หัวหน้าผู้รับเหมาจงเดินทางไปยังที่นาด้วยสีหน้าซาบซึ้ง เมื่อเดินดูไปรอบหนึ่งก็เลือกสถานที่ขุดเจาะได้ ครั้นกลับไปถึงบ้านก็เรียกลูกหลานมารวมตัวกัน แล้วเล่าเื่งานที่รับมาให้ทุกคนฟัง
แน่นอนว่าพวกลูกหลานของเขาต่างตื่นเต้นยินดีกันเป็อย่างมาก หัวหน้าผู้รับเหมาจงคิดได้ว่าหากเื่นี้แพร่งพรายออกไป คงจะมีคนที่จิตใจไม่บริสุทธิ์มาแอบสืบเื่ราวอะไรอีกแน่ จึงให้พวกผู้หญิงที่บ้านช่วยกันจัดสัมภาระทันที เพิ่งจะเลยยามเที่ยงไปไม่นานเขาก็พาลูกหลานขึ้นไปยังหมู่บ้านเขาหมีแล้ว
เมื่อผู้คนเห็นผู้หญิงตระกูลจงสีหน้าสดใส ต่างก็พากันอยากเข้ามาสอบถามเื่ราว แต่ปรากฏว่าเข้าไปในบ้านสกุลจงไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่มีบุรุษเหลืออยู่ในบ้านสกุลจงแม้แต่คนเดียว แม้แต่พวกเด็กๆ อายุแปดเก้าขวบก็ถูกพาตัวไปช่วยทำงานที่สกุลลู่กันหมด...
แน่นอนว่าเสี่ยวหมี่เองก็พอจะรู้เื่ที่นางเป็เป้าหมายที่ถูกจับจ้องของคนมากมาย แต่อาจเพราะว่าอายุยังน้อยนางจึงไม่ได้ระแวดระวังมากนัก
ขุดบ่อเพื่อต่อสู้ภัยแล้ง เตรียมคูระบายน้ำก็เพื่อเตรียมรับมือน้ำท่วม
ูเาทั้งสองด้าน รวมถึงบริเวณปากทางขึ้นเขาล้อมพื้นที่นาสามสิบหมู่ไว้ตรงกลาง หากว่าขุดคูน้ำขนาดกว้างหนึ่งฉื่อ [1] ลึกสองฉื่อไว้โดยรอบก็นับว่าเป็งานใหญ่ ใช่ว่าจะรวบรวมคนทั้งหมู่บ้านมาทำให้เสร็จได้ภายในสามวันห้าวัน
ถึงแม้สกุลลู่จะมีความสัมพันธ์อันแแ่กับคนในหมู่บ้าน แต่เสี่ยวหมี่ก็รู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร จะให้ทุกบ้านในหมู่บ้านเขาหมีเลิกล่าสัตว์มาทำงานให้สกุลลู่อย่างเดียวก็ไม่ได้
ต่อให้พวกเขาจะยินดี แต่เสี่ยวหมี่ก็คงไม่อาจตกลง
ดังนั้นครอบครัวที่ค่อนข้างน่าเชื่อถืออย่างนายท่านเฝิงพ่อลูก ท่านลุงหลิว ลุงสามปี้ จึงถูกเชิญมาที่บ้านสกุลลู่อีกครั้ง
กับข้าวชั้นดีหกอย่าง สุราชั้นดีหนึ่งไห เมื่อกินกันจนอิ่มหนำแล้ว เสี่ยวหมี่ถึงได้พูดถึงเป้าหมายที่นางเชิญทุกคนมา
“นายท่านเฝิง พื้นที่นาสามสิบหมู่ด้านล่างนั้น ข้าวางแผนจะใช้มันทำงานใหญ่ในอนาคต ข้าจึงคิดจะขุดบ่อเพื่อต่อสู้กับภัยแล้งรวมถึงขุดคูระบายน้ำ แน่นอนว่าการขุดบ่อได้ยกให้เป็หน้าที่ของสกุลจง แต่การขุดคูระบายน้ำโดยรอบที่นาจำเป็ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก และคนภายนอกข้าก็ไม่อาจเชื่อใจได้ จึงอยากจะรบกวนท่านช่วยบอกบรรดาท่านลุงในหมู่บ้านเราให้หน่อยว่า หากใครไม่อยากขึ้นเขาล่าสัตว์ และที่บ้านไม่ยุ่งจนเกินไปนัก ก็ให้มาช่วยข้าขุดคูระบายน้ำ ข้าจะเลี้ยงอาหารสามมื้อทุกวัน และให้ค่าแรงอีกสามสิบอีแปะ”
นายท่านเฝิงอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ได้ๆ”
เดิมทีเสี่ยวหมี่เองก็คิดไม่ตกว่าควรจะให้ค่าแรงเท่าไรดี เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็คิดไปว่านายท่านเฝิงคงคิดว่าน้อยเกินไป จึงรีบกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะเพิ่มค่าแรงให้เป็สี่สิบอีแปะ...”
