อวิ๋นอี้รู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่หรงซิวพูด สุดท้ายก็พยักหน้าตอบรับภายใต้การเกลี้ยกล่อมของเขา
“ไปครานี้อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งเดือน หากระหว่างนั้นไทเฮามีรับสั่งให้ข้าเข้าวัง เื่ต่างๆ จะไม่เปิดเผยไปหรือเพคะ? ถึงเวลานั้นนางจะสั่งสอนข้าอีกจะทำเช่นไรดี?” ในขณะที่สบายใจอยู่นั้นนางก็ยังไม่ลืมที่จะคิดถึงไทเฮาที่คอยจะจับผิดนางอยู่เสมอ พลันพูดอย่างบูดบึ้ง
ไทเฮาไล่นางกลับจวนอวิ๋นก็เพื่อจะสร้างโอกาสให้เขากับหว่านฉือได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองคนหากนางแอบออกจากเมืองหลวงไป แถมยังไปอยู่กับหรงซิวแค่คิดก็รู้ว่าหญิงชราจะโกรธเพียงใด
หรงซิวลูบหัวนางเบาๆ ไม่พูดอันใดเพียงแค่ยิ้ม อวิ๋นอี้มองหน้าเขาก็ขัดใจใช้มือตีแขนเขา “ข้าถามอยู่นะเพคะ!”
“มิมีข้าแล้วเ้าอยู่ในเมืองหลวงต่อไปมิได้ คิดว่าไทเฮาก็คงเข้าใจข้อนี้” เขาทำหน้าทำตาชวนให้โดนตีมาก “ถึงเวลานั้นก็แค่พูดความจริง ความรักที่แท้จริงซาบซึ้งเสมอ”
“ถุ้ย!”
เขาพูดพลางเอนหัวส่ายไปมาอยู่ที่ร่างนาง อวิ๋นอี้ผลักออกอย่างรังเกียจ “เช่นนั้นข้าไม่ไปแล้วเพคะ!”
“เมียจ๋า เมียจ๋า!” หรงซิวจริงจังขึ้นมาทันใด พูดอย่างอ้อนวอน “ข้ามิมีเ้ามิได้นะ! หากเ้าไม่ไปกับข้า เื่นี้ข้าจะไม่รับทำแล้ว!”
บุรุษออดอ้อนวิงวอนขึ้นมา รับมือยากกว่าสตรีนัก
นางทำหน้านิ่งเ็าจงใจไม่สนใจเขา แต่มองดูท่าทีอ้อนวอนของเขาต่างๆ นานาจนเหนื่อยแล้วนอนลง เขาก็แนบตัวมาอย่างไร้ยางอายเบียดตัวมาอยู่ข้างนางอยู่ร่ำไป
อวิ๋นอี้ไล่เขาออกไปเขาก็ไม่ฟัง กลับยิ่งใช้แรงเข้ามาเยอะกว่าเดิม
“อู้ ฝ่าาเบาหน่อยเพคะ...”
“ข้ายังไม่เริ่มเลย เ้าเจ็บแล้วหรือ?” เขาพูดอย่างไร้ยางอาย หัวเราะอย่างชั่วร้าย
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้วอยากจะด่าเขาแต่ก็ถูกเขาจูบปิดคำพูดทั้งหมดไว้
จูบนั้นสั้นมากเพราะเช่นไรก็อยู่ที่จวนอวิ๋น หรงซิวไม่กล้าทำอันใด เมื่อเขาได้ผลประโยชน์ที่ตนเองพอใจแล้ว ก็กอดนางราวกับกล่อมเด็ก พูดอย่างอ่อนโยนว่า “พักผ่อนเถิด”
“ฝ่าา!”
“ยังไม่หนำใจอยากจะทำต่อหรือ?”
“......”
หากเปรียบความหน้าด้านกับเขา อวิ๋นอี้ยอมแพ้ นางมุ่ยปากแล้วหันหลังให้เขา ปิดตาลงอย่างหงุดหงิด
คืนนี้ลืมไปแล้วว่าหลับลงได้เช่นไร เมื่อตื่นมาเซียงเหอก็รายงานคำพูดของหรงซิวบอกให้นางเก็บของที่จะต้องเตรียมไป
เซียงเหอไม่เข้าใจจึงพูดอย่างสงสัย “พระชายาจะออกเดินทางหรือเพคะ?”
อวิ๋นอี้ไม่ตอบอันใดเพียงแค่ปัดมือให้นางออกไป
คืนนั้นเองหรงซิวกลับมาอีก
ทำให้นางไม่พอใจอย่างเช่นเคย เมื่อนางโกรธก็หอมจูบเกลี้ยกล่อมนาง
เขาทำอันใดพลการมิได้ เพียงแค่ห่มผ้าห่มให้นางอย่างอ่อนโยน “เก็บของเสร็จแล้วหรือ?”
“เพคะ”
“เช่นนั้นวันพรุ่งเ้าออกไปก่อน ข้าจะให้ยา ชิงไปกับเ้า พวกเ้าถึงนอกเมืองหลวงแล้วให้รอข้า”
“ทางด้านไทเฮา...”
