พลังแบบนี้ น่ากลัวเกินไป!
สำนักกวางขาวเล็กๆ แห่งนี้ มีพวกประหลาดเหนืุ์อยู่จริงๆ หรือ?
และดูแล้วอายุเขาก็ไม่ได้มาก น่าจะประมาณสิบสามสิบสี่เห็นจะได้ คำนวณแล้วก็เป็ศิษย์ปีหนึ่งของสำนักกวางขาวเหมือนกัน...พอคิดมากเข้ายิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก
หากศิษย์พี่สวี่เกอลงมือเองล่ะ จะชนะได้หรือเปล่า?
สี่หน่อเงียบชะงัด เป็ครั้งแรกในชีวิตที่ไม่เชื่อมั่นเต็มร้อยในตัวศิษย์พี่ผู้อัจฉริยะมากความสามารถหลายทาง
“ฮ่าๆ โล่งเปลาะ โคตรโล่งใจเลย!”
“เ่ิูไม่เสียชื่อที่เป็าามารเย่ แข็งแกร่งเรืองอำนาจ ฮ่าๆ ยืนให้เขาต่อยแท้ๆ สุดท้ายคนต่อยกลับแขนแหลกหมดซะนี่”
“เป็ไงเล่า? ยอมหรือยัง? นี่แหละพลังที่แท้จริงของสำนักกวางขาวโว้ย!”
“าามารเย่เป็พันธมิตรเรานับแต่นี้เป็ต้นไปแล้ว!”
“ใช่แล้ว นี่สิลูกผู้ชายที่แท้จริง ฮึ เ้าฉินอู๋ซวงที่เขาว่าเป็อันดับหนึ่งของปีหนึ่ง วันๆ อยู่แต่เบื้องสูง แต่พอสำนักหงส์ฟ้ามากลับไม่เคยเห็นเขาออกหน้าให้พวกเราเลยสักที!”
เหล่านักเรียนกวางขาวปลาบปลื้มยินดี
พวกเขาภาคภูมิใจนัก ต่างก็เดินเข้าหอสมุดไปอย่างอกผายไหล่ผึ่ง
คราวนี้เอง สี่หน่อจากสำนักหงส์ฟ้าก็ไม่กล้าไปขัดขวางอีกเลย
...
เ่ิูเดินเข้ามาในหอสมุดคลังแสง
เขาคุ้นเคยกับที่นี่ยิ่งกว่าอะไรดี รู้ได้ทันทีว่าข่าวคราวการฝึกฝนที่เขา้าอยู่ส่วนไหน ถึงได้เดินตรงไปยังชั้นสาม
ขณะที่ก้าวเหยียบพื้นชั้นสามนั้นเอง เด็กหนุ่มหล่อเหลางามสง่า ผิวขาวดั่งหยก ผมดำยาวก็เดินมาชนไหล่เขา
เขาคนนี้ผิวเนื้อสกาวราวหยก คิ้วและั์ตางดงาม พลังอุดม มุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อย มีรังสีที่ถึงแม้มิได้โกรธทว่าก็น่าเกรงขาม อณูร่างดั่งผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ซื่อสัตย์จริงใจ มือถือพัดสีขาว เดินลงบันไดมาอย่างแช่มช้า
เ่ิูอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปมอง
คนๆ นี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดูจากอาภรณ์แล้วเห็นจะเป็ศิษย์สำนักหงส์ฟ้า อายุไม่ต่างกับเขามาก ทว่าพลังแกร่งยิ่ง ต้องเข้าอาณาน้ำพุิญญาแล้วแน่นอน แกร่งเสียยิ่งกว่าฉินอู๋ซวงมากนัก...หรือจะเป็สวี่เกอที่พวกศิษย์หงส์ฟ้าพูดถึงนั่นกัน?
