หลิวฉีซื่อมาจากจวนตระกูลหวง แม้ว่าจะเป็ชนชั้นต่ำต้อย แต่การแต่งงานกับหลิวต้าฟู่แห่งหมู่บ้านสามสิบลี้ก็นับว่าเป็การแต่งลดระดับลงล่าง ด้วยเหตุนี้ หลายปีมานี้ในใจของนางจึงมีแต่ความอัดอั้น ถึงอย่างไรนางก็จะกล่าวกับบรรดาเพื่อนฝูงด้วยท่าทางสูงส่งว่า แม้นางจะแต่งงานลดระดับ แต่เมื่อออกจากรั้วตระกูลใหญ่ ชีวิตของนางต้องดีกว่าพวกนางแน่นอน
หลิวเสี่ยวหลันฟังด้วยความตั้งใจ แล้วก็ขอให้หลิวฉีซื่อเล่าเื่ราวข้างในรั้วบ้านตระกูลใหญ่ให้ฟัง หลังจากฟังแผนการชั่วร้ายต่างๆ เ่าั้ ในใจก็คิดหาหนทางจะใช้แผนการเหล่านี้กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะหลิวเต้าเซียงนางตัวดี นับั้แ่นางถูกกระแทกกับเสาไม้หนนั้น ทุกครั้งที่พยายามหาเื่ นางก็มักจะรอดตัวไปได้
ขณะที่หลิวฉีซื่อถ่ายทอดวิชาให้หลิวเสี่ยวหลัน นางก็กำลังคิดว่าจะให้คนมาทำความสะอาดห้องทางทิศใต้
จางกุ้ยฮัวเพียงแค่ตอบรับ
เมื่อต้นกระวานโน้มกิ่ง เป็สัญญาณแห่งการมาเยือนของเทศกาลแสนดีงาม
พริบตาผ่านไปก็ถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ รุ่งเช้า หลิวเต้าเซียงถูกหลิวฉีซื่อสั่งให้ขึ้นเขาไปเก็บเห็ดป่ากลับมา
อาศัยตอนเช้าที่อากาศยังเย็น สองพี่น้องก็นัดหลี่ชุ่ยฮัวไปบนหลังเชิงเขาด้วยกัน ขณะที่ผ่านบ้านหลี่เจิ้ง ก็เจอกับหวงเสียวหู่พอดี
เขารีบะโให้ทั้งสามคนหยุดก่อน พวกเขาจึงยืนรออย่างมึนงง
ไม่นานนักก็เห็นเขาใช้เสื้อห่อถั่วลิสงคั่วออกมา
“มาเร็วๆๆ ท่านแม่ข้าเอากลับมา รสชาติดียิ่งนัก”
ดินในหมู่บ้านสามสิบลี้เป็แบบดินแข็ง จึงปลูกถั่วลิสงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้หวงเสียวหู่ถึงได้กล่าวเช่นนี้
หลิวเต้าเซียงกับคนอื่นๆ หัวเราะร่าพร้อมกับรับถั่วลิสงคั่วไป จากนั้นก็บอกว่าพวกนางกำลังจะไปเก็บเห็ดป่า แล้วถามเขาว่าจะไปด้วยกันหรือไม่
หวงเสียวหู่เบื่อหน่ายบิดาที่เพิ่งกลับมาเอาแต่ทดสอบความรู้ของเขา จึงส่งเสียงออกมาว่า “ท่านย่า ข้าจะไปหลังเชิงเขาเก็บเห็ดป่ามาให้ท่านพ่อแกล้มสุรา”
โกหก!
เด็กสาวทั้งสามกลอกตาขึ้น มีใครเคยเห็นคนเอาเห็ดป่ามาแกล้มสุราบ้าง?
