้นอย่างเสียไม่ได้ หากเขาสามารถหาท่านหมอจางแก้พิษให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้เขาคงไม่เป็สภาพเช่นนี้แน่
“กวางแข็งแรงหนึ่งตัวสามารถขายได้ห้าถึงหกเหลียงเลยนะขอรับ ไม่คิดว่าจะตัดใจเอามาทานได้ ครอบครัวนางร่ำรวยเพียงนี้เลยหรือ?” แม้บ้านของครอบครัวนี้จะปลูกขึ้นมาอย่างกว้างขวางและใหญ่โต แต่เครื่องเรือนที่วางอยู่ในบ้านช่างธรรมดา ดูแล้วไม่เหมือนครอบครัวร่ำรวยมั่งคั่งระดับนั้นเลย
ฟางเสิงไม่ได้ตอบ เขาก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน บุรุษเ้าของบ้านสกุลหูดูแล้วเป็ครอบครัวชาวนาที่ซื่อสัตย์ระมัดระวังตัวและขี้ขลาด ส่วนสตรีเ้าของบ้านก็นุ่มนวลอ่อนหวานดูงดงามมีท่าทางของคนในครอบครัวร่ำรวยอยู่หลายส่วน แต่จากที่สังเกตอย่างละเอียดหลายวันมานี้ คำพูดที่มีน้ำหนักที่สุดของสกุลหูกลับเป็แม่นางตัวน้อยที่หน้าตางดงามรูปร่างบอบบางผู้นั้น
แค่เมื่อสักครู่นี้ฟางเสิงก็ได้ยินชัดเจนแล้ว การตัดสินใจเนื้อกวางขึ้นอยู่กับการชี้ขาดของแม่นางตัวน้อย
แม่นางน้อยโชคดีมาก สามารถใช้นกอินทรีทองหนึ่งตัวจับอาหารมาอย่างง่ายดาย
นกอินทรี สภาพร่างกายแข็งแรงบึกบึน อารมณ์เปลี่ยนง่ายและท่าทางดุร้าย สามารถฝึกเลี้ยงให้เชื่องได้สำเร็จไม่ง่ายเลย
...หลัวอู่กับหลัวสือซานยืนทำความเคารพอยู่ด้านข้าง
“ขาของยู่เซิง ยังไม่หายเป็ปกติหรือ?” บุรุษหนุ่มบนเก้าอี้ไท่ซือเปิดปากถามช้าๆ
“เรียนคุณชาย ขาของคุณชายรองโดยรวมไม่มีปัญหาอะไร แค่ไม่เหมาะให้เดินทางไกลชั่วคราวขอรับ” หลัวอู่ตอบด้วยความเคารพ
ชายหนุ่มขนคิ้วยาวดกดำ ั์ตาเ็า เครื่องหน้าหล่อเหลาดูทรงพลัง เป็หลัวรุ่ยคุณชายใหญ่สกุลหลัวที่อยู่ชายแดน
หลัวรุ่ยเงียบไปชั่วขณะแล้วถึงเปิดปากเอ่ย “องค์ไท่จื่ออิทธิพลมากมาย พรรคพวกกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ให้เขาอยู่ในหมู่บ้านเขตูเาเล็กๆ พักรักษาอาการาเ็ก็ดี รอให้สถานการณ์มั่นคงหน่อยค่อยไปรับมาแล้วกัน”
“คุณชาย องค์ชายสี่ไม่ใช่กล่าวว่า ฉีกุ้ยเฟยตามหาหมอเทวดาจนเจอ และอาการประชวรของฮ่องเต้ก็ดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือขอรับ ตอนนี้องค์ไท่จื่อถูกรับสั่งให้ปิดประตูสำนึกผิด ต้องไม่กล้ากระทำการใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปอย่างแน่นอนขอรับ” หลัวสือซานกล่าว
“ไม่แน่หรอก องค์ไท่จื่อมีฮองเฮาหนุนหลัง ถึงตอนนี้จะถูกฮ่องเต้ตำหนิ แต่หากฮ่องเต้เกิดเหตุอะไรขึ้น พวกเขาจะลงมือทันที อีกอย่าง ท่านหมอเทวดาจางกล่าวว่าฝ่าาไม่เหมาะให้ทรงงานหนักเกินไป ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็ต้าหลัวจินเซียนก็ไม่สามารถรักษาชีวิตของฮ่องเต้ไว้ได้ ตอนนี้ฉีกุ้ยเฟยทำได้เพียงจัดการอารักขาตนเองอย่างเงียบๆ เท่านั้น ไม่กล้าต่อกรต่อหน้าพระพักตร์พวกฮองเฮา สถานการณ์ขององค์ชายสี่พูดได้ยากจริงๆ” หลัวรุ่ยกล่าวช้าๆ