ทว่าเมื่อเ่ิูมองกลับไปนั้นเอง คนชุดขาวหล่อเหลาก็หันกลับมามองเขาด้วยเช่นกัน
แววตานั้นทั้งตะลึงและใฝ่สู้ ทว่าก็แค่พริบตานั้นเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้อย่างดีเยี่ยม ก่อนหันหลังจากไปตามทาง
เ่ิูเองก็แปลกใจเล็กน้อย
เมื่อครู่นั้น เขารู้สึกถึงพลังภายในในตันเถียนฮึกเหิมขึ้นมา มีอำนาจที่ดึงดูดพลังอย่างยากจะควบคุม ปรารถนายิ่งนักที่จะสู้ศึกสักตั้ง
เด็กหนุ่มชุดขาวจากไป
เ่ิูก็หันหน้ากลับมา
เขาสืบหาข้อมูลที่ตน้าต่อ ไร้กะจิตกะใจจะแบ่งไปคิดเื่อื่น
เื่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว ก็เป็เพียงละครฆ่าเวลาเล็กๆ เท่านั้น
...
“พูดเช่นนี้แสดงว่าเ้าประมือกับเขาแล้วใช่ไหม? เตี่ยนอี้” บุรุษชุดขาวไขว้มือไว้ด้านหลัง เดินบนทางแผ่นหินเล็กๆ ช้าๆ มิเร่งรีบ ตาปราดมองทิวทัศน์รอบด้านอย่างไม่ใส่ใจ
“ใช่ขอรับ ศิษย์พี่สวี่” ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าตาเล็กเดินตามหลังอย่างกระมิดกระเมี้ยน สีหน้าเคารพ
แน่นอนว่ามาพร้อมกับสามคนที่เหลือด้วยเช่นกัน
“รู้ประวัติศิษย์สำนักกวางขาวคนนี้ไหม?” ศิษย์ชุดขาวถามเสียงเบา
“ข้าถามมาแล้ว เขาชื่อเ่ิู เป็ชนชั้นล่างยากจน แต่ยินมาว่าวรยุทธ์เยี่ยมยอด พลังเหนือคนแต่กำเนิด ทำเื่ทุกอย่างให้ง่ายเข้าไว้ ไม่เคยกังวลหรือลังเล เพราะเหตุนั้นถึงได้ฉายาจากนักเรียนสำนักกวางขาวว่าาามารเย่”
เตี่ยนอี้ตอบละล่ำละลั่ก
ในเวลาอันน้อยนิดกลับสืบฟังเื่ราวของเ่ิูมาได้ไม่ต่ำกว่าแปดจากสิบ เตี่ยนอี้ผู้นี้แม้พลังจะไม่แข็งแกร่ง ทว่าไหวพริบฉับไว มีสัญชาตญาณสูง นี่เองก็เป็สาเหตุที่ดาวดวงเด่นของปีหนึ่งสวี่เกอยอมให้เขาเป็ผู้ติดตามมา
“าามารเย่?” หนุ่มชุดขาวหยุดเดินลง ราวว่ามีความคิดบางอย่าง เขาค่อยๆ คลี่ยิ้มบาง “น่าสนใจเหมือนกันนี่ คนๆ นี้สามารถดึงดูดพลังภายในของข้าให้ฮึกเหิมได้ ต้องแกร่งมากแน่แล้ว...ฮะๆ คิดไม่ถึงเลยนะ ว่าสำนักอันดับรั้งท้ายอย่างกวางขาว ที่นับวันจะยิ่งตกต่ำลงเหวเข้าไปทุกที กลับให้กำเนิดต้นกล้าน่าสนใจเพียงนี้ขึ้นมาได้!”
