กู้ฉีตะลึงงัน มองสายตาของนางด้วยความรู้สึกซับซ้อน
“พี่ชายกู้อู่ พวกท่านทานข้าวมาหรือยัง? พวกข้าเพิ่งสั่งอาหารไป ไม่อย่างนั้น ทานอาหารแล้วค่อยคุยกันเป็อย่างไร?” เจินจูเหลือบไปเห็นเสี่ยวเอ้อเริ่มยกอาหารมาตั้งโต๊ะแล้ว จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อกู้ฉีได้ฟังรายงานจากเฉินเผิงเฟยจึงรีบเร่งมา อาหารเย็นเลยไม่มีเวลาทานจริงๆ
เจินจูเห็นดังนั้น รีบเรียกเสี่ยวเอ้อที่ยกอาหารเข้ามา เพื่อสั่งอาหารประเภทเนื้อเพิ่มขึ้นอีกสองอย่าง
จากนั้นเรียกเฉินเผิงเฟยมาทานอาหารด้วยกัน
เฉินเผิงเฟยรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที ในพื้นที่เมืองหลวงนี้ให้ความสำคัญกับมารยาทอย่างยิ่งยวด การที่เ้านายและลูกน้องร่วมโต๊ะด้วยกันเป็การไม่เหมาะสมอย่างมาก หากถูกคนไม่ประสงค์ดีเห็นเข้า ไม่แน่ว่าอาจก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นได้
เจินจูยักไหล่ ไม่ได้ฝืนบังคับอีก และให้เขาสั่งอาหารมานั่งทานอีกโต๊ะแล้วกัน
อาหารของเมืองหลวงอุดมไปด้วยน้ำมัน สีสันจัดจ้าน และรสจัด ให้ความสำคัญกับความหวาน เปรี้ยว เผ็ด และเค็ม โดยรวมแล้วน้ำมันหนักรสชาติเข้มข้น เจินจูและผิงอันเพิ่งตักใส่เข้าปากก็รู้สึกว่ารสชาติไม่แย่เลย
การมาถึงสถานที่ใหม่ สิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญเลยก็คืออาหารรสเด็ดในท้องถิ่น
ผิงอันแทะเนื้อขาหมูปรุงรส ทั่วทั้งใบหน้าอิ่มอกอิ่มใจ หากถามว่าประเภทอาหารที่เขาชอบมากที่สุดคืออะไร นั่นคงจะหนีไม่พ้นกีบหมูอย่างแน่นอน อย่างกีบหมูพะโล้ กีบหมูตากแห้ง กีบหมูปรุงน้ำแดง ผัดกีบหมูเผ็ดหอมและอื่นๆ ของที่บ้าน ขอแค่เป็กีบหมู ย่อมพลาดไม่ได้เลยเชียว
เนื้อขาหมูปรุงรสของเมืองหลวงถูกปากเขาเป็อย่างมาก ขาหมูปรุงรสหนึ่งถาดเข้าไปในท้องของเขาเกือบจะทั้งหมด
เจินจูทานไปเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น อาหารที่มีน้ำมันมากเกินไปสำหรับนางแล้ว ไม่ค่อยน่าสนใจมากสักเท่าไร แต่น้ำแกงเป็ดสับใส่วุ้นเส้น นางรู้สึกว่าชุ่มคออย่างมาก วุ้นเส้นมีรสชาติดี นางคีบอยู่หลายตะเกียบเลยทีเดียว
กู้ฉีทานตามพวกนางอยู่เล็กน้อย แม้ร่างกายของเขาจะดีขึ้นแล้ว แต่อาหารที่อยู่นอกบ้านเขากลับทานไม่คุ้นชินเอาเสียเลย เวลาส่วนใหญ่เขาเต็มใจที่จะกลับไปทานอาหารในเขตที่พักอาศัยของตนเองมากกว่า
อาหารมื้อเย็นผ่านไป สีท้องฟ้าด้านนอกได้ปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
คนเข้าออกภายในโรงเตี๊ยมมีไม่มาก หลิวอี้นำผู้คุ้มกันทุกคนไปทำความเคารพกู้ฉี
กู้ฉีถามรายละเอียดขณะเดินทางอยู่เล็กน้อย หลังจากนั้นกำชับพวกเขาว่าต้องคุ้มครองพี่น้องสกุลหูกลับไปส่งถึงเอ้อโจวโดยปลอดภัย
หลิวอี้ตอบรับด้วยความเคารพนบนอบ จากนั้นนำผู้คุ้มกันไปรับประทานอาหารที่โถงใหญ่
เจินจูกับผิงอันนำทางกู้ฉีเข้ามาในห้องรับแขกเล็กของลานที่พัก
“น้องสาวเจินจู เื่ของซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกง เ้าวางแผนไว้อย่างไร?”
