ด้วยคำพูดตรงไปตรงมาของหลินชิงเวยที่เอ่ยออกมาอย่างมิเกรงใจ ส่งผลให้หมอหลวงถอยออกไปด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนทันทีกลับเป็เซียวจิ่นที่หลังจากหายจากการตะลึงไปครู่หนึ่งก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา
เซียวเยี่ยนประพฤติตนประดุจพื้นหลังของภาพวาดอยู่นานพอแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นว่า“ข้าพาพวกนางไปทำแผลที่สำนักหมอหลวง ฝ่าาออกมานานเช่นนี้สมควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว รอให้ทำแผลเรียบร้อยแล้วข้าจะพาหลินซื่อไปเข้าเฝ้าเด็กๆ ส่งฝ่าากลับตำหนักบรรทม”
นางกำนัลที่เฝ้าอยู่ด้านนอกล้วนเป็คนในตำหนักซวี่หยางของเซียวจิ่นได้ยินเสียงข้างในจึงทยอยพากันเข้ามาองครักษ์ข้างกายเซียวจิ่นเข็นเก้าอี้ของเซียวจิ่นออกไปเซียวจิ่นหันหน้ามามองเซียวเยี่ยนแล้วหัวเราะเบาๆ พร้อมกับกล่าวว่า“มีเสด็จอาช่วยจัดการเื่นี้ เช่นนั้นเจิ้นวางใจแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนในเวลานี้ให้นางพักฟื้นร่างกายสักสองวันค่อยมาพบเจิ้นเถิด”
เซียวเยี่ยนพยักหน้าถือว่ารับคำ
หลินชิงเวยมองเซียวจิ่นที่ถูกเข็นเก้าอี้ออกไปนอกตำหนักตลอดเวลาั้แ่ต้นจนจบบนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มบางๆ ตลอดเวลาไม่มีความรู้สึกกล่าวโทษหรือทัศนคติในทางลบ หลินชิงเวยรู้สึกดูแคลนตนเองเหลือเกินทุกครั้งที่ได้พบกับผู้ป่วยซึ่งเป็เด็กน้อยผู้มีหัวใจบริสุทธิ์สะอาดเช่นนางฟ้าความเป็แม่ในตัวของนางก็เริ่มเอ่อท้นขึ้นมาในใจทันที
เซียวจิ่นผู้นี้ทำให้นางรู้สึกทึ่งจริงๆ
รอคนที่ควรออกไปล้วนออกไปแล้ว เซียวเยี่ยนจึงมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลินชิงเวยก้มหน้าลงมองนาง
หลินชิงเวยยังคงหัวเราะเบาๆ “สภาพน่าอเนจอนาถของข้าในเวลานี้ น่าจะสมปรารถนาของท่านอ๋องแล้วกระมัง”
เซียวเยี่ยนมองร่องรอยาแบนลำคอของนาง แม้เขาจะมีสีหน้าสงบนิ่งทว่าดวงตาทั้งคู่ของเขายังคงปรากฏให้เห็นอารมณ์และความรู้สึกอยู่บ้าง เขาหันกายเดินออกไปก่อนที่หลินชิงเวยจะมองเขาพร้อมกับกล่าวว่า“เปิ่นหวางจำได้ว่าเคยบอกกับเ้าว่าเมื่อออกจากตำหนักเย็นแล้วไม่ว่าจะเป็โชคลาภวาสนาหรือเคราะห์ภัยล้วนเป็เื่ไม่แน่นอน”
หลินชิงเวยจูงซินหรูเดินตามหลังเขาไป นางครุ่นคิดแล้วถามว่า “ท่านเคยพูดหรือ?ไฉนข้าจึงจำไม่ได้?”