“ศิษย์พี่สวี่ ถ้างั้นเื่ในคราวนี้...” เตี่ยนอี้ลองเชิงอย่างระมัดระวัง เขามีสิ่งที่อยากจะพูด
สวี่เกอยกมือปรามเบาๆ เขาว่า “ข้ารู้ว่าเ้าอยากพูดอะไร แต่ข้าแนะนำว่าให้เ้าหยุดความคิดในใจเ้าเสีย เ้าเทียบชั้นไม่ได้หรอก ข้าเองยังไม่อยากประมือกับเขาชั่วคราวเลย...มาสำนักกวางขาวครานี้ พวกเรายังมีเื่อื่นต้องสะสาง อย่าก่อเื่ก่อราว มิเช่นนั้นแล้วหากอาจารย์เฉินลงโทษขึ้นมา ใครก็ขวางหน้าท่านไม่ได้”
เตี่ยนอี้ผงกหัวรวดเร็ว ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ใจเขาครุ่นคิดหาแผนจะกู้หน้าตัวเองกลับคืนมา ทว่าแม้แต่สวี่เกอยังเอ่ยว่าไม่อยากเผชิญหน้ากับาามารเย่นั่น ดูท่าแล้วศัตรูจะน่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้หลายขุม สุดท้ายจึงล้มเลิกใจคิดแก้แค้นนั่นเสีย
หลายวันต่อจากนี้คงต้องเก็บอาการเสียบ้าง อย่างไรก็อยู่ในเขตแดนคนอื่น หากระรานทำร้าย สุดท้ายคนที่จะแย่คือตัวเอง สำนักกวางขาวแม้จะอ่อนแอ ทว่าการมีคนโเี้โผล่มาคนสองคนก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
สวี่เกอยืนมองภูผาจำลองพ่นวารีไกลๆ ไม่อาจรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด เด็กหนุ่มมิปริปากสักคำเดียว
เตี่ยนอี้และอีกสามคนยืนคอยอย่างนิ่งเงียบ
จวบจนผ่านไปสิบนาทีแล้วนั่น เขาถึงเหมือนจะนึกอะไรออก
เพียงเห็นเขาแบมือออกกว้าง เนื้อหนังมังสาขาวผ่องเสมือนหยก เมื่อกระตุ้นพลังภายใน กลุ่มแสงสีเงินอ่อนจางก็ไหลเวียนอยู่บนฝ่ามือ จากเดิมที่จางนักเป็มันวาวเพริศพริ้ง ไอสีเงินพลันพราวโรจน์ ดั่งจันทราสุกสกาวสองดวงลุกโชน
เตี่ยนอี้เห็นภาพนั้นแล้วใจก็เต้นระรัวไม่เป็ส่ำ ตะลึงไปชั่วขณะ
“ยินดีกับศิษย์พี่สวี่ด้วยขอรับ ในที่สุดก็บรรลุถึง ‘รอยจันทร์เพ็ญ’ สำนักหงส์ฟ้านับแต่ปีสองลงมา ก็ไม่เหลือใครเก่งพอจะเป็คู่ต่อสู้ของท่านอีกแล้วขอรับ” เตี่ยนอี้ยกยอในพลัน
เขารู้ดีว่าสวี่เกอฝึกฝนกระบวนยุทธ์รอยจันทร์เพ็ญมาครึ่งปี แต่ไม่อาจลุถึงแก่นแท้ได้ทั้งหมด ใครจะนึกเล่าว่าพอมาถึงสำนักกวางขาว กลับเข้าใจทะลุปรุโปร่งขึ้นมากะทันหัน
“ก็แค่สำเร็จเล็กๆ เท่านั้นน่า ฮ่าๆ” สวี่เกอยากนักจะปิดบังความดีใจไว้ได้
เขาไม่มีทางไม่ดีใจ