หลังจากกู้ฉีนั่งลงก็กล่าวถามขึ้นทันที
“ฮะ? อะไรที่เรียกว่าวางแผนไว้อย่างไร?” เจินจูไม่เข้าใจ
กู้ฉียิ้มแล้วอธิบาย “พวกเ้าช่วยชีวิตซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงไว้ ย่อมเป็ผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกง ซื่อจื่อเป็บุตรเพียงหนึ่งเดียวของนายท่านกั๋วกง [1] เขาประคบประหงมบุตรชายอยู่กลางอุ้งมือมาโดยตลอด อุปนิสัยนายท่านกั๋วกงแบ่งบุญคุณความแค้นไว้อย่างชัดเจนมาก คงตอบแทนด้วยรางวัลทับทมเป็ชั้นพูนหนาอย่างแน่นอน”
กู้ฉีกับเซียวจวิ้นเป็เพียงความสัมพันธ์ตื้นเขิน [2] สองคนล้วนเรียนอยู่กว๋อจื่อเจี้ยนด้วยกัน บังเอิญพบปะกันบ้างเป็บางครั้งบางคราว กล่าวขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้สนิทสนมกันสักเท่าไร
ร่างกายเซียวจวิ้นไม่ค่อยจะสู้ดี มักลาหยุดอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นโอกาสที่สองคนจะบังเอิญพบปะกันเลยยิ่งน้อยลงไปอีก
“อ่า... แต่ไม่ใช่เป็พวกข้าช่วยเขาเสียหน่อย เป็ผู้คุ้มกันของท่านต่างหากที่ช่วย ข้ากับผิงอันไม่ได้ลงมืออะไรเลย” เจินจูทำท่าแบมือสองข้างออก ข้อเท็จจริงก็เป็เช่นนี้
แน่นอนว่าในจำนวนนั้นก็ปะปนหลัวจิ่งกับหลัวสือซานอยู่ด้วย
กู้ฉีส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา “พวกเขาคุ้มกันพวกเ้าเข้าเมืองหลวง ย่อมฟังคำสั่งของพวกเ้า เ้าอย่าโยนความรับผิดชอบเลย ผู้มีพระคุณของเจิ้นกั๋วกงไม่ใช่ใครๆ ก็เป็กันได้”
เจินจูเลิกคิ้ว คิดถึงเจิ้นกั๋วกงที่ได้พบในวันนี้ ร่างกายและจิตใจแข็งแรงดูมีสุขภาพดี รูปร่างสูงใหญ่ แต่ดวงตาดำหนึ่งคู่กลับเหมือนบึงน้ำลึกที่เย็นเยียบ บรรยากาศรอบกายดูฮึกเหิมคุกคามและกดดัน ท่าทางไม่ใช่คนที่จะทำอะไรถูไถชุ่ยๆ ให้ผ่านไปได้ง่ายดายเลย
เป็ผู้มีพระคุณของครอบครัวเขาจะมีประโยชน์อะไร เจินจูเบะปาก ไม่เห็นด้วยอย่างมาก
กู้ฉีหัวเราะ ช่างเถอะ พวกนางมาเมืองหลวงครั้งแรก ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนของขุนนางในเมืองหลวง
ผิงอันนั่งไม่ติดอยู่กับที่เล็กน้อย จึงถือโอกาสในขณะที่พวกเขาสนทนากัน หนีกลับห้องไปและอุ้มเสี่ยวเฮยออกมา เจินจูไม่อยากให้เสี่ยวฮุยเผยตัวจึงห้ามผิงอันพามันออกมาโดยพลการ
กู้ฉีแววตาเป็ประกายมันวาว นี่พวกนางพาเสี่ยวเฮยมาด้วยหรือนี่ เขามองไปทางเจินจูด้วยดวงตาแฝงความหมายลึกซึ้ง
“น้องสาวเจินจู ต้องบอกโหยวอวี่เวยให้นางมาเดินเล่นที่เมืองหลวงเป็เพื่อนเ้าหรือไม่?”