นายท่านเฝิงรีบโบกมือทันที กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่ามันน้อยเกินไป แต่มันมากเกินไปต่างหาก ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูใบไม้ร่วง ยังไม่มีขนสัตว์ดีๆ ต่อให้ล่าสัตว์กลับมาก็ขายไม่ได้สักเท่าไร เทียบกันแล้วการขุดคูน้ำนั้นดีกว่ากันมาก ทั้งยังไม่ต้องเสี่ยงอันตรายอีกด้วย ก็แค่ออกแรงหน่อยเท่านั้น ให้ค่าแรงถึงสามสิบอีแปะนี่มากเกินไป”
เสี่ยวหมี่แอบถอนใจโล่งอก เป็นางที่คิดมากไปเอง
“นายท่านเฝิง เราคิดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนัก เวลาบ้านข้ามีเื่อันใด พวกท่านลุงท่านอาในหมู่บ้านไม่เคยนิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือ ช่วยข้ามามากเหลือเกิน ยามนี้พวกท่านลุงท่านอาจำต้องวางภาระงานที่บ้านเอาไว้ มาช่วยข้าขุดคูระบายน้ำอีก จะอย่างไรก็ต้องปฏิบัติกับพวกเขาอย่างดี ค่าแรงก็เอาตามนี้ ท่านจะปฏิเสธอีกไม่ได้นะเ้าคะ แต่ก็ต้องรบกวนท่านวันหน้าช่วยรับหน้าที่เป็ผู้จดบันทึกค่าแรงให้กับทุกคนด้วย”
“บันทึกค่าแรง? คืออันใดหรือ คนแก่อย่างข้าไม่รู้หนังสือเสียหน่อย ไม่สู้ให้พวกเด็กๆ มาทำจะดีกว่า”
“ง่ายมากเลยเ้าค่ะ นายท่านเฝิง ข้าจะเขียนตารางให้ แล้วเขียนชื่อของพวกท่านลุงท่านอาทั้งหลายเอาไว้ หากพวกเขามาทำงานหนึ่งวันท่านก็ใช้พู่กันขีดหนึ่งขีดหลังชื่อพวกเขา เช่นนี้เมื่อถึงสิ้นเดือนเวลาคำนวณค่าแรง ฝั่งข้าจะได้มีหลักฐาน หากว่าท่านลุงท่านอาท่านไหนวันนั้นที่บ้านมีเื่ให้จัดการ ก็ให้แจ้งท่านก่อนสักคำก็ใช้ได้แล้ว”
เสี่ยวหมี่อธิบายให้นายท่านเฝิงฟังด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวหมี่ยัดถุงยาเส้นใส่มือนายท่านเฝิง กล่าวเพิ่มเติมว่า “สิ่งนี้ถือว่าเป็ของแสดงความเคารพจากข้า รอจนคูน้ำสร้างเสร็จแล้ว ข้าจะคำนวณค่าแรงให้ท่านด้วย รับประกันว่าต้องเยอะกว่าพวกท่านลุงท่านอาคนอื่นๆ แน่”
“ฮ่าฮ่า ค่าแรงก็ไม่ต้องหรอก มียาสูบให้ข้าก็พอ”
