จู่ๆ อวิ๋นจื่อก็รู้สึกหัวเสีย
ถ้านางละทิ้งสิ่งเหล่านี้และกลายเป็มือกระบี่ของสำนักชิงซาน ชีวิตของนางจะน่าพึงพอใจกว่าที่เป็อยู่หรือไม่?
อย่างน้อยก็ไม่มีเส้นทางที่คดเคี้ยวและไม่แน่นอนทอดยาวอยู่เบื้องหน้า
‘แต่ถ้ามีชีวิตแบบนั้น ข้าจะรู้สึกสบายใจหรือไม่?’
อย่างไรก็ตาม แซ่ของนางคืออวิ๋น
นางเป็คนของตระกูลอวิ๋น
นั่นคือชะตากรรมของนาง
ชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ซูเจิน แผนการของข้าคือการใช้ประโยชน์จากเย่เช่อ” ริมฝีปากสีแดงของหญิงสาวเผยอออกเล็กน้อย
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะข้าไม่สามารถควบคุมเย่เช่อได้ แต่สิ่งที่ข้าสามารถพึ่งพาได้ก็คือตัวตนของเขา นอกจากนี้หากข้าหาวิธีใช้ประโยชน์จากเขาได้ ข้าย่อมรู้ว่ามีคนในราชสำนักกี่คนที่เป็คนของข้า” หญิงสาวกระซิบ
“เ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า “ข้ารู้ ท้ายที่สุดแล้วข้า้าควบคุมฮ่องเต้เฉิงเต๋อ ข้าย่อมปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ แต่ข้าก็ต้องทำให้เขาไว้วางใจข้าและเย่เช่อด้วย ข้าอาจใช้วิธีควบคุมจิตใจหรือไม่ก็ฝังหนอนกู่”
ซูเจินยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเ้าจะให้ใครเป็แม่กู่? ตัวเ้าเองอย่างนั้นหรือ?”
“เ้าไม่เห็นด้วยกับแผนการของข้าหรือ?” อวิ๋นจื่อกระซิบ
“อย่าปล่อยให้สิ่งเ่าั้แปดเปื้อนเ้า มันสกปรกเกินไป อันที่จริงมีวิธีอื่นอีกเป็ร้อยเป็พันที่จะชนะใจผู้คน ท่านลุงอวิ๋นเซียวไม่ได้ใช้วิธีอื่นในการชักจูงผู้คนเลย แต่ในราชสำนักกลับมีผู้สนับสนุนเขามากกว่าครึ่ง” ซูเจินกล่าวเบาๆ
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยเก่งเื่ทำนองนี้”
“แต่เ้าสามารถใช้จุดแข็งของตนเองได้ อันที่จริงเ้ากับเย่เช่ออาจร่วมมือกันได้” ซูเจินกล่าว
อวิ๋นจื่อเข้าใจความหมายของซูเจิน
เย่เช่อเป็บุตรชายของฮ่องเต้เฉิงเต๋อ แต่เขาซึ่งเป็บุตรชายของขุนนางฝ่ายบุ๋นกลับกลายเป็ขุนพลอันดับหนึ่งในแคว้นอวิ๋นเมิ่งและกลายเป็เทพาที่มีชื่อเสียง
นอกจากนี้ เย่เช่อยังเป็หลานชายสายตรงของแม่ทัพเจิ้นหนาน เขาได้รับการฝึกฝนเป็การส่วนตัวจากแม่ทัพเจิ้นหนานั้แ่ยังเด็ก อีกทั้งเขาและเสด็จอาก็ยังเป็ศิษย์ร่วมอาจารย์กันด้วย
หากทิ้งภูมิหลังของตระกูลเย่ไว้เื้ั เย่เช่อคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะต่อสู้เคียงข้างนาง
แต่เหตุใดเขาถึงต้องเป็บุตรชายของขุนนางทรยศ?
บุตรชายของขุนนางทรยศจะร่วมมือกับนางได้อย่างไร?
