บทที่ 33 สำนักชิงเยวียนในอนาคตเกรงว่าจะโดดเด่นทัดเทียมตะวันจันทรา, คะแนนของหลี่โม่แซงหน้าอิ๋งปิงแล้วหรือ?
ทางเข้าเขตทดสอบ
นกหัวขาวเกาะอยู่บนไหล่ของอินหัวเซวียน ส่งเสียงร้องเบาๆ อินหัวเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากว่า
“หวังหู่ผู้นั้นฝึกวิชาหลอมโลหิตร้อยอสูรจริง เขาเพิ่งปลดปล่อยเมล็ดพันธุ์สัตว์อสูรอย่างสมบูรณ์ ทำให้สิบสองเส้นชีพจรเปิดออกในพริบตา อีกทั้งยังแปลงกายเป็เสือหรือหมาป่า เทียบเท่ากับสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นสูงสุด”
“เช่นนั้นศิษย์ของข้าก็มีแต่เื่ร้ายมากกว่าดีน่ะสิ!” ผู้าุโยอดเขาหรูอี้ลุกขึ้นยืนพรวด
เมื่อเขาทราบว่าหลินเจียงเผชิญหน้ากับหวังหู่ ก็คิดจะลงมือแล้วทันที แต่ถูกผู้าุโหลายท่านทัดทานไว้ ด้วยเกรงว่าหากรีบร้อนลงมือ จะทำให้ 'ปลาใหญ่' ที่อยู่เื้ัหวังหู่ใหนีไป
“ผู้าุโลู่ อย่าเพิ่งร้อนใจ ข้ายังพูดไม่จบ” อินหัวเซวียนเผยสีหน้าแปลกประหลาด แล้วกล่าวต่อ
“ศิษย์สายตรงหลี่บังเอิญผ่านมาพอดี หวังหู่ถูกเขาควบคุมตัวไว้แล้ว ตอนนี้ผู้าุโฝ่ายในที่อยู่ใกล้ๆ กำลังคุมตัวเขากลับมา”
เป็หลี่โม่อีกแล้วหรือ?
เหล่าผู้าุโมองหน้ากัน เอาชนะสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นปลายได้แล้ว ยังควบคุมตัวหวังหู่ที่เทียบเท่าสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นสูงสุดได้อีก คนหลังมีความคิดแบบมนุษย์ ซึ่งรับมือยากกว่าสัตว์อสูรเสียอีก
พูดตามตรง แม้หลี่โม่กับอิ๋งปิงจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของ 'บันไดสู่์' พร้อมกัน แต่ในสายตาของเหล่าผู้าุโก็ยังคงเชื่อว่าพร์ของอิ๋งปิงแข็งแกร่งกว่ามากในทุกด้าน เพราะศิษย์สายตรงของเ้าสำนักอย่างอิ๋งปิงมีความก้าวหน้าที่น่าสะพรึงกลัวจนทำให้พวกเขาชินชาไปแล้ว
แต่ไม่คาดคิดว่าหลี่โม่จะสามารถทัดเทียมกับอิ๋งปิงได้จริงๆ
ไม่นานนัก ผู้าุโฝ่ายในก็โยนหวังหู่ที่หมดสติแล้วลงบนแท่น
“หลี่โม่ไม่ได้ตามกลับมาด้วยหรือ?” เซวี่ยจิงเป็คนแรกที่เอ่ยปากถาม เขากังวลว่าหลี่โม่จะได้รับาเ็ แต่ก็ยังทนฝืนทำการทดสอบต่อไป าแบางอย่างหากปล่อยไว้นาน ก็อาจจะทิ้งโรคประจำตัวไว้ได้
“เรียนผู้าุโเซวี่ย ตามที่ศิษย์สายตรงหลินรายงาน ศิษย์สายตรงหลี่ไม่ได้รับาเ็ เพราะเขาควบคุมตัวหวังหู่ได้ในกระบวนท่าเดียว”
กระบวนท่าเดียว?
