หลังจากนั้นหลายวันรถไฟก็ได้มาถึงสถานีอย่างราบรื่น เหรินเฟิงช่วยแบกสัมภาระทั้งหมดของลู่เสวียอีลงจากรถ
ตอนที่นำขึ้นมาแม่และพี่ชายของเธอช่วยขนมาให้ แต่ถ้าให้เธอแบกเองตอนนี้ ด้วยร่างเล็กๆ ผอมบางคงไม่มีแรงจะขนไปได้ถึงชุมชนจุดหมาย
ลู่เสวียอีได้แต่พูดขอบคุณเขาเบาๆ
เหรินเฟิงยิ้มอย่างจริงใจ
สวี่หลิงที่มีกระเป๋าใบใหญ่ได้แต่มองอย่างอิจฉา เดิมทีเธอก็อยากให้เหรินเฟิงช่วยเธอเหมือนกันแต่เขากลับไม่มองเธอเลย
เหรินเฟิงเดินนำหน้าแล้วชี้ให้เธอดู “คนที่มารับรออยู่ทางนั้น ตามมาเถอะ”
เมื่อมีเหรินเฟิงที่เป็เหมือนเ้าบ้านคอยนำทาง กลุ่มยุวชนผู้มีการศึกษาที่เหลือก็เดินตามกันมา
พอถึงจุดนัดพบ เหรินเฟิงก็พบว่าหนึ่งในกลุ่มคนที่มารับมีหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ด้วย
“ลุงจาง ลุงมารับยุวชนผู้มีการศึกษาใช่หรือเปล่า?”
ชายวัยกลางคนดูแปลกใจที่เห็นเหรินเฟิงที่นี่ “เสี่ยวเฟิงกลับมาเยี่ยมบ้านเหรอ? …ทำไมครั้งนี้ขนของมาเยอะเชียว”
“เปล่าครับ นี่เป็ของสหายลู่ กระเป๋าใหญ่เกินไปผมแค่ช่วยเธอถือ”
สวี่หลิงที่แบกกระเป๋าตามมากลอกตามองบน เธอก็มีกระเป๋าใบใหญ่หมือนกัน ทำไมไม่ช่วยเธอบ้างล่ะ?
หัวหน้าหมู่บ้านชื่อจางกัวซาน เมื่อได้ยินที่เขาพูดก็สงสัยในใจว่ากระเป๋าหนักมากแต่เกี่ยวอะไรกับนาย อีกอย่างเ้าหนูนี่ไปสนิทกับเด็กผู้หญิงในกลุ่มยุวชนได้ยังไงกัน
แต่เมื่อเห็นกลุ่มคนทยอยมากลับพูดแค่ว่า “มาลงทะเบียนกันก่อน”
หลังจากนั้นรายชื่อของลู่เสวียอี สวี่หลิงและอีกสามคนก็รับมอบหมายเสร็จสิ้น พวกเขาถูกส่งไปหมู่บ้านเดียวกัน
จางกัวซานขับรถแทรกเตอร์คันเดียวในหมู่บ้านมารับวัยรุ่นกลุ่มนี้เป็พิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะมาถึงหมู่บ้าน
ลุงจางพาพวกเขาไปที่ลานพัก ขณะที่เหรินเฟิงต้องกลับบ้านก่อนด้วยความเสียดาย
ยุวชนรุ่นก่อนหน้าที่มาอยู่ที่นี่มีหกคน ชาย 4 หญิง 2 รวมกับรุ่นของลู่เสวียอีเพิ่มใหม่มาอีก 5 คน ชาย 2 หญิง 3 เป็ 11 คน
ทันใดนั้นลานที่อยู่ที่ดูคับแคบอยู่แล้วก็ดูจะอัดแน่นขึ้นไปอีก
หัวหน้ากลุ่มยุวชนผู้มีการศึกษาเดิมชื่อ หม่าตง เป็คนแนะนำผู้มาใหม่ “ฉันเป็หัวหน้าของยุวชนผู้มีการศึกษาของที่นี่ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้เลยนะ”
“ห้องด้านซ้ายเป็ของผู้ชายส่วนทางปีกขวาเป็ห้องผู้หญิง ห้องน้ำอยู่ทางด้านหลังเป็ห้องรวม ตรงกลางเป็ห้องหลัก เวลาที่มีการจัดการประชุมก็จะจัดที่นี่…ส่วนตรงนั้นเป็ห้องครัว”
