แต่ซูิเยว่รู้ เวินเยว่ไม่ได้มาหานางหรอก ชาตินี้นางกับเวินเยว่ไม่ได้เจอกันมากนัก ทั้งสองเจอกันแค่ในงานเลี้ยงชมดอกไม้ครั้งที่แล้ว เวินเยว่มีความคิดอะไรกันแน่ถึงได้มาหานางเช่นนี้ นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ แต่การมาของเวินเยว่ก็ถือเป็การช่วยซูิเยว่ที่ตกที่นั่งลำบากเอาไว้พอดี
“หม่อมฉันไม่รู้มาก่อนว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงไปสนิทกับคุณหนูซูั้แ่เมื่อไหร่” หลันหลินยิ้มแข็งทื่อ แค่เวินเยว่ปรากฏตัวก็ถือว่าขัดขวางเื่ของนางแล้ว เป้าหมายคงไม่ได้มีเพียงแค่นี้แน่
เวินเยว่ไม่ได้ตอบคำถามของหลันหลิน แต่กลับมองนางด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยอำนาจก่อนจะพูดเสียงเย็น “เมื่อครู่ตอนที่เปิ่นกงเข้ามา เหมือนจะได้ยินหลันจาวอี้ถกเถียงกับคุณหนูซู อีกทั้งบ่าวรับใช้ของตำหนักจิ่นเหอเหมือนจะลงมือกับคุณหนูซูด้วย ใช่หรือไม่?”
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา เหล่านางกำนัลที่ลงมือกับซูิเยว่ก็ถึงกับตัวสั่นหน้าขาวซีด
สายตาของหลันหลินเปล่งประกายวาบพร้อมกำปลายนิ้วตัวเองแน่น สีหน้าหวั่นวิตก นางฝืนยิ้มแล้วกล่าว “จะไปมีเื่แบบนั้นได้ที่ไหนกันเพคะ เมื่อครู่จะต้องเป็การเข้าใจผิดแน่เพคะ”
“เข้าใจผิดหรือ?” น้ำเสียงของเวินเยว่แ่เบาแต่แฝงไปด้วยอำนาจคุกคามที่ผู้อื่นไม่อาจสงสัยออกมา “เปิ่นกงไม่ยักรู้ว่าหลันจาวอี้เชิญคุณหนูซูเข้าวังมาโดยกระทำการเช่นนี้”
ซูิเยว่คอยสังเกตสีหน้าของเวินเยว่อยู่ตลอด พอฟังคำพูดของนางจบ ในใจก็ยิ่งไม่เข้าใจท่าทีของเวินเยว่ หรือว่าฮองเฮาจะมาช่วยนางแก้ไขสถานการณ์กัน?
“ฮองเฮาเหนียงเหนียงอาจจะฟังผิดไป เป็แค่ความเข้าใจผิดเท่านั้นเพคะ”
สีหน้าของหลันหลินย่ำแย่ลงเรื่อยๆ บนหน้าผากก็มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มไปหมด นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าซูิเยว่นั้นเข้าหาเวินเยว่ั้แ่เมื่อไหร่ อีกฝ่ายถึงได้มาช่วยออกหน้าแทนนางเช่นนี้
“จริงหรือ” เวินเยว่ยกยิ้มน้อยๆ จากนั้นสายตาก็เลื่อนมาทางซูิเยว่ “เช่นนั้นเปิ่นกงถามคุณหนูซูดีกว่า ว่าเปิ่นกงนั้นเข้าใจผิดหรือไม่”
หลันหลินได้ยินเข้าก็ยิ่งร้อนรนขึ้นกว่าเดิม สายตามองซูิเยว่อย่างไม่พอใจและเตือน
แต่คนถูกมองกลับไม่ได้แม้แต่ปรายตามองนางเลย หลันหลินโกรธจนกัดฟันแน่นแทบแตก ทำได้แค่ภาวนาในใจว่าซูิเยว่นั้นจะรู้ว่าเวลาไหนเหมาะสมและไม่พูดจามั่วซั่วออกมา