ทั้งที่นางรักเขามากแท้ๆ
แต่ความรักระหว่างนางกับเขาย่อมเป็ไปไม่ได้
ทุกอย่างที่เป็ของตระกูลอวิ๋น นาง้าเอามันกลับคืนมาทั้งหมด
กลยุทธ์ปัจจุบันคือการใช้กำลังเข้าสู้
หากเย่เช่อรู้ในภายหลัง เขาจะมองว่านางเป็คนโเี้หรือไม่?
หรือนางต้องยอมแพ้เื่เขา
ทันใดนั้นอวิ๋นจื่อก็รู้สึกโศกเศร้ามาก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา
นางร้องไห้พร้อมกับกล่าวว่า “ซูเจิน ข้าปวดใจเหลือเกิน”
“เ้าเศร้าเพราะเื่นี้หรือ?” คำพูดของซูเจินตรงไปตรงมาและชัดเจนเสมอ เขาไม่เคยอ้อมค้อมเลย
“ข้าเคยหวังว่าข้ากับเขาจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแม้ว่าตระกูลของเราสองคนอาจเข้ากันไม่ได้ก็ตาม” เสียงของอวิ๋นจื่อฟังดูสิ้นหวังและอ่อนแอ
“นี่ไม่ใช่เื่เป็ไปไม่ได้ ตราบใดที่เย่เช่อไม่ได้มีส่วนร่วมในสิ่งเ่าั้ เ้าก็สามารถอยู่กับเขาได้ แต่ถ้าให้ข้าพูดตรงๆ ทัศนคติของเขาก็ไม่ชัดเจนจริงๆ แม้กระทั่งตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะเลือกยืนอยู่ฝ่ายใด” ซูเจินกล่าว
ค่ำคืนนี้เงียบสงัดจนดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้นอีกแล้ว
ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบ
ตอนนี้น่าจะเป็กลางดึก เพราะดูเหมือนว่าสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว กองไฟที่ทั้งสองจุดขึ้นกลายเป็สิ่งที่สว่างไสวที่สุดในป่าทึบแห่งนี้
แมลงที่อวิ๋นจื่อไม่รู้จักพากันร่ายรำภายใต้แสงไฟราวกับกำลังหัวเราะเยาะนักเดินทาง อวิ๋นจื่อรู้สึกง่วงนอนมาก นางกล่าวเบาๆ “ซูเจินข้าอยากพัก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเ้าช่วยปลุกข้าด้วย”
ซูเจินพยักหน้า
หญิงสาวผล็อยหลับไปในทันที
อวิ๋นจื่อฝัน ดูเหมือนนางได้เดินทางผ่านูเาและแม่น้ำหลายพันสายจนมาถึงูเาจิ่วอี๋ นางเห็นวิหารและเดินเข้าไป ด้านในมีแต่ความเงียบงัน นางมองเห็นแสงลางๆ เปรียบได้กับดวงดาวที่ริบหรี่ ดูราวกับคำทักทายจาก์ทั้งเก้าที่อยู่ห่างไกล
ทันใดนั้นหญิงสาวที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนก็ปรากฏตัวขึ้น รอยยิ้มของนางงดงามมาก นางเป็หญิงสาวที่สวยที่สุดที่อวิ๋นจื่อเคยเห็น
“องค์หญิงท่านปลอดภัยดีหรือไม่?”
หญิงสาวยิ้มและเอ่ยปากถามเบาๆ
“เ้าเป็ใคร?” อวิ๋นจื่ออยากถามออกไปแต่กลับพบว่านางไม่สามารถส่งเสียงใดๆ ได้ นางรู้สึกสับสนมาก
หญิงสาวคนนั้นกล่าวอีกครั้ง “องค์หญิงอย่าได้หลงลืมความตั้งใจเดิมของพระองค์”
รอยยิ้มของหญิงสาวเปล่งประกาย นางดูคล้ายเสด็จแม่มาก อวิ๋นจื่อประหลาดใจจนเกือบจะส่งเสียงออกไปว่า “เสด็จแม่”
จู่ๆ หญิงสาวที่มีรอยยิ้มงดงามก็หายไป
ภายในวิหารยังคงเงียบสงัด
เหตุใดถึงไม่มีใครอยู่ในนี้?