ปัจจุบันนี้ฮ่องเต้ทรงมีความโอบอ้อมอารีรู้หลักทำนองครองธรรม ฉลาดปราดเปรื่องมีจิตใจเมตตา แต่น่าเสียดายพระวรกายค่อนข้างแย่มาโดยตลอด ประชวรหนักเบาไม่ขาดสาย พระชนมพรรษาเพิ่งสี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง แต่พระกรรเจียก [1] ขาวไปครึ่งหนึ่งแล้ว และยังประชวรติดแท่นบรรทมมานาน
องค์ชายสี่ไม่อาจกลับเมืองหลวงได้หากไร้การเรียกประชุม และไม่ได้รับอนุญาตให้ห่างจากชายแดนโดยพลการ แม้จะกังวลสถานการณ์ของฉีกุ้ยเฟยมาก กลับทำได้เพียงเก็บไว้ไม่แสดงออกมา
หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ผู้ที่ฮองเฮาและองค์ไท่จื่อจ้องจะจัดการเป็ลำดับแรก ย่อมเป็ฉีกุ้ยเฟยและองค์ชายสี่
สถานการณ์ปัจจุบันนี้ของฉีกุ้ยเฟยน่าเป็กังวลอย่างยิ่ง ภายในลานที่อยู่ส่วนลึกเข้าไปของวังหลวง หากเปิดฉากแย่งชิงอำนาจขึ้น ล้วนไม่มีทางให้หลบหนีได้เลย
ความปีติยินดีเดียวที่มีคือ ฉีเจียนลูกผู้พี่ของฉีกุ้ยเฟยเป็ผู้บัญชาการกองทัพและทหารม้า ดำรงหน้าที่รักษาความมั่นคงของเมืองหลวงและบัญชาการกองทหารม้าภายในเมืองหลวง พรรคพวกขององค์ไท่จื่อจะขว้างหนูก็กลัวจะกระทบสิ่งของอื่น [2] ขณะนี้ฮ่องเต้ยังไม่ต จึงไม่กล้าก่อเื่ราวใหญ่โตเปิดฉากเป็ศัตรูกันอย่างเปิดเผย
ระยะเวลานี้ได้แต่คาดหวังในตัวท่านหมอเทวดาจาง บุคคลที่มีฝีมือรักษาคนป่วยใกล้ตายให้หายเป็ปกติได้ดังเดิม หากพระวรกายที่ประชวรอยู่ของฮ่องเต้แข็งแรงและสงบลงได้ ราชวงค์ต้าสยาจึงจะไม่ตกอยู่ท่ามกลางาทางการเมืองและการโต้เถียงในพระราชบัลลังก์
แต่…
แววตาของหลัวรุ่ยเย็นะเื กำหมัดแน่น
เมื่อฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ องค์ไท่จื่อจะเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ต่อ เมื่อถึงตอนนั้นฉีกุ้ยเฟยกับองค์ชายสี่จะดำรงอยู่ได้ที่ไหนกัน เช่นนั้นองค์ชายสี่ไม่มีทางนั่งงอมืองอเท้ารอวันตายเป็แน่ ทั้งสองฝ่ายจะฉีกหน้ากันและกัน และความวุ่นวายยืดเยื้อยาวนานจะเกิดขึ้น เมื่อถึงวาระนั้นก็เป็โอกาสดีที่จะแก้แค้นได้
ชีวิตหลายสิบคนจากเบื้องบนไปถึงเบื้องล่างของจวนสกุลหลัว จะไม่มีทางตายด้วยความชอกช้ำเด็ดขาด
...หลัวจิ่งนั่งอยู่บนหินสูงหนึ่งก้อนของตีนเขาซิ่วซี
บนก้อนหินทัศนวิสัยกว้างไกล ไม่ว่าจะเป็ที่ใกล้หรือทัศนียภาพอันไกลโพ้น ล้วนสามารถมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด
องครักษ์ลับที่ยืนอยู่ข้างหลังก้อนหิน ยื่นจดหมายหนึ่งฉบับส่งมา
หลัวจิ่งกวาดสายตาไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีคนอื่นแน่แล้วจึงรับจดหมายมา ฉีกจดหมายเปิดออก กวาดสายตาอ่านเนื้อหาในจดหมายด้วยความรวดเร็วจนจบและวางลงบนหิน
“เผาซะ” เขากล่าว