แต่เื่มักไม่เป็ไปดั่งที่หวัง ซูิเยว่เองก็คิดไม่ถึงว่าเวินเยว่คนนี้จะโยนคำถามมาให้ คงกำลังอยากให้ตนเลือกสักอย่าง ระหว่างเลือกเวินเยว่แล้วบอกความจริงทั้งหมด หรือเลือกหลันหลินแล้วปกป้องนางและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถึงตอนนี้ซูิเยว่จะยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเวินเยว่ถึงช่วยนาง แต่การเลือกที่ฉลาดตอนนี้ก็ต้องเลือกอย่างแรกอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงใช้เวลาครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย
ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็น้อยใจทันทีแล้วเริ่มร้องไห้ไปกล่าวไป “เหนียงเหนียง เหนียงเหนียงโปรดช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ซูิเยว่!” หลันหลินรีบตวาดออกมา ในใจเต้นระทึก รู้สึกว่าเื่นี้แย่แล้ว
“หลันจาวอี้” สายตาเวินเยว่กวาดมองไป หลันหลินถึงกับเงียบทันที ทำได้แค่กลืนคำพูดลงท้องตัวเองไป
“เปิ่นกงอยู่ที่นี่ เ้ามีเื่อะไรที่ไม่ได้รับความยุติธรรมก็พูดออกมา ยังไม่เคยมีใครกล้าอวดดีตรงหน้าเปิ่นกงมาก่อน”
ถึงแม้นางจะพูดกับซูิเยว่ แต่คำพูดนั้นกลับสะท้อนให้หลันหลินฟัง ใบหน้าของหลันหลินถึงกับซีดสลับเขียวคล้ำ
“เพคะ เหนียงเหนียง” ซูิเยว่พูดไปแววตาเรียบนิ่งก็มองหลันหลินไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา “เหนียงเหนียง เื่มันเป็เช่นนี้เพคะ หลันจาวอี้บังคับลงโทษหม่อมฉันเพคะ”
ต่อมาซูิเยว่ก็เล่าเื่ที่เกิดขึ้นในร้านขายผ้าและเหตุผลที่ทะเลาะกับองค์หญิงสีให้ฟัง ถึงแม้จะไม่ได้ใส่สีตีไข่ลงไป แต่พอฟังจบแล้ว คนที่มีเหตุผลต่างก็รู้ว่าองค์หญิงสีนั้นเป็ฝ่ายเริ่มก่อน
ซูิเยว่เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมองหลันหลินแล้วพูดต่อ “ส่วนเมื่อครู่หลันจาวอวี้ไม่ได้ถามเหตุผลแล้วลงโทษหม่อมฉันเลยเพคะ นางยังบอกอีกว่าคนของราชวงศ์ทำอะไรไม่ต้องมีเหตุผล”
สีหน้าของหลันหลินย่ำแย่จนถึงขีดสุด สายตาที่จ้องซูิเยว่เกลียดจนอยากจะถลกหนังนางออกมา ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกเล็บจิกจนเป็รูหลายรู
“ซูิเยว่ เ้าพูดอะไรไร้สาระออกไปกัน?”
หลันหลินดวงตาแดงก่ำ หากไม่ใช่เพราะเวินเยว่อยู่ตรงนี้ คาดว่านางคงจะพุ่งไปตรงหน้าซูิเยว่แล้ว
“หลันจาวอี้ หม่อมฉันเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้น”
สีหน้าเวินเยว่โกรธจัด นางมองหลันหลินด้วยแววตาไม่พอใจ “หลันจาวอี้ ที่คุณหนูซูพูดมานั้นเป็ความจริงหรือไม่?”
หลันหลินส่ายหน้าอย่างแรง “ฮองเฮาเหนียงเหนียง นางกำลังโกหกเพคะ เื่ไม่ได้เป็ไปอย่างที่นางพูด”
เวินเยว่กลับไม่ฟังคำแก้ตัวของนางแล้วหรี่ตาลง “อำนาจของราชวงศ์เป็สิ่งที่ให้เ้าเอามาอวดดีั้แ่เมื่อไหร่ คนของราชวงศ์ทำอะไรไม่ต้องมีเหตุผลหรือ หากคำพูดเช่นนี้ไปถึงหูฮ่องเต้ เ้าคิดว่าจะเป็อย่างไร?”
