“พูดเข้าประเด็นเถอะ ข้าอยากรู้ว่า กิ่งไม้กับลูกบอลทมิฬนั้น คือสมบัติอะไร” หานรุ่ยกล่าวพลางมองจุนห่าวที่เอาแต่พูดเจื้อยแจ้ว เขายินดีที่จ่าย 10 ตำลึงเงิน แต่คำพูดที่ไร้สาระของจุนห่าว ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“ประเด็นหลักก็คือ กิ่งไม้นั้นเป็กิ่งไม้ธรรมดาที่พบได้ทั่วไปตามท้องถนนแหละ ธรรมดาแบบไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิด แต่ลูกบอลทมิฬนั่น ข้าว่าไม่ธรรมดา ข้าคิดว่า มันน่าจะมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ เพราะมันดูดซับพลังิญญาของข้าได้ ข้าปล่อยพลังไปเท่าไร มันก็ดูดซับได้เท่านั้น ข้าว่า มันเหมือนหลุมที่กำลังโหยหาอาหาร” จุนห่าวพูดพลางขมวดคิ้ว เขามองลูกบอลทมิฬในมือ จุนห่าวอยากจะรู้ความลับของมัน แต่เขายังไม่รู้วิธีที่จะไขข้อสงสัยนี้ได้
เมื่อได้ฟังจุนห่าว หานรุ่ยก็เลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าวว่า “ถ้ามันสามารถดูดซับพลังิญญาได้ ก็คงจะมิใช่วัตถุธรรมดาแล้ว”
“ใช่ ตอนนี้มีสมบัติอยู่ในมือแล้วแท้ ๆ แต่ก็เหมือนมีเปล่า เพราะเปิดมันเปิดไม่ออก ข้าก็ได้แต่ร้อนใจ สิ่งนี้ช่างดื้อดึงนัก ข้าใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อเปิดมันก็แล้ว แต่ก็ยังเปิดไม่ออกเหมือนเดิม เ้าดูสิ มันยังสมบูรณ์และไม่บุบสลายตรงไหนเลย” พอจุนห่าวพูดจบ เขาก็ยื่นลูกบอลทมิฬส่งให้หานรุ่ย
หานรุ่ยรับลูกบอลมา เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีในการเปิดมันอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่เกิดการตอบสนองใด ๆ เขาจึงขอกริชจากจุนห่าว เพื่อใช้เปิดมัน แต่ก็ยังไม่อาจทำให้เกิดร่องรอยบนลูกบอลทมิฬได้เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งกริชหัก พอมองดูกริชที่หักออกจากกัน หานรุ่ยก็ไม่คิดที่จะออกแรงเปิดมันอีกต่อไป เขาถือลูกบอลทมิฬพลางพินิจพิจารณาอย่างละเอียด มันเป็ลูกบอลกลม ๆ มีสีดำสนิท ดูไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมมันถึงดูดซับพลังิญญาได้ล่ะ เมื่อนึกถึงพลังิญญา หานรุ่ยก็เอ่ยกับจุนห่าวว่า “จุนห่าว เ้าลองปล่อยพลังิญญาของเ้าเข้าสู่มันเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะหยุดดูดซับดีไหม ข้าคิดว่า เมื่อถึงตอนนั้นมันจะต้องมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างที่เราคาดไม่ถึงแน่”