องครักษ์ลับหยิบตะบันไฟ [3] จุดไฟเผากระดาษจดหมายทันที
“่นี้ไม่มีธุระไม่ต้องมาหาข้าเป็การชั่วคราว หากมีเื่อะไรข้าจะมาที่นี่แล้วทิ้งเครื่องหมายไว้” สกุลหูรวมตัวสัตว์แปลกประหลาดที่ฉลาดแต่ละชนิดไว้ แม้องครักษ์ลับร่างกายคล่องแคล่วแข็งแรง แต่เทียบกับเสี่ยวเฮยที่เคลื่อนไหวไม่แน่นอนและเข้าใจยากแล้ว ไม่มีทางหนีหรือปกปิดได้เลยแม้แต่น้อย
“ขอรับ คุณชายรอง ข้าน้อยรับทราบ” องครักษ์ลับโค้งกายทำความเคารพ ทันทีหลังจากนั้นหายเข้าไปทางป่าเขา
เสียงฝีเท้าข้างหลังจากไปไกลแล้ว หลัวจิ่งผ่อนคลายความระมัดระวังและความตึงเครียดลง สองมือไพล่หลังแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าสีครามเข้ม
หลัวรุ่ยพี่ชายใหญ่ให้เขาพักรักษาอาการาเ็อยู่ในหมู่บ้านให้สบายใจ สถานการณ์ในราชสำนักไม่ชัดเจน พระประชวรของฮ่องเต้ยังไม่ทุเลา ฉีกุ้ยเฟยจัดการคุ้มครองตนเองอย่างเงียบๆ แม้องค์ไท่จื่อจะถูกรับสั่งให้ปิดประตูสำนึกผิด แต่พรรคพวกขององค์ไท่จื่อกลับยังคงเคลื่อนไหว ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่คอยช่วยเหลือฮ่องเต้ไม่กี่ท่านกำลังเกิดความขัดแย้งกันอย่างมาก ครอบครัวขุนนางที่มีตำแหน่งสูงและอำนาจมาก ล้วนต่างฝ่ายต่างตื่นตระหนกรู้สึกว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์อันตราย
ความวุ่นวายที่เกิดจากภัยาตามเขตชายแดน ด้วยการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นล้นหลามไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ชาวตาตาร์ [4] กับชาวมองโกลต่างเริ่มเลี้ยงปศุสัตว์และพาสัตว์ออกหาหญ้ากิน ทั้งยังบำรุงรักษาทั้งเพิ่มจำนวนประชากรขึ้นหลังจากผ่านามา ชายแดนในเวลานี้จึงเป็่สงบเงียบอย่างหาได้ยาก
“พี่สาวเจินจู จะพาเสี่ยวหวงไปหรือไม่?”
ประตูลานบ้านของครอบครัวหูเปิดออก เสี่ยวหวงพุ่งออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ อาชิงตามอยู่ข้างหลังนางะโกล่าวถาม
“ไม่พาไป ให้มันเฝ้าบ้าน” เด็กสาวปฏิเสธอย่างสงบ
ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร หลัวจิ่งรู้สึกว่าประสาทััทั้งห้าของตนเองว่องไวและเฉียบแหลมกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย สถานที่ห่างไกลเช่นนี้ เสียงพูดคุยกันของพวกนาง ล้วนสามารถฟังได้ยินอย่างชัดเจน
เห็นเพียงสองคนแบกตะกร้าไผ่สาน ถือตาข่ายจับปลาและตะกร้าใส่ปลา เด็กสาวดุเสี่ยวหวงที่ลิงโลดให้กลับเข้าในลานบ้าน พร้อมปิดประตูลานให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินมาทิศทางของเขา
เสี่ยวเฮยไม่รู้ว่าวิ่งออกมาจากที่ไหน มันะโสามทีห้าทีตรงเข้ามาถึงใต้หินสูง
หลังจากนั้น ะโขึ้นมานั่งตรงแน่วอยู่ข้างกายเขา
“หง่าว” มันยื่นเท้าหน้าออกมา ราวกับกวักมือเรียกเด็กสาวข้างหน้า