ทุกคนหัวเราะกันอย่างครื้นเครง ไม่นานก็แยกย้ายกันกลับไป เพียงไม่นานคนทั้งหมู่บ้านก็รู้เื่นี้ สร้างความแตกตื่นไม่น้อย เหมือนดังที่นายท่านเฝิงว่าฤดูกาลนี้เดิมทีก็ไม่เหมาะจะขึ้นเขาล่าสัตว์ ข้าวโพดที่ปลูกที่บ้านพวกนั้นก็เล็กน้อยมาก ปกติพวกผู้หญิงก็สามารถดูแลกันเองได้ พวกผู้ชายนั้นหากไม่มาช่วยสกุลลู่ทำงานก็ว่างไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
ยามนี้สกุลลู่คิดจะทำคูน้ำ ไม่เพียงมีข้าวกินสามมื้อ ทุกเดือนยังได้รับค่าแรงรวมๆ แล้วเกือบหนึ่งตำลึง ใช้เวลาประมาณสองเดือนจึงจะแล้วเสร็จ เช่นนั้นก็จะได้รับค่าแรงมากถึงสองตำลึง เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ค่อยขึ้นเขาไปล่าหนังสัตว์สักผืนสองผืน ก็พอให้คนทั้งครอบครัวอยู่ไปได้ทั้งปีแล้ว หรือจะเอาไปเตรียมสินสอดสินเดิมให้บุตรสาวบุตรชายก็คงเพียงพอ
คิดได้เช่นนี้ เพียงพริบตาก็มีบุรุษยี่สิบคน นายพรานทั้งหนุ่มทั้งวัยกลางคน แต่ละคนล้วนแข็งแรงกำยำมารับงานขุดคูระบายน้ำ
เสี่ยวหมี่ให้พี่ใหญ่ลู่นำคนเข้าเมืองไปหาซื้อเสบียงครั้งใหญ่อีกครั้ง เพราะเพิงเสบียงที่ปากทางขึ้นเขาต่อไปจะต้องทำอาหารเลี้ยงคนจำนวนมาก
ถึงแม้จะเลี้ยงทุกคนด้วยข้าวสวยหรือบะหมี่ชั้นดีไม่ได้ แต่อย่างน้อยแป้งข้าวโพดสำหรับทำแป้งทอดก็ต้องเพียงพอ อีกทั้งกับข้าวก็จำเป็ต้องใส่เนื้อลงไปด้วย ไม่เช่นนั้นทุกคนจะเอาแรงมาจากไหนกัน
ท่านป้าหลิวรู้ทั้งรู้ว่าเงินที่จ่ายไปไม่ใช่เงินของบ้านนาง แต่ก็ยังอดปวดใจไม่ได้ ตกกลางคืนก็มาหาเสี่ยวหมี่เพื่อปรึกษาว่า จะผสมพวกหญ้าป่าลงไปในแป้งทอดบ้างดีหรือไม่
เสี่ยวหมี่ได้ยินก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รีบห้ามนางไว้ จากนั้นจึงเล่าให้ฟังว่ากระต่ายน้อยก่อนหน้านี้ขายได้ราคาเท่าไร ทำเอาท่านป้าหลิวตกอกใ ปากอ้ากว้างหุบไม่ลง กระต่ายตัวเดียวก็พอจะสร้างคูระบายน้ำได้สองรอบแล้ว ไม่น่าเล่าเสี่ยวหมี่ถึงไม่กังวลเลย...