“นี่ พวกเ้ารอก่อน ข้าจะไปเรียกตงจื่อ”
ครอบครัวของตงจื่อพึ่งพาการขายเต้าหู้เพื่อความอยู่รอด ทำให้พอมีรายได้อยู่บ้าง จึงส่งให้เขามาเรียนกับหวงเสียวหู่
หวงเสียวหู่ทำอะไรก็คล่องแคล่วว่องไว คิดจะทำอะไรก็ทำดุจดั่งสายลม ไม่นานนักก็พาตงจื่อให้วิ่งมาด้วยอย่างสุดชีวิต มือซ้ายจับมือเขา ส่วนมือขวาก็ส่ายไปตามแรงวิ่ง ดูเหมือนจะเป็หนทางเดียวที่ทำให้เขาวิ่งมาได้เร็วที่สุด
ในไม่ช้าทั้งสองคนก็มาถึงตำแหน่งที่หลิวเต้าเซียงและเพื่อนรออยู่ หวงเสียวหู่กะพริบตาใส่หลิวเต้าเซียง ส่งความหมายว่าเป็เช่นไร เขาเก่งกาจมากใช่หรือไม่?
หลิวเต้าเซียงคร้านจะสนใจเขา จึงสะบัดผมดำขลับให้แทน
เมื่อมีเพื่อนฝูงไปหลังเชิงเขาเพื่อเก็บเห็ดป่าด้วยกัน เก็บได้เท่าไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าทุกคนต่างเฮฮาเล่นกันสนุกสนาน นับว่าเป็การฆ่าเวลาได้อย่างดี
พริบตาเดียวก็ใกล้เที่ยง หลิวเต้าเซียงประมาณในใจคร่าวๆ น่าจะราวสิบนาฬิกาสามสิบนาทีเศษ อีกหนึ่งชั่วยามครึ่ง ในหมู่บ้านก็น่าจะเริ่มเห็นควันลอยออกมาจากปล่อง
“นี่ พวกเ้าดูนั่น เหมือนจะมีรถม้ามาหนึ่งคัน?” ตงจื่อปีนขึ้นต้นไม้คิดจะเก็บพุทราอินเดียที่เริ่มสุกมากินให้หายอยาก
ประจวบเหมาะที่เขาเห็นถนนด้านหน้าหมู่บ้าน ไกลออกไปมีเงาดำกำลังเคลื่อนมาทางนี้
หวงเสียวหู่ตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง “ไม่ใช่ของบ้านข้าแน่นอน ท่านพ่อกับท่านแม่ข้ากลับมาถึงแล้ว ลุงใหญ่ อารอง ก็กลับมากันทั้งครอบครัว”
หลี่ชุ่ยฮัวหันไปมอง แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่ของบ้านข้าด้วย”
จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองตงจื่อที่อยู่บนต้นไม้ แล้วเร่งให้เขารีบโยนพุทราอินเดียลงมา
ขณะนี้หลิวเต้าเซียงกำลังมองไปที่รถม้าที่เคลื่อนตามทางถนนอย่างนึกสงสัย
หวงเสียวหู่เอ็นดูแม่สาวน้อยที่เป็เด็กดีและฉลาดหลักแหลม จึงยื่นมือไปตีศีรษะเล็กของนางเบาๆ แล้วเอ่ยถาม “มีสติหน่อย ขืนเหม่อลอยประเดี๋ยวจะไม่ได้กินพุทราอินเดียนะ ข้าว่า ถึงแม้ผู้ใหญ่ในบ้านเ้ากลับมา ฮ่าๆ นั่นก็คงไม่ใช่เื่ดีเท่าไร”
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาและดุ ปากอีกา!