เพราะเมื่อครึ่งปีก่อน ตอน ‘มหาพิธีเลือกทักษะ’ เด็กหนุ่มได้พยายามโต้เถียงสุดกำลังเพื่อจะเลือกฝึกรอยจันทร์เพ็ญ กระบวนต่อสู้ที่อำนาจบาตรใหญ่แต่ยากเย็นแสนเข็ญ ความจริงแล้วได้เอาตัวเผชิญความเสี่ยงมากมาย ความสำเร็จในการฝึกแม้จะกำจัดคู่แข่งในวัยเดียวกันได้ ทว่าหากไม่รีบสัมฤทธิ์เสีย ยังหน่วงเวลาต่อไป ก็อาจถูกคู่ต่อสู้ โค่นได้โดยง่าย
สวี่เกอเคยคิดว่าทั้งพร์และกำลังของตัวเองนั้นจะสำเร็จรอยจันทร์เพ็ญได้ไม่ยาก แต่กลับใช้เวลาถึงครึ่งปีในการฝึกก็ยังไม่อาจเข้าใจถ่องแท้ เกือบจะได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้เสียแล้ว
หากไม่มีคนเบื้องสูงชี้แนะให้เขาฉวยโอกาสตอนที่ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าเยี่ยมเยียนสำนักกวางขาวนี้หาสารบันทึกเนื้อหาในการฝึกฝน นำมาแก้ไขปัญหาค้ำคอนั่นจนหมด น่ากลัวว่าตอนนี้ตนคงยังเดินวนเวียนอยู่กับความปราชัยอยู่เลยกระมัง
“เพียงแต่รอยจันทร์เพ็ญนี้เป็เคล็ดวรยุทธ์ขั้นสูงและลึกล้ำนัก สำนักหงส์ฟ้าไม่มีสารบันทึกอธิบายการฝึกไว้เลย ทำไมหอสมุดคลังแสงในสำนักเล็กๆ อย่างกวางขาวกลับมีเบาะแสเสียได้?”
สวี่เกอฉงนสงสัย คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก
ทว่าสารบันทึกฝึกฝนนั้นเลิศล้ำยิ่งนัก เด็กหนุ่มอ่านเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายความมืดมนและความฉงนทั้งหมดได้ สำเร็จวิชาในทันทีทันใด สวี่เกอก้มหน้าลงมองรอยจันทร์เพ็ญทั้งสองเส้นในมือตน ใจสำราญหาใดเปรียบ
...
หลายวันถัดมา สถานการณ์ทั้งหมดเข้าสู่ความสงบ
แม่หญิงน้อย่เี่ิไม่ปรากฏตัว กลุ่มนักเรียนชั้นสูงก็ไม่กล้ามาตอแยเ่ิูอีก นอกจากการฝึกแล้ว เด็กหนุ่มก็จะผลาญเวลาไปกับการหาข้อมูลการฝึกที่ตนต้องรู้ในหอสมุดคลังแสง
เวินหว่านไปแล้ว เ่ิูไม่มีอาจารย์ที่ใกล้ชิดหลงเหลืออยู่เลย ผนวกรวมกับเื่ศึกสิบสังเวียนสามเดือนก่อนนู้นแล้ว อาจารย์ที่ชาติกำเนิดเป็ชนชั้นสูงก็เปลี่ยนแิที่มีต่อเขา ไม่ค่อยอยากจะแยแสเท่าไรนัก ถึงจะไปขอให้ชี้แนะอย่างนอบน้อมแล้วก็ตามที พวกนั้นก็ทำปิดหูปิดตาไม่สนใจ
เ่ิูหงุดหงิดนัก เลิกคิดจะไปขอความรู้จากอาจารย์ของสำนักอย่างเด็ดขาด และมาควานหาคำตอบเอาเองจากคัมภีร์ทุกประเภทในหอสมุดคลังแสง
ดีที่บัตรผ่านซึ่งหัวหน้าหมวดหวังมอบให้เขามานั้นไม่เพียงแต่ช่วยให้อ่านหรือสำรวจทุกเล่มที่้าได้เท่านั้น ยังสามารถไปสืบค้นที่หอสมุดสาธารณะในเขตปีสองได้อีกด้วย