หม่าตงอธิบาย “ตอนนี้เอาของไปเก็บกันก่อน กฎอย่างอื่นเราค่อยมาพูดกันหลังจากนี้”
ลู่เสวียอีหยิบกระเป๋าเดินทางแล้วเดินไปห้องยุวชนหญิงที่ได้รับการศึกษา สวี่หลิงและอีกคนรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามคนเดินไปถึงประตูและเคาะเรียกคนข้างใน
คนที่เปิดประตูเป็ผู้หญิงที่อายุไล่เลี่ยกัน ใบหน้าคล้ำแดดเล็กน้อยและดูจริงจัง “คนใหม่ใช่ไหม เข้ามาก่อนสิ”
ห้องที่เดิมค่อนข้างกว้างดูเล็กว่าเดิมเมื่อเพิ่มคนอีกสามคนพร้อมสัมภาระหลายกระเป๋า มีเตียงคั่งเพียงสองเตียงในห้องซึ่งเตียงหนึ่งถูกจับจองโดยคนที่อยู่มาก่อนหน้า ดังนั้นผู้มาใหม่อีกสามคนจึงต้องนอนด้วยกันอีกเตียงหนึ่ง
“สวัสดีฉันชื่อ สวี่หลิง ยินดีที่ได้รู้จัก” สวี่หลิงเป็คนช่างพูดอยู่แล้ว เธอเริ่มแนะนำตัวก่อน
“สวัสดีฉันชื่อ ลู่เสวียอียินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉันชื่อ มู่เสวีย ยินดีที่รู้จัก”
“ฉันจูชิง ส่วนคนนั้นคือเข่อหลาน พวกเราอยู่ที่นี่มาเกือบ 2 ปีแล้ว” จูชิงคือคนที่เปิดประตูให้พวกเธอ ส่วนเข่อหลานคือคนที่นั่งสังเกตพวกเธออย่างเงียบๆ ั้แ่เข้ามา
เข่อหลานมีบุคลิกเ็าและดูเย่อหยิ่งเล็กน้อย แต่เธอแต่งตัวค่อนข้างดี คาดว่าที่บ้านคงมีฐานะดีทีเดียว
หลังจากทักทายกันลู่เสวียอีก็เริ่มเก็บข้าวของ เธอขอค้อนและตะปูจากจูชิงและหยิบผ้าในกระเป๋ามาทำเป็ผ้าม่านเพื่อกั้นที่นอนส่วนตัว
คนที่เหลือมองอย่างว่างเปล่าเมื่อเห็นเธอติดม่านเสร็จ
สวี่หลิงมองอย่าอิจฉาแต่เธอไม่มีเศษผ้าเลย ผ้าสมัยนี้ต้องใช้เงินและตั๋วผ้าในการซื้อ แต่ละคนมีโควต้าไม่มากต่อปี ใครจะฟุ่มเฟือยถึงขนาดใช้ผ้ามาทำม่านได้
“ลู่เสวียอี เธอยังมีผ้าอีกไหม ฉันก็อยากทำผ้าม่านเหมือนกันถ้ามีช่วยขายให้ฉันบ้างสิ”
“นั่นก็แค่เศษผ้า ฉันเอามาจากผ้าปูที่นอนเก่าที่บ้านที่ไม่ได้ใช้แล้ว ไม่มีอีกแล้ว” ลู่เสวียอีตัดบท เธอหันไปถามจูชิง “สหายจูชิง ฉันอยากได้ที่เก็บของ ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหม”
“ต้องไปหาเจิ้งซานกุยช่างไม้ในหมู่บ้าน บ้านหลังที่สี่ขวามือก่อนมาถึงที่นี่”
“ขอบคุณมาก” หลังจากพูดจบเธอก็สะพายกระเป๋าแล้วเปิดประตูออกไป
สวี่หลิงเห็นเธอก็รีบตามไปเช่นกัน “รอฉันด้วย ฉันก็จะไปเหมือนกัน”
มู่เสวียเองก็ตามทั้งสองไป เธอเป็ผู้มาใหม่และ้าหลายสิ่งหลายอย่างเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้