หลันหลินได้ยินก็ชะงักไป ต่อมาทั้งร่างก็เริ่มสั่นจนควบคุมไม่อยู่ “ข้าเปล่า ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะเพคะ เหนียงเหนียง”
นางพูดไปก็ชี้นิ้วไปทางซูิเยว่ ใบหน้าปกปิดความเกลียดชังเอาไว้ไม่มิด “เป็เพราะนาง เป็เพราะนางคนชั้นต่ำพูดจาไร้สาระนี่”
“พอแล้ว หลันหลิน เปิ่นกงอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ที่ที่เ้าจะมาทำตัวหยาบคาย”
เวินเยว่พูดเสียงเย็นออกมา “การที่คุณหนูซูจะพูดโกหกหรือไม่นั้น คิดว่าเปิ่นกงจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ลูกสาวของเ้านิสัยเป็อย่างไรเปิ่นกงก็รู้ดี ยโสโอหัง ไม่มีเหตุผล นี่แหละลูกสาวตัวดีที่เ้าเลี้ยงมา ปกติแล้วเปิ่นกงหลับตาข้างเดียวแล้วก็ปล่อยไปมาตลอด แต่ครั้งนี้กลับไปทำเื่ขายหน้านอกวัง แบบนี้จะให้ราชวงศ์เอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?”
เวินเยว่พูดเสียงเข้ม เมื่อคำพูดสุดท้ายจบลงก็ทำเอาหลันหลินถึงกับพูดไม่ออก
หลันหลินอ้าปาก หาคำโต้แย้งกลับไม่ได้
ภายในตำหนักก็เงียบไป
“หลันหลิน” ผ่านไปครู่หนึ่งเวินเยว่ก็ยืนขึ้นทำลายความเงียบภายในเรือน “เห็นแก่ที่เ้าอยู่ในวังหลังอย่างสงบเสงี่ยมมาตลอด ครั้งนี้จะถือว่าปล่อยไป สั่งสอนลูกสาวเ้าให้ดี”
หลันหลินกำเสื้อแน่นไม่พูด นางก้มหน้าลง แต่แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เอาล่ะ เปิ่นกงไม่อยากอยู่ที่นี่นาน” นางพูดจบก็มองซูิเยว่ “คุณหนูซู เ้ากับข้าไม่ได้เจอกันเสียนาน ตามเปิ่นกงไปที่วังดีกว่าหรือไม่?”
ซูิเยว่ชะงักไป สายตาที่มองเวินเยว่นั้นแฝงไปด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ เวินเยว่ถึงได้เชิญนาง แต่วันนี้เวินเยว่มาช่วยนางแก้ไขสถานการณ์ ไม่มีเหตุผลอะไรที่นางจะปฏิเสธคำเชิญของเวินเยว่
“หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียง”
เวินเยว่สะบัดแขนเสื้อแล้วไม่ได้มองไปที่หลันหลินอีก จากนั้นก็พานางกำนัลออกจากตำหนักไป ซูิเยว่เองก็เดินตามหลังนางไป ตอนที่กำลังจะออกไปนั้น นางก็หันไปมองหลันหลินหนึ่งที ซึ่งหลันหลินเองก็จ้องนางกลับด้วยั์ตาดุเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
พอออกจากตำหนักใหญ่มาก็มุ่งหน้าออกจากตำหนักจิ่นเหอ ตอนที่เดินอยู่บนทางเดิน ซูิเยว่ก็เห็นหนึ่งในประตูตำหนักถูกเปิดออก หากจำไม่ผิดห้องนั้นเป็ห้องที่มีเสียงกรีดร้องขององค์หญิงสีดังออกมาเมื่อครู่
ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้น สาวใช้คนหนึ่งก็ออกมาจากด้านใน ต่อมาคนที่ตามอยู่ด้านหลังกลับเป็องค์หญิงสี ท่าทางขององค์หญิงสีนั้นมีการปกปิดเล็กน้อย เหมือนคนกำลังหลบซ่อนอะไรบางอย่าง