ความจำเขาดีจนน่ากลัว สติปัญญาก็มากแทบบ้า ยังมีวิชาควบคุมลมหายใจลึกลับนั่นเป็ทัพหน้าอีก เคล็ดวรยุทธ์และวิชายุทธ์มากมายเพียงใด ขอแค่มีคัมภีร์ให้อ่าน เ่ิูก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง พัฒนารวดเร็วจนน่าทึ่งได้เหมือนกันหมด
เ่ิูเองก็ชอบวิธีฝึกแบบนี้ หลีกเลี่ยงนักเรียนคนอื่น ไม่ต้องเอาพลังกายพลังใจไปเสียกับการรับมือกับพวกหาพวกสะสมกำลังนั่นดี
พริบตาก็ผ่านไปอีกสิบวัน
วันนี้อากาศแจ่มใส พระอาทิตย์เจิดจ้า
คาบเช้าของเ่ิูจบลงแล้ว เปลี่ยนอาภรณ์เป็ชุดยาว เครื่องแบบสะอาดสะอ้าน แบกหอกพร้อมปลอกไว้บนหลัง ตรงไปยังห้องกิจการการศึกษาของปีหนึ่ง เตรียมยื่นเื่การพิจารณาเลื่อนชั้นสู่ปีสอง
เื่ที่ศิษย์ปีหนึ่งจำเป็ต้องเรียน เขาได้เรียนหมดสิ้นแล้ว
เข้าสู่ปีสองเมื่อใด นอกจากการฝึกพลังภายในกายของตนแล้ว นักเรียนยังสามารถััปาฏิหาริย์ของกระบวนอักขระและอาวุธอักขระทั้งสองประเภท ถึงแม้จะไว้เพื่อช่วยเสริมทักษะฝีมือ แต่ก็เป็ส่วนประกอบสำคัญที่เติมเต็มพลังกายในตัวนักยุทธ์เองด้วยเช่นกัน
และเป็ส่วนที่เ่ิูอยากเร่งเรียนให้ไวที่สุด
ระหว่างทางพบนักเรียนสำนักเดียวกันไม่น้อย พวกเขามองเห็นเ่ิูเดินผ่านมา มีทั้งคนที่ก้มหัวก้าวผ่านไปไวๆ และเอ่ยทักทายอย่างกลัว ๆ กลุ่มศิษย์คนยากรวมตัวกัน อยากจะเข้ามาพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่เข้ามาใกล้...
ในบรรดาศิษย์ปีหนึ่งทั้งหมดแล้ว เ่ิูเป็หนึ่งในคนพิเศษที่สุดอย่างแน่แท้
ท่ามกลางการรับรู้ของเด็กนักเรียน เขาก็เหมือนกับาามารเย่
ทางเดินบนแผ่นหินแตกแขนงออกเป็ทางสายเล็กๆ ทางบากบั่นตรงไปห้องกิจการการศึกษา ต้องผ่านลานแสดงยุทธ์พอดิบพอดี
เ่ิูหันหน้าไปมองปราดหนึ่ง
ในศึกวันนั้นเขาปรากฏพร้อมหอกคู่กายได้เลือกสังเวียน ทลายศิลาแหวกอากาศธาตุ เกือบจะทำให้ที่นี่กลายเป็ซากปรักหักพัง ทว่าอัตราการซ่อมบำรุงของสำนักกวางขาวนั้นสูงมาก บัดนี้ที่นี่หวนกลับสู่สภาพเดิม โอฬารกว้างใหญ่ สังเวียนที่ตั้งตระหง่านล้วนเป็ระเบียบและสะอาด
ทว่ากลางลานนั้น กลับมีคนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่
บนสังเวียนหมายเลขหนึ่ง มีธงสีขาวและสีน้ำเงินปักปลิวไสวกลางสายลมยามเช้า แต่ละผืนล้วนยาวนัก เขียนด้วยหมึกแดงชาดเป็อักษรสองบรรทัด อักษรแดงดั่งศาสตราคมกริบ อบอวลด้วยจิตสังหาร
“กวางขาวสิ้นเขากวางไร้น้ำยา หงส์ฟ้าแกร่งกล้าถมนภา”