“…”
หลัวจิ่งนั่งตัวตรง มองแมวสีดำที่ทำท่าทางบ้องแบ๊วอยู่ข้างๆ อย่างจนปัญญา คำว่า ‘บ้องแบ๊ว’ นี้ เป็คำที่ได้ยินมาจากปากของเด็กสาว ช่างใช้คำได้เหมาะสมอย่างมาก
เสี่ยวเฮยไม่ได้ชื่นชอบเขาแต่อย่างใด
ทักทายมัน มันก็จะเ็าไม่แยแส
พูดคุยกับมัน มันก็แค่เหล่ตามอง
ให้อาหารมันกิน มันจะมองอย่างเ็าออกมาตรงๆ
แม้พวกเขาจะเป็คนป่วยไข้ที่อยู่ในห้องเดียวกัน แต่ไม่ได้ปลูกฝังการพัฒนามิตรภาพออกมาเลย เด็กสาวตัวเล็กทำใบหน้ามีเลศนัยและกล่าวไว้เช่นนี้
หลัวจิ่งหมดคำพูด เอาเถอะ ในเมื่อแมวไม่ชื่นชอบเขา เขาก็ได้แต่เลียนแบบมัน หนึ่งคนหนึ่งแมวมองกันและกันอย่างเ็า
“ยู่เซิง ทำไมเ้าปีนขึ้นมาที่สูงเช่นนี้ ขาเ้ายังไม่หายดีเลย ระมัดระวังหน่อย” เจินจูเห็นเด็กชายบนที่สูงมาแต่ไกลแล้ว
“ไม่เป็ไร ด้านข้างมีหินใหญ่ให้ใช้พักขา” หลัวจิ่งยิ้มบางๆ มุมปากโค้งเป็เส้นน่ามองขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนวัยสุกใสเป็ประกายดั่งแสงแดด่คิมหันต์ก็ไม่ปาน
จังหวะใต้ฝ่าเท้าเจินจูหยุดชะงักไปชั่วครู่ ใจเต้นตึกตักเร็วขึ้นสองจังหวะ อยากจะบ้าตายชะมัด อายุน้อยแค่นี้ก็ร้ายกาจเพียงนี้แล้ว หากผ่านไปอีกสองสามปี ไม่รู้ว่าจะทำให้หัวใจของสาวน้อยหลงใหลได้มากเท่าไรกันนี่
“พวกเ้าจะไปจับปลา?” จะไปบึงมรกตในเขาอีกแล้วหรือ?
“อื้ม ใช่แล้ว รากบัวในสระน้ำล้วนปลูกเรียบร้อยแล้ว จับปลาเล็กกุ้งน้อยที่บึงมรกตสักหน่อย จะได้ปล่อยเข้าไปเลี้ยงในสระน้ำ” วันก่อนซุนเจี้ยนผู้ที่เชี่ยวชาญการเพาะรากบัวผู้นั้น บรรทุกรากบัวหนึ่งเกวียนมาปลูก เร่งทำงานอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดก็ปลูกรากบัวดังใจปรารถนาของเจินจูเสร็จทั้งหมด
“พวกเ้าไปกันเองแค่สองคน?” สายตาหลัวจิ่งหยุดอยู่บนร่างอาชิงที่เอาแต่กลอกตาไปมา
เชิงอรรถ
[1] พระกรรเจียก คือ จอนผม
[2] จะขว้างหนูก็กลัวจะกระทบสิ่งของอื่น หมายถึง การอุปมาถึงความวิตกกังวลในการคิดที่จะกำจัดใครคนหนึ่ง แต่ก็กลัวจะกระทบไปถูกคนอื่น เป็การทำอะไรห่วงหน้าพะวงหลัง ใกล้เคียงกับสำนวนไทยที่ว่า ลูบหน้าปะจมูก
[3] ตะบันไฟ หรือพับไฟ หรือฮวาเจ๋อจื่อ (火折子) เป็เครื่องมือของชาวจีนโบราณสามารถจุดไฟได้ด้วยการเป่าเพียงครั้งเดียว ทำมาจากกระบอกไม้ไผ่อัดแน่นไปด้วยกระดาษมูลม้าที่แห้งและสามารถติดไฟได้ หรือกระดาษฟาง กระดาษดินเผา ฯลฯ ม้วนอัดอยู่ภายใน กระดาษเหล่านี้มีส่วนประกอบฟอสฟอรัสและสารที่มีออกซิเจนบางชนิด เมื่อเปิดตะบันไฟออก กระดาษด้านในจะถูกออกซิเจนจากภายนอก เพียงแค่มีลมเบาๆ หรือสลัดเล็กน้อยก็สามารถกระตุ้นให้จุดไฟติดได้
[4] ชาวตาตาร์ ชื่อเรียกรวมของชาวฮั่นโบราณสำหรับชนเผ่าเร่ร่อนในภาคเหนือ ต่อมาใช้เป็ชื่อเรียกอื่นๆ สำหรับคนมองโกเลีย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้