ซินหรูจึงพูดเสริมขึ้นว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องเคยกล่าวไว้เ้าค่ะว่าเป็โชคลาภวาสนาหรือเคราะห์ภัยก็จะไม่สนใจพี่สาวอีก”
“อ้อ เช่นนั้นเวลานี้ท่านอ๋องกำลังทำอะไรเล่า?”หลินชิงเวยถามขึ้นอย่างเป็ธรรมชาติ
เซียวเยี่ยนชะงักฝีเท้าของตนแล้วหันกลับมามองนางครั้งหนึ่ง “เยี่ยมมากถูกเฆี่ยนตีจนมีสภาพกลายเป็เช่นนี้ยังมีอารมณ์ต่อปากต่อคำดูท่าแล้วควรจะเฆี่ยนตีเ้าอีกสักสองหน”
ออกจากตำหนักคุนเหอหลินชิงเวยหรี่ตาลงมองท้องฟ้าที่กลายเป็สีเทามืดครึ้ม “ก่อนหน้าที่ข้าจะเผชิญความทุกข์ยากข้ายังคิดว่าตัวข้ายังมีประโยชน์และคุณค่าสักสองส่วนต่อท่านอ๋อง”นางพูดด้วยริมฝีปากที่เปื้อนยิ้ม เป็รอยยิ้มที่ไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีได้นางมองเซียวเยี่ยนแม้นางจะตกอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถก็ยังไม่อาจบดบังความสว่างเจิดจ้าที่แผ่ออกมาจากร่างของนางได้เซียวเยี่ยนที่เห็นแล้วจึงมีสีหน้าและแววตาหม่นลงเขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าความหมายในรอยยิ้มของนางเปลี่ยนไปแล้ว “ข้ายังเข้าใจว่าอย่างไรเสียเซ่อเจิ้งอ๋องก็ต้องคิดหาวิธีเพื่อปกป้องคุ้มครองข้าแต่เมื่อข้าเห็นเซ่อเจิ้งอ๋องวางตัวราวกับเป็ผู้ไม่เกี่ยวข้องแล้วจึงพบว่าล้วนเป็ข้าเองที่ไร้เดียงสาเกินไปไม่ว่าเื่อะไรอาศัยผู้อื่นก็ไม่สู้พึ่งพาตนเอง”
“ดังนั้น” น้ำเสียงของเซียนเยี่ยนพลันหนักขึ้นเล็กน้อย ช่างเป็เสียงทุ้มต่ำที่ไพเราะเสนาะหูอย่างยิ่งเขาคิดว่าคำพูดบางอย่างหากเอ่ยออกมาแล้วแม้กระทั่งตนเองก็ยังเชื่อไม่ลง“เมื่อสักครู่ทุกอย่างที่พูดในห้องโถงนั่นล้วนเป็เท็จ? ที่จริงแล้วคนถูกเ้าสังหาร?”
หลินชิงเวยประสานสายตากับเขา ซินหรูมองเซียวเยี่ยนแล้วมองหลินชิงเวยนางอดไม่ได้ที่จะกระตุกแขนเสื้อของหลินชิงเวย
หลินชิงเวยเดินผ่านร่างของเขา กล่าวเนิบๆ ว่า “ข้าเป็ผู้สังหารแล้วอย่างไรเล่าท่านมีความสามารถก็กลับไปร้องเรียนข้าต่อไทเฮา หรือท่าน้าลงทัณฑ์ข้าเองหากข้าไม่ปกป้องตนเองรอกระทั่งเช้าวันนี้ท่านมาอาจจะพบว่าผู้ที่นอนอยู่บนพื้นมิใช่หรงหมัวมัวแต่เป็ข้าและซินหรู” แผ่นหลังของนางเหยียดตรง นางเดินไปพร้อมกับกล่าวกับซินหรูว่า“ซินหรู เ้าก็เห็นแล้วว่าบุรุษเชื่อถือไม่ได้ ต่อไปเ้าอย่าได้เชื่อคำพูดของพวกเขาไม่ว่าเื่อะไรล้วนแต่ต้องพึ่งพาตนเอง รอให้เ้าเติบใหญ่แล้วพวกเราหาเงินเองได้ซื้อคฤหาสน์ด้วยตนเอง มีสาวใช้ปรนนิบัติในเรือน ถึงเวลานั้นค่อยหาบุรุษมาอุ่นเตียงก็ได้ขอเพียงหน้าตาดีและเชื่อฟังเป็พอ”
เซียวเยี่ยน “...”
ซินหรูพยักหน้าคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ “อื้อ”
เมื่อเดินมาถึงทางแยกหลินชิงเวยหันกายกลับมายิ้มกับเซียวเยี่ยนที่กำลังเม้มปาก “ขอถามเซ่อเจิ้งอ๋องสำนักหมอหลวงควรจะเดินไปทางซ้ายหรือขวาเ้าคะ?”
เซียวเยี่ยน “ทางซ้าย”
“ขอบคุณเ้าค่ะ” หลินชิงเวยหันกายกลับไปเดินหน้าต่อ“สีหน้าของท่านเมื่อสักครู่ น่าสนใจอยู่บ้าง ท่านคิดว่าข้าพูดผิด?”
เซียวเยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย “ไม่ผิด เปิ่นหวังเพียงรู้สึกว่าขณะที่เ้ากำลังเอ่ยคำพูดประโยคนั้นเดิมทีก็เต็มไปด้วยความ้าท้าทายและเดือดดาล”
“หืม?” หลินชิงเวยหยุดย่างก้าว “ท้าทายและเดือดดาล? เดือดดาลอันใด?เดือดดาลที่ท่านอ๋องมิได้มาช่วยข้าให้ทันท่วงทีหรือ? น่าขันนัก ท่านอ๋องไม่คิดว่าท่านอ๋องสำคัญตัวผิดบ้างหรือไร”
หลังจากไปถึงสำนักหมอหลวง หมอหลวงไม่กล้าละเลย รีบนำยาจินชวง[1]ชั้นดีออกมาห้ามเืยังไม่รอให้หมอหลวงเขียนเทียบยาให้หลินชิงเวยกลับเขียนเทียบยาให้กับตนเองเทียบหนึ่งแล้วยื่นให้บรรดาหมอหลวงไปจัดยาให้นาง
ชั่วขณะที่หมอหลวงอ่านเทียบยาแล้วพลันรู้สึกลำบากใจ
ไม่รู้จักตัวอักษรนี่นา ไม่ ที่สำคัญก็คือลายมือของหลินชิงเวยเขียนหวัดเกินไป
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีลำบากใจของหมอหลวง หลินชิงเวยกล่าว “อ้อข้าเกือบลืมไป หมอหลวงที่นี่ไม่รู้จักตัวอักษรของท่านหมอ้าให้ข้าเขียนอีกครั้งหรือไม่?”
“หาก...หากหลิน...หลินเฟยไม่ถือสา...”
ยังไม่ทันรอให้หลินชิงเวยพูดจา เซียวเยี่ยนก็สาวเท้าก้าวยาวๆ เข้าประตูมา“นำมาให้เปิ่นหวางดูเถิด”
หลินชิงเวยหันกลับไปดูเขาแวบหนึ่งและกล่าวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ“ท่านดูสิ เซ่อเจิ้งอ๋องยังรู้จักตัวอักษรของข้า พวกท่านกลับไม่รู้จักนี่หมายถึงอะไร หมายถึงคนชราเช่นพวกท่านไม่แตกฉานเื่ศิลปะ ต่อไปต้องฝึกฝนศิลปะการเขียนพู่กันจีนหาไม่แล้วจะต้องผิดต่ออาชีพของท่านหมอ”
หลินชิงเวยหยิบยาจินชวงแล้วพาซินหรูไปยังห้องตรวจของสำนักหมอหลวง นางปลดเสื้อผ้าของซินหรูออกก่อนแล้วใส่ยาให้กับาแบนร่างกายของนางทว่าเมื่อถึงคราซินหรูใส่ยาให้หลินชิงเวยนางไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างมืออาชีพลำพังแค่เห็นาแที่อยู่บนลำคอและแผ่นหลังของหลินชิงเวยก็ตื่นตระหนกใจนมือไม้สั่นส่งผลให้การใส่ยาของนางทำให้หลินชิงเวยต้องเจ็บตัวไปด้วย
หลินชิงเวยหายใจเข้าลึกๆ เวลานี้ความตึงเครียดของนางผ่อนคลายลงเล็กน้อยร่างกายจึงค่อยๆ รับรู้ได้ถึงความเ็ปซินหรูได้ยินเสียงหายใจเข้าด้วยความเ็ปของนางก็ยิ่งไม่กล้าลงมือ
ขณะที่ซินหรูยกปลายนิ้วขึ้นแล้วดึงกลับมาอย่างลังเลใจนับครั้งไม่ถ้วนปลายนิ้วของนางแต้มยาเอาไว้กำลังเตรียมจะแตะลงบนแผ่นหลังของหลินชิงเวยหลินชิงเวยกล่าวขึ้นในที่สุดว่า “ช่างเถิด อย่างไรเื่นี้เ้าก็ทำไม่ได้เ้าไปเรียกหมอหลวงคนหนึ่งมาใส่ยาให้ข้าเถิด”
“แต่ แต่ว่า...พวกเขาเป็ผู้ชาย ชายหญิงที่ไม่ใช่ญาติใกล้ชิดกัน...”ซินหรูทั้งสับสนทั้งลำบากใจ
หลินชิงเวย “เวลานี้พี่สาวเป็ผู้ป่วย ไม่ใช่หญิงสาว”
“อ้อ เช่นนั้นข้าไปเรียกประเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”ได้ยินหลินชิงเวยกล่าวเช่นนี้ ซินหรูหันหน้าวิ่งออกไปนอกห้องตรวจทันที
ท่ามกลางบรรยากาศของวสันตฤดูที่หนาวเหน็บแสงที่ส่องผ่านแผ่นหลังเปลือยเปล่าของหลินชิงเวย แผ่นหลังของนางนวลเนียนเรียบลื่นราวกับหยกมันแพะทว่าเวลานี้กลับมีรอยแผลน่ากลัวสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
[1]ยาจินชวง คือยาสมานแผลในยุคสมัยโบราณ