คราวที่แล้วที่เขาบอกว่าหลิวฉีซื่ออาจจะหาบ้านเล็กให้ลุงรอง ก็เป็จริงตามนั้น
หลิวชิวเซียงส่งเสียงดังขึ้นข้างๆ “เสียวหู่ เ้าห้ามรังแกน้องรองข้า”
“ข้ารังแกนางที่ไหน? ข้าแค่พูดความจริง” หวงเสียวหู่ไม่คิดว่าตนเองพูดผิดแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกว่าหลิวเต้าเซียงเป็คนที่ใครเห็นก็รัก
เช่นเดียวกับท่านย่าของเขาที่มักจะบอกว่าหลิวเต้าเซียงเป็เด็กดี รู้คิดเป็ หากว่าได้มาเป็สะใภ้คงไม่เลว
สายตาของย่าหวงช่างคมกริบ อ่านคนได้แม่นยำ นางคิดว่าหลิวเต้าเซียงต้องเป็หญิงสาวที่ดีงามได้แน่นอน
หวงเสียวหู่ได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงทันใด นี่อะไรกัน คิดถึงสมัยก่อน หลิวเต้าเซียงเพิ่งจะตัวนิดเดียว เขายังเคยช่วยน้ากุ้ยฮัวพาหลิวเต้าเซียงอึ แล้วก็เปลี่ยนผ้าอ้อมด้วย
หวงเสียวหู่ทำปากดูไม่จืด คิดถึงภาพนั้นช่างงดงาม งดงามจนไม่น่านึกถึง
ดังนั้นแล้ว กิ่งทองใบหยกก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรักใคร่กันได้
หวงเสียวหู่กำลังคิดฟุ้งซ่านในใจ ขณะนั้นเองหลิวชิวเซียงก็ดึงหลิวเต้าเซียงไปข้างๆ แล้วเอ่ยถามเสียงค่อย “หรือจะเป็ลูกพี่ลูกน้องเรา”
หลังอาหารค่ำเมื่อวาน หลิวฉีซื่อก็เรียกจางกุ้ยฮัวไปแล้วเอ่ยถามเื่ราวทุกอย่างโดยละเอียด เมื่อได้ยินว่าจางกุ้ยฮัวเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งด้านในและด้านนอกเสร็จสรรพ ถึงได้ปล่อยให้กลับห้องนอน
หลังจากที่หลิวเต้าเซียงรู้เื่นี้ นางอยากสบถว่า ผายลมน่า การกระทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่ออยากแสดงว่า ตัวหลิวฉีซื่อที่เป็หัวหน้าย่อมแตกต่างจากคนรับใช้อื่นๆ
หลิวเต้าเซียงเองก็คิดว่าที่พี่สาวของตนพูดมานั้นมีความเป็ไปได้
นางเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์แล้วพูดกับหวงเสียวหู่และคนอื่นๆ ว่า “วันนี้แดดแรงเกินไป หรือไม่ เรากลับบ้านกันดีกว่า”
หวงเสียวหู่แหวกพงหญ้าอยู่สักพัก ตอนนี้เหงื่อซึมและมีเศษหญ้าเกี่ยวติดตัวเต็มไปหมด หากว่าก่อนหน้านี้ไม่นึกเสียดายพุทราอินเดียเ่าั้ เขาคงเร่งทุกคนให้รีบกลับบ้านแล้ว
“ข้าว่าพอสมควรแล้ว เราเอาเห็ดป่าให้บ้านเต้าเซียงเถอะ ส่วนพุทราอินเดียก็แบ่งกันทุกคน ใช่แล้ว เหลือให้พวกนางสองคนได้หอบกลับไปหน่อย”
ทุกคนรู้ว่าคนในครอบครัวของหลิวเต้าเซียงเป็เช่นไร ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคัดค้านกับการแบ่งเช่นนี้
หลิวเต้าเซียงบอกว่าไม่จำเป็ วันนี้เทศกาล ทุกคนตั้งใจขึ้นเขามาเหนื่อยตั้งครึ่งค่อนวัน จะได้แบ่งเอากลับไปทำกินกันที่บ้าน
หลี่ชุ่ยฮัวขยับตัวคนแรก หยิบตะกร้าของตนเองแล้วเทเข้าตะกร้าของหลิวเต้าเซียง หัวเราะร่าแล้วเอ่ย “บ้านข้าตอนเช้ากินข้าวที่บ้านปู่กับย่า กลางวัน แม่ข้าบอกว่าจะไปกินข้าวกับลุงใหญ่ที่ทิศตะวันออกของหมู่บ้านพร้อมปู่ย่า ส่วนอาหารค่ำก็ไปกินบ้านลุงรอง”
ดังนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็ต้องใช้เห็ดเหล่านี้
“ยังมีข้าอีก แม่สาวน้อย คิดอะไรมากมายนัก ข้าบอกให้รับไว้ก็รับไว้เถิด”
หวงเสียวหู่เทเห็ดป่าในตะกร้าของตนเข้าไปในตะกร้าของหลิวเต้าเซียงโดยไม่รอให้นางได้เอ่ยปาก พอเสร็จแล้วก็ส่งสายตาให้ตงจื่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องกับตงจื่อนั้นทั่วๆ ไป แต่ท่านแม่ของเขาร้ายกาจ นอกจากหลานๆ ของบ้านหลี่เจิ้ง ก็ไม่ได้ชื่นชอบเด็กบ้านอื่น
ตงจื่อลังเลเล็กน้อย แต่เห็นหวงเสียวหู่จ้องเขม็งมาทางเขา จึงหิ้วตะกร้าเดินไปอย่างว่าง่าย “น้องเต้าเซียง ข้าก็ให้เ้าด้วย”
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกไปปิดตะกร้าไว้ ไม่ให้เขาเทเข้าตะกร้าตนเอง “เ้าไม่กลัวแม่เ้าว่าหรือ?”