เซวี่ยจิงเพิ่งจะใช้เวลาให้ความสนใจกับหวังหู่ที่นอนอยู่บนพื้นราวกับสุนัขตาย เขาพบอย่างรวดเร็วว่าแขนทั้งสองข้างของหวังหู่ถูกตีจนบิดเบี้ยวและหัก ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่เหมือนการต่อสู้ที่สูสีกันเลย แต่กลับเหมือน.....ถูกสัตว์ดุร้ายที่แข็งแกร่งกว่าบดขยี้อย่างง่ายดาย
ไม่พูดถึงสิ่งอื่น แค่พลังต่อสู้ที่ดุดันนี้ ก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงกับอิ๋งปิงแล้ว
“หรือว่ารากฐานกระดูกของเ้าเด็กนี่ จะซ่อนสายเืของสัตว์ดุร้ายที่แข็งแกร่งบางอย่างเอาไว้ข้างใน?” เฉียนปู้ฟ่านอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตอนคัดเลือกศิษย์เขาตาลายไปแล้ว
“ไม่มีทางที่เราทุกคนจะมองผิดไปหรอก” หานเฮ่อส่ายศีรษะ
เข้าสำนักมาแค่ครึ่งเดือน ก็ฝึกกายเนื้อจนถึงขั้นแตกฉาน ดูเหมือนการคาดเดาของเขาในวันนั้นจะถูกต้อง…
“เฒ่าเอ๊ย เ้ามันเลอะเลือน!” ซางอู่หัวเราะจนตาเรียวเล็กเป็รูปพระจันทร์เสี้ยว
หานเฮ่อนึกถึงการเดิมพันของทั้งสอง ใบหน้าเก่าๆ ของเขาก็คล้ำดำราวกับก้นหม้อทันที
ต้องยอมรับ แม้มู่หรงเซียวจะยอดเยี่ยมมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับหลี่โม่ ความแตกต่างนั้นไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย การประลองหรือ? แค่พยายามอย่างหนัก ก็ยังไม่รู้ว่าจะสามารถรับหมัดของหลี่โม่ในตอนนี้ได้หรือไม่ ยิ่งกว่านั้น คนผู้นั้นก็ยังจะก้าวหน้าต่อไป และความเร็วในการก้าวหน้าก็มีแต่จะเร็วขึ้นอีก
“มีคนทั้งสองนี้ สำนักชิงเยวียนจะต้องรุ่งเรือง” ในดวงตาของอินหัวเซวียนเปล่งประกายเจิดจ้า
เหล่าผู้าุโพยักหน้าเห็นด้วย ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักชิงเยวียนรุ่นแรกๆ ล้วนมาจากจงโจว สำนักชิงเยวียนในเวลานั้น แม้จะมีอาณาเขตเพียงแค่แคว้นจื่อหยาง แต่แท้จริงแล้วก็เป็ผู้นำเพียงหนึ่งเดียวในแดนบูรพาทั้งหมด ไม่คาดคิดว่า พอมาถึงยุคของพวกเขา จะมีอัจฉริยะที่เทียบเคียงกับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งปรากฏขึ้นอีกครั้ง แถมยังมาถึงสองคน!
เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น สำนักชิงเยวียนเกรงว่าจะโดดเด่นทัดเทียม 'ตะวันจันทรา' ได้เลย!
เซวี่ยจิงหัวเราะแล้วเอ่ยปาก
“หลี่โม่ช่วยศิษย์ร่วมสำนัก และควบคุมตัวหวังหู่ได้ ให้คะแนนเขาเท่ากับการสังหารสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นสูงสุดไปเลย พวกท่านไม่มีใครคัดค้านใช่ไหม?”
ไม่มีใครคัดค้าน แม้จะให้คะแนนหลี่โม่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ก็ยังนับว่าสมเหตุสมผล
ดังนั้น กระดานคะแนนก็เปลี่ยนไป
อิ๋งปิง: 119 คะแนน
หลี่โม่: 116 คะแนน
เมื่อไม่นานมานี้ อิ๋งปิงก็เพิ่งสังหารสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นสูงสุดไปหนึ่งตัว ดังนั้น คะแนนของทั้งสองคนจึงยังคงมีช่องว่างเล็กน้อยที่สามคะแนน
“เื่ในอนาคตยังอีกยาวไกล ควรวางแผนระยะยาว ตอนนี้ ยังมีคนกำลังจ้องจะเล่นงานเราอยู่” เซวี่ยจิงเอ่ยปาก ดึงความสนใจของทุกคนกลับมา
“คนเื้ัของหวังหู่ สุดท้ายก็ยังไม่ลงมือ คนชั่วจากพรรคอสูรปลุกิญญา ช่างระแวดระวังเสียจริง”
“หรือว่าหวังหู่เป็แค่หมากเบี้ยที่อีกฝ่ายทิ้งไว้เฉยๆ กันแน่?”
“ฮึ่ม ถ้าให้ข้าพูดนะ ขุดให้ลึกสามศอกเลยดีกว่า ไม่เชื่อว่าจะหาเบาะแสของพวกคนชั่วไม่เจอ!”