“วางใจเถิด” หรงซิวจูบมุมริมฝีปากนาง “ท่านพ่อตาอยู่ด้วย ข้าได้บอกเขาไว้ก่อนแล้ว”
ความง่วงของอวิ๋นอี้พุ่งขึ้นนางหรี่ตามองเขาหัวหนักๆ เอนลงที่แขนของเขาไม่รู้ว่าคิดถึงหว่านฉือได้เช่นไรจึงถามด้วยความกังวล “หว่านฉือของฝ่าาไปด้วยหรือไม่เพคะ?”
คำพูดเสียดสีของสตรีสาวทำเอาหรงซิวโกรธจนกลอกตาขาว
ในฝ่ามือใหญ่ๆ ของเขาเป็มือของนาง ลูบแรงๆ แล้วพูดอย่างหงุดหงิด “นางไม่ไป”
อวิ๋นอี้พึมพำ “หวังว่าจะเป็เช่นนั้นนะเพคะ”
หรงซิวไม่ชอบที่นางไม่เชื่อฟังจึงจั๊กจี้เอวของนาง ทำเอานางจั๊กจี้จนต้องหนีไปทั่ว เขาไม่เพลามือเลย ทำเอาสาวน้อยต้องยกมือยอมแพ้ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เขาจับนางพลิกตัวกลับมากอดไว้อย่างแน่น ในขณะที่ทั้งสองสบตากัน ริมฝีปากก็ยกขึ้น “นางไม่ไปแน่ เ้าเชื่อข้านะ หากนางไป ข้าจะเป็วัวเป็ม้าให้เ้าเลย”
อวิ๋นอี้ยิ้มแหยแล้วข้ามหัวข้อนี้ไป
ไม่รู้ว่าหรงซิวไปคุยกับอวิ๋นเส่าต้าวเช่นไร ตอนเช้าอีกวันก่อนออกเดินทางอวิ๋นเส่าต้าวได้มาสั่งนางเป็การพิเศษ
นอกจากจะให้นางดูแลตัวเองดีๆ แล้วนั้นยังพูดถึงเื่ระหว่างนางกับหรงซิวที่นานๆ ที่จะพูดด้วย
“องค์ชายก็ลำบากใจ ไทเฮาให้เขาอภิเษกเขาคงจะขัดคำสั่งมิได้ ถึงแม้ว่าจะมิมีหว่านฉือแต่สถานะองค์ชายนั้นสูงศักดิ์จะมีสามเมียสี่สนมนั้นเป็เื่ธรรมดา เ้าเป็พระชายาเอกก็ควรจะรู้ตัว พ่อจะไม่บอกให้เ้าเปิดอกเปิดใจให้กว้าง เพียงแค่หวังว่าเ้าจะเข้าใจ คนเราหากปล่อยวางให้ได้ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างดี” อวิ๋นเส่าต้าวลูบเคราแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่มช้าๆ
อวิ๋นอี้เงียบไปมิได้ตอบโต้อันใด
ในระหว่างหมอกควันอวิ๋นเส่าต้าวถอนหายใจยาวเหลือบมองนางแล้วละสายตาออกมาราวกับถอนหายใจทั้งยังเศร้าและพูดต่อ “หรงซิว เด็กคนนั้นชีวิตมิได้ง่ายดาย บิดาเขาเสียไป มารดาก็หนีออกจากบ้านส่งผลกระทบต่อเขาอย่างมาก เื่มันผ่านไปหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังเหมือนจะเดินออกมาจากความฝังใจครานั้น มิได้ ข้าได้ยินมาว่าเขากำลังค้นหาสาเหตุการตายของพ่อเขา อวิ๋นเออร์หากเ้ามีโอกาสก็เกลี้ยกล่อมเขาหน่อยเถิดว่าให้เขาปล่อยวางเื่นั้นได้แล้ว”
อวิ๋นอี้เงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ความ นางพยายามคิดเื่นี้อย่างถี่ถ้วนก็อดขมวดคิ้วมิได้
ในเื่เกี่ยวกับบิดาของหรงซิวนางก็พอจะรู้อยู่บ้าง
บิดาของหรงซิวกับอวิ๋นเส่าต้าวรวมทั้งฮ่องเต้เป็เพื่อนรักกันเพียงแต่ว่าพ่อสามีที่อายุสั้นผู้นั้นของนางโชคร้ายติดโรคระบาดและเสียชีวิตไป
ในเมื่อเป็เพราะโรคระบาดสาเหตุการตายชัดเจนเช่นนั้น หรงซิวจะยังค้นหาสาเหตุการตายหลังจากที่ผ่านมาหลายปีเช่นนี้อีกทำไมกัน?
หรือว่า...จะมีความจริงอีกอย่างหนึ่ง?
อวิ๋นอี้รู้สึกแปลกใจ “เขาสงสัยว่าใต้เท้าหรงจะมิได้ตายเพราะโรคระบาดหรอกหรือเ้าคะ?”