เสี่ยวหมี่ยกของกินเล่นถ้วยหนึ่งมาให้ท่านป้าหลิวนำกลับไปฝากกุ้ยจือเอ๋อร์ จากนั้นก็พูดขึ้นว่าพวกพี่สะใภ้ที่ไปช่วยที่เพิงทำอาหารก็ควรได้รับค่าจ้างเช่นกัน
ท่านป้าหลิวเป็ตายอย่างไรก็ไม่ยอม “ไม่ได้ๆ พวกเราไม่ได้ทำงานใช้แรงงานอะไรเสียหน่อย ก็แค่จุดไฟทำกับข้าว อีกอย่าง พวกเรายังกินอาหารที่เพิงวันละตั้งสองมื้อด้วย ประหยัดเสบียงในบ้านไปไม่น้อยแล้ว จะหน้าหนารับค่าแรงอีกไม่ได้”
เสี่ยวหมี่ยังคงยืนยันเช่นเดิม “ท่านป้า คูน้ำนี้คงต้องใช้เวลาถึงสองเดือนกว่าจะทำเสร็จ หากแค่ไม่กี่วันข้าคงไม่พูดอะไร แต่เวลายาวนานถึงสองเดือน ต่อให้ที่บ้านท่านป้ามีพี่กุ้ยจือเอ๋อร์คอยจัดการดูแล แต่บ้านคนอื่นๆ อาจไม่เป็เช่นนี้ มีคนแก่และเด็กๆ อยู่ที่บ้าน จะมาช่วยข้าทุกวันก็ไม่เหมาะ หากได้รับค่าแรง พวกพี่สะใภ้ก็จะยืดอกบอกกับคนที่บ้านได้ว่าพวกนางออกมาทำงานเช่นกัน”
“เด็กคนนี้ช่างจิตใจดี คิดอะไรรอบคอบจริงๆ”
แน่นอนว่าท่านป้าหลิวเองก็เข้าใจเหตุผลนี้เป็อย่างดี แต่นางยังคงคิดว่าคนในหมู่บ้านเดียวกัน ควรแล้วที่จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำงานเล็กๆ น้อยๆ จะรับค่าจ้างได้อย่างไร เช่นนี้ก็ขายหน้าเกินไป
แต่เสี่ยวหมี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว นางไม่อาจคัดค้านได้อีก ทำได้เพียงตอบตกลง จากนั้นก็ถือขนมกลับบ้านไป เตรียมจะไปกระจายข่าวให้พวกผู้หญิงทราบ วันหน้าจะต้องมีสติกันให้มาก เสี่ยวหมี่มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่ อย่าให้ผิดต่อน้ำใจของเสี่ยวหมี่เป็อันขาด
เมื่อเสี่ยวหมี่ส่งท่านป้าหลิวกลับไปแล้ว ก็รู้สึกปวดเมื่อยตัวจากการยุ่งมาทั้งวัน นางจึงไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วเตรียมเข้านอน
ด้านนอกจันทร์กระจ่างเต็มดวง สาดแสงเข้ามาด้านในหน้าต่าง ทำให้เกิดเงาขึ้นภายในห้อง
มีเงาสี่เหลี่ยมคาดว่าคงเป็กล่องเข็มด้าย มีเงากลมๆ คาดว่าคงเป็แท่นหมึก มีเงาคนคาดว่าคงเป็...
เสี่ยวหมี่รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งแผ่นหลัง นางลุกขึ้นนั่งอย่างใ ตอนที่คิดจะร้องะโนั้น แผ่นหลังพลันชาวาบแล้วนางก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
เหงื่อเย็นผุดพรายเต็มหน้าผากของนาง มีคนอื่นอยู่ในห้องั้แ่เมื่อใดกัน
คงเป็่ที่นางออกไปส่งท่านป้าหลิว ตอนกลับมาก่อนเป่าเทียนก็ไม่ได้ตั้งใจสังเกตอย่างละเอียด
ยามนี้พี่รองลู่ไม่อยู่บ้าน เฝิงเจี่ยนนายบ่าวก็ไม่อยู่ เรือนหน้ามีบิดาลู่และพี่ใหญ่ลู่ที่ไม่เป็วรยุทธ์ รวมกับผู้เฒ่าหยางอีกคนซึ่งก็อายุมากแล้ว...
นางควรทำอย่างไรดี?