เมื่อตงจื่อถูกนางถามเช่นนี้ก็ลำบากใจ หลิวเต้าเซียงยิ่งเห็นว่ารับไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยกับหวงเสียวหู่ว่า “พี่หูจื่อ เห็ดเหล่านี้ก็พอกินแล้ว ของพี่ตงจื่อข้าไม่เอาดีกว่า”
“เ้าไม่เอาจริงหรือ?” ตงจื่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็กลัวพวกนางหัวเราะเยาะเขาลับหลังว่าใจแคบ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถามย้ำอีกรอบ
เพียงแต่น้ำเสียงของเขาเองก็ไม่ได้มั่นใจเพียงนั้น
หลิวเต้าเซียงส่ายหน้า ชี้ไปที่รถม้าที่อยู่ไม่ไกลจากทางเข้าหมู่บ้านและยิ้ม “ข้าคิดว่า น่าจะเป็ลูกพี่ลูกน้องของข้ากลับมาแล้ว ตอนนี้คงต้องไปแล้ว”
“อ่า เราต้องกลับแล้วหรือ?” หลิวชิวเซียงหันมามองดูพุทราอินเดียที่ดกเต็มต้น ยังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องของนางที่ไม่ได้สนิทกัน นางอยากเด็ดพุทราอินเดียกลับไปกินให้หายอยากมากกว่า
ขณะยืนอยู่บนหลังเชิงเขาแล้วมองไปรอบทิศ วิสัยทัศน์ก็กว้างไกลมากขึ้น เมื่อมองไปที่ไกลๆ ก็เห็นฝุ่นที่คลุ้งจากรถม้า
หลิวเต้าเซียงพบว่ามีรถม้าเพียงคันเดียว เดาว่าหลิวสี่กุ้ยกับหลิวหลี่ซื่อคงไม่สะดวกมาด้วย
“ท่านพี่ เรากลับกันเถอะ หากกลับไปช้า เกรงว่าท่านย่าคงไม่พอใจอีก”
หากทำได้ หลิวเต้าเซียงไม่ได้้าไปเจอลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้สนิทกันแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ
หลิวชิวเซียงพยักหน้าแล้วแบกตะกร้าเล็กๆ ขึ้นหลัง จากนั้นจูงมือของหลิวเต้าเซียง แล้วหันมาบอกกับหวงเสียวหู่และคนอื่นๆ ว่า “เรากลับกันเถิด”
หวงเสียวหู่ยืนอยู่บนที่สูง มองดูดวงอาทิตย์ปกคลุมทั้งหมู่บ้าน ผืนนาแล้วก็ถนนจนขาวโพลนไปหมด แสงอาทิตย์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว กระนั้นจึงเรียกคนที่เหลือให้ลงเขาพร้อมกับสองพี่น้อง
คนทั้งหมดกลับมาถึงหมู่บ้าน ทุกบ้านต่างก็แขวนชังผู อ้ายเถียว [1] อีกทั้งตลอดทางยังเจอคนแปลกหน้าไม่น้อย ล้วนเป็ญาติสหายของคนในหมู่บ้าน
“ชิวเซียง เต้าเซียง เหตุใดพวกเ้าถึงเพิ่งกลับมา แม่บอกแล้วไม่ใช่หรือ วันนี้คือ่กลางฤดูใบไม้ร่วง สัตว์ป่าบนหลังเชิงเขานั้นมีพิษมากที่สุด ห้ามพวกเ้าไปยังที่แห่งนั้น”