“ไม่เหมาะ การทำเช่นนั้นจะทำให้เสียกำลังคน”
“ตีงูให้ตื่น อาจไม่ได้อะไรกลับมา”
เหล่าผู้าุโปรึกษาหารือกันอยู่นาน แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจส่งตัวไปคุมขังและสอบสวนที่ยอดเขาหรูอี้เป็การชั่วคราว แล้วค่อยรอให้เ้าสำนักออกจากด่านฝึก ค่อยตัดสินใจอีกครั้ง
อย่างไรเสีย อีกฝ่ายคงไม่ได้สนใจแม้หวังหู่จะตายไปแล้ว ครั้งนี้คงไม่เกิดปัญหาในการทดสอบอีก รอให้การทดสอบของสำนักจบลงอย่างปลอดภัยเสียก่อนค่อยว่ากัน
ในตอนนี้เอง ผู้าุโฝ่ายในอีกคนก็ลากสัตว์อสูรสองตัวกลับมา ตัวหนึ่งคือจ่าฝูงของหมาป่าเกลียวเพลิง อีกตัวคือสิงห์หมี ทั้งสองเป็สัตว์อสูรเก้าระดับขั้นปลาย
เขายังไม่ทันเดินเข้ามาใกล้ เหล่าผู้าุโก็จำได้ทันทีว่านี่ต้องเป็ฝีมือของศิษย์สายตรงหลี่อย่างแน่นอน
เมื่อเพิ่มผลงานนี้เข้าไป คะแนนของหลี่โม่ก็พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 146 แซงหน้าอิ๋งปิงขึ้นเป็อันดับหนึ่งในทันที
“ศิษย์รักของข้าเป็อันดับหนึ่งแล้วรึ?” ซางอู่ฮึมฮำเบาๆ หยิบปากกาจากผู้าุโฝ่ายในมา แล้วขีดเขียนแก้ไขคะแนนของหลี่โม่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะแขวนไว้บนสุด นางกอดอก เชิดคางขึ้น
“ใครยังกล้าพูดว่าข้าสอนศิษย์ไม่เป็อีก!”
เหล่าผู้อาวุโว “......” พวกเขาช่างสับสนงงงวยเสียจริง
อีกด้านหนึ่ง สุดปลายป่าหินธารา
“ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!” ศิษย์ชั้นนอกคนหนึ่งถูกสิงห์หมีดุร้ายตะครุบล้มลงกับพื้น ไม่มีแรงจะต่อต้านได้เลย ทำได้เพียงมองไปยังร่างที่ยืนอยู่บนเสาหินด้วยสายตาอ้อนวอน
ศิษย์ชั้นนอกนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเพื่อนร่วมสำนักที่เขาจุดพลุสัญญาณเรียกมานั้น กลับยืนดูอยู่ตรงนั้นอย่างเ็า ไม่คิดจะลงมือช่วยเหลือแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้น…ในดวงตาของเขามีเพียงความเยาะเย้ยและเมินเฉย
คนผู้นั้นคืออินหัวเฉิง ผู้ที่อาสาเป็ผู้รับผิดชอบเขตวังจันทรา
ตอนนี้อินหัวเฉิงอารมณ์เสียมาก เพราะฝูถูไม่ได้ทำตามที่สัญญาไว้ ลูกศิษย์ที่ออกจากสำนักไม่ได้กลับบ้านเกิดโดยตรง แต่กลับไปกินดื่มเที่ยวเล่นอยู่ในหอคณิกาแห่งหนึ่ง เมื่อครู่เขายังเพิ่งรู้มาอีกว่า หวังหู่ตายแล้ว นั่นหมายความว่า ในระยะเวลาอันสั้นนี้ เขาจะไม่ได้วัตถุดิบในการฝึกวิชาอีกต่อไป
และคนที่ทำให้เกิดเื่ทั้งสองนี้ ก็คือคนเดียวกัน
“หลี่โม่!” เส้นเืที่หน้าผากของอินหัวเฉิงเต้นตุบๆ ดวงตาทั้งสองข้างก็เปลี่ยนสลับไปมาระหว่างรูม่านตาแนวตั้งกับดวงตาของมนุษย์
ในตอนนี้ อีกาตัวหนึ่งลงเกาะบนไหล่ของเขา ส่งเสียงร้องต่ำๆ แหบแห้งสองสามครั้ง
“ให้ข้าอย่าก่อเื่ใช่ไหม?” กลิ่นอายบนร่างของอินหัวเฉิงก็น่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนี้ ศิษย์ชั้นนอกคนนั้น ก็สิ้นลมหายใจลงแล้วในที่สุด ส่วนสิงห์หมีที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อได้ยินเสียง ก็หันหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว ทว่าทันทีที่สบตากับอินหัวเฉิง ดวงตาที่ดุร้ายเมื่อครู่ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็ความหวาดกลัวทันที มันหมอบลงต่ำ
พุ่ง——
หัวใจสีแดงฉานของสิงห์หมีถูกควักออกมา อินหัวเฉิงกลืนกินมันลงไปคำโต
“เดิมทีข้าคิดจะเลี้ยงเ้าไว้อีกสักพัก…”
“ทำให้วัตถุดิบของข้าเสียไป ก็เอาตัวเ้ามาชดใช้เถอะ”
เขาเปลี่ยนเป็ชุดสีดำ แล้วร่างก็หายไปจากจุดนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้