คล้ายว่าเงาร่างนั้นจะแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครมาช่วยเสี่ยวหมี่ได้ หลังจากเงียบอยู่นานแล้วจึงค่อยๆ เดินออกมาจากเงามืด ตอนที่เสี่ยวหมี่ล้มตัวลงนอนนั้นศีรษะหันไปทางหน้าต่าง ยามนี้นางค่อยๆ เห็นเงาร่างของคนผู้นั้นเดินออกมาจากเงามืด ออกมารับแสงจันทร์
คนผู้นั้นเป็ชายอายุสี่สิบกว่า รูปร่างสูงใหญ่ สีหน้าเ็า ไม่ใช่ความเ็าแบบที่พยายามสร้างหรือแสดงออกมา แต่เป็ความเ็าที่สาดออกมาจากดวงตาคู่นั้น สายตาที่กวาดมองพิจารณาเสี่ยวหมี่ทำให้นางหนาวสั่น
เสี่ยวหมี่ยิ่งมีเหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก สถานการณ์เช่นนี้แหละที่นางหวาดกลัวที่สุด หากผู้มามุ่งเป้าไปที่วิธีเพาะปลูกของสกุลลู่ หรือเงินทองที่เก็บไว้ในสกุลลู่ ยังนับว่าจัดการได้ นางยังรู้ว่าจะจัดการป้องกันตัวอย่างไร
แต่คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นโดยที่นางคาดเดาไม่ถูกว่าเขามีเป้าหมายอะไร นางจึงไม่สามารถคิดหาวิธีรับมือได้
คล้ายว่าคนผู้นั้นจะไม่พอใจที่เสี่ยวหมี่กลอกตาไปมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จึงขมวดคิ้ว
เขาหันกายไปหยิบพู่กันกับกระดาษ อาศัยแสงจันทร์เขียนอักษรแล้วส่งไปตรงหน้าเสี่ยวหมี่
เสี่ยวหมี่ก้มหน้าไม่ได้นางขยับได้แค่ดวงตา เหลือบลงมองตัวอักษรบนกระดาษ “เ้ารองสกุลลู่อยู่ที่ใด?”
เสี่ยวหมี่อยากจะจับพี่รองลู่กลับมาแล่เนื้อเขาลงไปต้มในหม้อเสียเดี๋ยวนี้ พี่ชายคนนี้ช่างพึ่งพาไม่ได้เลยจริงๆ หนีหายไปตั้งนานไม่พอ ยังดึงดูดอันตรายมาให้นางอีก
ไม่สิ เหตุใดอาภรณ์ของชายคนนี้ถึงได้คุ้นตานัก...
เขาเห็นเสี่ยวหมี่ไม่พูดอะไรก็ยิ่งหงุดหงิด เขาโยนกระดาษทิ้งไป
เสี่ยวหมี่ทำได้แค่หลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกโดยไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวต่อเขาอีก
แรกเริ่มชายคนนั้นขมวดคิ้วแน่น แต่สักพักก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงยื่นนิ้วออกไปคลายจุดบนร่างเสี่ยวหมี่
เมื่อเสี่ยวหมี่ได้รับอิสระอีกครั้ง นางก็ร่ายคำด่ายาวเหยียดออกมาทันที
“เ้ารองลู่สมควรตาย รอเ้ากลับมาก่อนเถอะ หากข้ายังให้ข้าวเ้ากินอีก ข้าจะ ข้าจะ...ให้บิดาถลกหนังเ้าออกมา”
คนคนนั้นเหมือนจะใเล็กน้อย
เสี่ยวหมี่หอบหายใจ นางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เส้นเอ็นเขียวบนขมับปูดโปน
“เ้ารองลู่เดินทางเอาของไปส่งให้พี่สามของข้าที่สำนักศึกษา ไปตั้งเป็เดือนแล้วก็ไม่รู้จักลับมา ท่านคืออาจารย์ของเขาที่พักอยู่บนเขาคนนั้นใช่หรือไม่?เสียทีที่ข้าอุตส่าห์ทำเสื้อผ้าอาภรณ์ผ้าปูที่นอนผ้าห่ม รวมถึงอาหารดีๆ มากมายฝากไปให้ท่าน ท่านเป็ห่วงเ้ารองลู่ก็เขียนจดหมายมาถามก็ใช้ได้แล้ว เหตุใดจะต้องบุกมาที่ห้องของข้าในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ด้วย หากลือออกไป ต่อไปข้าจะแต่งให้ใครได้อีก? อีกอย่าง บ้านข้าก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเป็วรยุทธ์ หากว่าพี่ใหญ่เฝิงอยู่ เชื่อเถอะว่าเขาจะต้องอัดท่านจนน่วมแน่ๆ ท่านอายุเท่าไรแล้ว เหตุใดยังหน้าไม่อาย...”
เชิงอรรถ
[1] ฉื่อ(尺)หน่วยวัดของจีน 1 ฉื่อเท่ากับ 33.33 เซ็นติเมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้