จุนห่าวไม่สงสัยใด ๆ ต่อคำพูดของหานรุ่ย เขารับลูกบอลทมิฬที่หานรุ่ยยื่นให้ และเริ่มส่งพลังิญญาของเขาเข้าสู่ลูกบอลทมิฬโดยตรง เป็ไปตามที่หานรุ่ยบอก เมื่อพลังิญญาของเขาเข้าไปที่ลูกบอลมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง จากตอนแรกที่ลูกบอลมีสีดำสนิท แต่ยามนี้มันกลับสว่างไสวขึ้น ด้วยพลังิญญาของจุนห่าวที่เข้าสู่ลูกบอลทมิฬอย่างไม่ขาดสาย ลูกบอลทมิฬก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ใช้พลังิญญาไปอย่างมหาศาล จุนห่าวเริ่มมีสีหน้าซีดเซียว และเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก ทว่าจุนห่าวก็ยังไม่ยอมแพ้ เขามุ่งมั่นว่า หากทำไม่สำเร็จ เขาก็พร้อมที่จะสละชีพ ด้วยพลังอันแรงกล้าของเขา เขาจึงปล่อยพลังิญญาที่เหลืออยู่ทั้งหมดลงในลูกบอลทมิฬ จนลูกบอลทมิฬแปรเปลี่ยนเป็สีสว่างสุกใสในที่สุด สักพักมันก็เข้าสู่ประสาทการรับรู้ของจุนห่าวและหายไป
ทันทีที่ลูกบอลทมิฬหายไป จุนห่าวก็ล้มลงจากเก้าอี้ไปนอนกองกับพื้น เขาพยายามที่จะลุก แต่ก็ลุกไม่ขึ้น เวลานี้จุนห่าวรู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว ปวดแขนปวดขา ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขารู้สึกเ็ปราวกับมีใครมาทุบศีรษะของเขา เขาอยากจะเอาตัวไปพิงกับกำแพง เพื่อบรรเทาความเ็ป แต่เพราะเกรงว่า หานรุ่ยจะเป็กังวล เขาจึงยืดหยัดและพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองสลบไป
เมื่อเห็นจุนห่าวล้มลงกับพื้น หานรุ่ยก็ตื่นตระหนก เขารีบเข้าไปพยุงจุนห่าวขึ้นมาและเอ่ยถามว่า “จุนห่าว เ้าเป็อะไร” ตอนที่เห็นจุนห่าวล้มลงกับพื้น หานรุ่ยรู้สึกว้าวุ่นใจยิ่งนัก
จุนห่าวยิ้มให้หานรุ่ยอย่างอ่อนแรงอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เป็ไร แค่ใช้พลังิญญามากเกินไปเท่านั้นเอง นี่คงเป็ผลจากการที่ข้าใช้พลังิญญาจนร่างกายอ่อนล้า นอนพักสักครู่ก็คงจะดีขึ้น เ้าอย่ากังวลไปเลย”
หานรุ่ยพูดอย่างร้อนรนว่า “ถ้าเช่นนั้นเ้ารีบไปนอนพักเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ไว้เ้าตื่น แล้วค่อยมาคุยกัน”
แม้ว่าร่างกายของจุนห่าวจะอ่อนแรง ทว่าจิติญญาของเขากลับตื่นตัว เขากล่าวกับหานรุ่ยว่า “เสี่ยวรุ่ย ลูกบอลทมิฬนี้ คือ ตำรายาเล่มหนึ่ง ภายในนั้นบันทึกสูตรยาเอาไว้มหาศาล ทั้งเคล็ดลับในการปรุงยา ทั้งหัวใจสำคัญของปรุงยา และเื่อื่น ๆ อีกมากมาย น่าเสียดายที่พลังปราณของข้าต่ำเกินไป ถึงได้เห็นแต่วิธีการปรุงยาวิเศษระดับต้นเท่านั้น ตำรายาเล่มนี้มีชื่อว่า ‘ตำรายาเฮยยุ่น’ เ้าว่า มันน่าแปลกไหม ที่ตำราเล่มหนึ่งจะมีรูปร่างเป็ทรงกลมเช่นนั้นได้น่ะ”
่เวลานี้หานรุ่ยคอยพยุงจุนห่าวขึ้นไปบนเตียง พลางฟังน้ำเสียงอ่อนแรงของจุนห่าวที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดไปด้วย หานรุ่ยขมวดคิ้วและกล่าวอย่างไม่พอใจเท่าไรว่า “หยุดพูด แล้วนอนซะ”
จุนห่าวคิดในใจ ...... เขาไม่สบายอยู่นะ เสี่ยวรุ่ยไม่อ่อนโยนกับเขาเสียเลย