อวิ๋นเส่าต้าวมือชะงักไป “ก็น่าจะเป็เช่นนั้นล่ะนะ” เขากะพริบตาเล็กน้อยกลบความรู้สึกที่มีอยู่ในแววตา “พ่อหมายถึงว่าให้ลูกพูดบอกเขาว่าไม่ต้องจมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ ราชวงศ์ต้าอวี่ยังมีเื่อีกมากมายที่รอให้เขาไปทำ หากจะใช้ชีวิตอยู่ในอดีตเดินออกมามิได้จะได้ใช้ชีวิตเช่นไร?”
“อ้อเ้าค่ะ ลูกทราบแล้ว”
การสนทนากับอวิ๋นเส่าต้าวถูกอวิ๋นอี้ลืมไปอย่างรวดเร็ว นางมีความสุขกับการเดินทาง อยู่ในเมืองหลวงมากว่าครึ่งปีแล้ว ในที่สุดก็ได้ออกมาสูดอากาศเสียที
ยาชิงมารับนางตามนัด เมื่อขึ้นรถม้าไปก็ใช้โอกาสในตอนที่เมืองหลวงยังไม่พลุกพล่าน ออกไปแล้วทิ้งความเจริญไว้ด้านหลังอย่างราบรื่น
กู่เจิ้นอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลแต่จะบอกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ เมื่อพิจารณาดีๆ แล้วอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงสามชั่วยาม ดีที่ฝีมือการเดินทางของยาชิงดี อวิ๋นอี้มิได้รู้สึกถึงความสมบุกสมบันใดๆ
นางทานๆ ดื่มๆ อยู่ในรถอ่านหนังสืออย่างสบายใจ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลุ่มคนมาถึงกู่เจิ้นท้องฟ้าก็มีราวท้องขาวมัจฉา ยาชิงจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็พานางเข้าไปที่พัก
เรือนสี่ประสาน [1] ไม่ใหญ่นัก สามารถมองเห็นได้ทั้งหมดในคราเดียว
เรือนสี่เป็เรือนหลัก เรือนบูรพามีของวางเยอะแยะเต็มไปหมด น่าจะถูกจัดไว้เป็ห้องเก็บของ เรือนอุดรมีประตูเปิดอยู่สามารถมองเห็นการออกแบบด้านในได้อย่างแปลกตา
ยาชิงทำท่าทางเชิญ “ฮูหยิน เราอยู่ที่นี่ไปก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ รอองค์ชายไปพลางๆ”
อวิ๋นอี้มิได้ติดขัดอันใด
นั่งรถมาหลายชั่วยามลำตัวและเอวก็ปวดร้าวทรมาน นางล้างตัวอย่างง่ายๆ แล้วเข้าไปในเรือนอุดรปิดประตูแล้วหลับไป
หลังจากที่หรงซิวมาถึง เขาก็ย่องเข้าไปในห้อง สตรีสาวยังงัวเงียไม่ตื่นขึ้น
เขามันเขี้ยวตีก้นนาง “ตื่นแล้วหรือยัง? ลุกขึ้นเถิดจะได้ออกเดินทาง”
อวิ๋นอี้ขยี้ตาเหล่มองเขาอย่างไม่เต็มใจแล้วก็เอ่ยปาก “ฝ่าามาแล้วหรือเพคะ?”
“อื้ม ข้าจะอุ้มเ้าไปที่รถ”
จำเป็ต้องรีบเดินทาง จะเสียเวลาเยอะมิได้หากจะรอให้สตรีตัวน้อยอ้อยอิ่งจบ เกรงว่าพรุ่งนี้เช้าถึงจะได้ออกเดินทาง
เพื่อที่จะประหยัดเวลาเขาพูดจบก็ใช้โอกาสในตอนที่นางยังหลับๆ ตื่นๆ อยู่อุ้มนางขึ้นโดยมิได้ถามความสมัครใจของนาง
อวิ๋นอี้ที่มึนงงอยู่กอดคอเขาแล้วให้เขาพานางเข้าไปในรถม้า
เขานั่งลงกับนางเหงื่อก็หยดจากหน้าผากของเขา
ใน่บ่ายของฤดูร้อน อากาศจะอบอ้าวร้อนจนคนหายใจมิออก
ก้อนน้ำแข็งที่เตรียมไว้ในรถม้า ในสภาพอากาศเช่นนี้ก็เป็เพียงน้ำน้อยแพ้ไฟ [1]
อวิ๋นอี้นั่งได้ไม่นานตัวก็เหนียวเหนอะหนะ ความง่วงพลันไม่เหลือแล้ว
หรงซิวปาดเหงื่อให้นางแล้วพูดอย่างปวดใจว่า “ออกจากเมืองหลวงได้ไกลแล้วเราจะหาที่พักกัน ตอนนี้เราต้องเร่งกันก่อน”
เชิงอรรถ
[1] เรือนสี่ประสาน 四合院 เป็บ้านที่มีเรือนสี่ด้านครบทุกทิศเห็นได้มากในมณฑลทางภาคกลางและปักกิ่ง
[2] น้ำน้อยแพ้ไฟ 杯水车薪 หมายถึง พละกำลังน้อยกว่าไม่มีทางชนะ