จางกุ้ยฮัวเห็นว่าสองพี่น้องมีเศษหญ้าติดเต็มตัวจึงรู้ว่าได้ขึ้นไปบนเขา นางรีบร้อนวางกะละมังไม้ลงแล้ววิ่งมาทางบุตรสาว คว้าตัวทั้งสองมาสำรวจ เมื่อเห็นว่าพวกนางไม่ได้โดนแมลงมีพิษกัด จึงโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
“แม่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้พวกเ้าหาที่หลังเชิงเขาแค่พอประมาณ หาได้ก็หาไป แต่ถึงหาไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะต้องกินวันนี้เสียเมื่อไร”
เสียงของนางค่อยมาก เพราะกลัวว่าหลิวฉีซื่อจะได้ยิน
หลิวเต้าเซียงกอดแขนของนางพร้อมกับออดอ้อนเสียงหวาน “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องห่วง วันนี้พวกเราเจอพี่หูจื่อแล้วก็ตงจื่อ ชุ่ยฮัว เห็นว่าคนเยอะ จึงเดินเข้าไปในเขาเล็กน้อย ไม่ได้ไกลนัก”
นางยังชี้ไปที่เห็ดในตะกร้าไม้ไผ่ขนาดเล็กบนหลังหลิวชิวเซียงและเอ่ยว่า “เห็ดเหล่านี้รวมของพี่หูจื่อกับชุ่ยฮัวด้วย ลำพังข้ากับท่านพี่ไม่กล้าไปเก็บบนหลังเชิงเขาเอง ท่านแม่ก็บอกแล้วว่า งู่กลางฤดูใบไม้ร่วงนั้นมีพิษร้ายแรงที่สุด”
จางกุ้ยฮัวยินดีเห็นบุตรสาวทั้งสองกลับมามือเปล่าเสียยังจะดีกว่า แม้ว่าจะถูกหลิวฉีซื่อด่าก็ไม่เป็ไร ขอเพียงบุตรสาวทั้งสองคนปลอดภัย นางก็วางใจ
หลิวชิวเซียงที่อยู่ด้านข้างปลดตะกร้าของตนวางไว้ แล้วจึงเอ่ย “อ้อ ท่านแม่ ก่อนหน้านี้พวกข้าเห็นรถม้าจากบนเชิงเขาเข้ามาที่นี่ ใช่พี่จื้อเซิ่งกับพี่เฉี่ยวเอ๋อร์กลับมาหรือไม่?”
-----
เชิงอรรถ
[1] 挂艾草、菖蒲 guà ài cǎo 、chāng pú แขวนอ้ายเฉ่า ชังผู ตามธรรมเนียมชาวจีนจะนำพืช 2 ชนิดนี้มาแขวนไว้ตรงประตูหน้าบ้าน เพราะเชื่อว่าสามารถขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งหลาย
อ้ายเฉ่า คนไทยเรียกว่า โกฐจุฬาลัมพา มีสรรพคุณขับไล่ความชื้นและความหนาวเย็น ขับเสมหะ บรรเทาอาการแผลไฟไหม้ อีกทั้งยังมีกลิ่นฉุน สามารถขับไล่แมลง งู และสัตว์มีพิษต่างๆ
ส่วน ชังผู คนไทยเรียกว่า ว่านน้ำ มีสรรพคุณทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า และฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้
ที่มาแหล่งอ้างอิงhttps://www.facebook.com/OKLSschool/photos/a.2700107293342500/2700107476675815/?type=3