อวิ๋นจื่อนึกฉงนในใจ นางจำได้ว่านางเคยมาที่นี่กับชิงซี เหตุใดวันนี้ถึงไม่มีใครเลย?
นางมองไปยังแท่นบูชาที่ดูศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย ขณะที่นางกำลังจะเดินออกจากวิหาร จู่ๆ ก็มีแสงสีขาวพร่างพรายพุ่งออกมาจากด้านใน
แสงนั้นสว่างเสียจนนางลืมตาไม่ขึ้น นางจึงหลับตาโดยสัญชาตญาณ
ในหูของนางมีเสียงแปลกๆ ดังขึ้น
“ตำหนักในเกิดความเปลี่ยนแปลง วังหลวงตกอยู่ในความระส่ำระสาย หลีกหนีจากความวุ่นวายในโลก เก็บซ่อนปัญหาทั้งหมดไว้ในแขนเสื้อ กลายเป็คณิกาผู้มีชื่อเสียง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็เพียงความว่างเปล่า เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นว่าประตูเก้าชั้นงดงามจนน่าอัศจรรย์”
จู่ๆ หัวใจของนางก็บีบรัดแน่น เป็ไปได้หรือไม่ว่าคำทำนายที่นางรับรู้มาโดยตลอดมีบางอย่างผิดพลาด?
บิดามารดาของนางต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้างกว่าจะได้รู้คำทำนายนี้?
ทันใดนั้นเสียงดังกล่าวก็เงียบลง
อวิ๋นจื่อลืมตาขึ้น นางมองเห็นวิหารที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
เมื่อครู่นี้คือภาพหลอนหรือ?
นางมองไปที่วิหารอย่างไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย
บรรยากาศโดยรอบเงียบมาก
นางรีบเดินออกจากวิหาร
เมื่อเดินออกจากวิหารก็พบลำธาร สีสันของสายน้ำดูแปลกตามาก
นางเดินเข้าไปดูใกล้ๆ และพบว่าน้ำเป็สีรุ้ง!
อวิ๋นจื่อมีความสุขมาก นางกำลังจะก้มตัวลงเพื่อวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า
แต่ก่อนที่นางจะทันได้ทำเช่นนั้น เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
“ฝ่าา”
เสียงนั้นแ่เบาจนไม่สามารถบอกได้ว่ามันดังมาจากทิศทางใด
นางมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง ทิวทัศน์โดยรอบเขียวชอุ่ม ต้นไม้สูงไม่ถึงครึ่งตัวนาง
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากทั่วสารทิศ
“ฝ่าา”
เสียงนี้ฟังดูไพเราะมาก แต่กลับมีความโศกเศร้าที่ไม่สามารถบรรยายได้เจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น อวิ๋นจื่อสงสัยว่าเสียงดังมาจากทางใด?
เหตุใดนางถึงได้ยินเสียงนี้?
หรือสถานที่แห่งนี้อาจเคยเป็สนามรบมาก่อน? นี่หมายความว่านางได้ยินเสียงของเหล่าภูตผีใช่หรือไม่?
แล้ว “ฝ่าา” หมายถึงใคร?
ความคิดของอวิ๋นจื่อล่องลอยไป
เป็ไปได้หรือไม่ว่านี่เป็ปริศนาอีกอย่างที่เสด็จอาทิ้งเอาไว้?
อวิ๋นจื่อครุ่นคิดอย่างรอบคอบ
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงอีกครั้ง
“ฝ่าา”
คราวนี้กลับเป็เสียงของคนจำนวนมาก ฟังดูราวกับว่ามีกองทหารนับพันอยู่บนูเา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้