กู้ฉีไม่ทราบจุดประสงค์ที่เจินจูเดินทางมาครั้งนี้ ขณะที่เขาได้รับจดหมายของหลิวผิง ก็ค่อนข้างรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ ญาติห่างๆ ของหลี่ซื่อ เด็กผู้ชายที่รูปโฉมสง่างาม ผู้ที่มีบุคลิกเยือกเย็นและเงียบเหงานั่น หลังจากกลับมาจากชายแดน คาดไม่ถึงเลยว่าจะเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นจนกลายเป็หลางเจียงขั้นสี่ ในจดหมายของหลิวผิงเอ่ยถึงไว้ว่าการกลับมาของหลัวจิ่ง ได้ก่อให้เกิดความใอย่างมากที่หมู่บ้านวั้งหลิน โดยเฉพาะเขายังซื้อที่ดินอยู่หมู่บ้านวั้งหลิน เพื่อเตรียมการก่อสร้างบ้านพักส่วนตัวอย่างใหญ่โตอีกด้วย
มือสังหารที่ลอบจู่โจมกลางดึกขององค์ไท่จื่อในคืนนั้น เป็เขากับรองแม่ทัพอาศัยอยู่ลานหน้าบ้านสกุลหูพอดี สองคนยื้อเวลาอันแสนล้ำค่าให้สกุลหู ต่อมา อาจารย์ฟางที่สอนการต่อสู้ของโรงเรียนกับลูกศิษย์ของเขาก็เร่งเข้ามา จึงยั้งการจู่โจมของมือสังหารไว้ได้
กล่าวขึ้นมาแล้วก็เป็หลัวจิ่งที่ช่วยชีวิตสกุลหูไว้ กู้ฉีลอบถอนหายใจอยู่ข้างในหนึ่งที เป็เขาที่ดึงพวกนางมาลำบาก โชคดีนักที่สกุลหูมีความดี์คุ้มครอง ไม่อย่างนั้นเขาต้องทรมานจากความละอายใจนี้ไปชั่วชีวิตจริงๆ
หลัวจิ่ง เป็หลานชายที่กำเนิดจากสายเืโดยตรงของอดีตบัณฑิตฮั่นหลินหลัวหรงชาง และเป็บุตรชายคนรองของอดีตกวงลู่ซื่อชิงหลัวเจวี้ยน สี่ปีที่แล้วถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพันในคดีสมคบคิดร่วมก่อฏกับองค์ชายสาม โดนค้นบ้านยึดทรัพย์และฆ่าล้างตระกูล ญาติพี่น้องถูกตัดศีรษะอยู่ปากทางตลาดประตูอู๋เซวียนไปหลายสิบชีวิต
หลัวจิ่งในตอนนั้นหลบหนีไปได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไปปรากฏอยู่เอ้อโจว ต่อมาไปพักรักษาอาการาเ็อยู่บ้านสกุลหู โดยใช้สถานะการเป็ญาติห่างๆ ของหลี่ซื่อ พักอยู่บ้านสกุลหูเกือบหนึ่งปี หลังจากนั้นไปหาหลัวรุ่ยผู้เป็พี่ชายที่ชายแดน เข้าสู่ค่ายทหารอย่างเป็ทางการ ตัดศีรษะฆ่าทหารศัตรูมาตลอด และเลื่อนตำแหน่งขึ้นทีละขั้นๆ
เข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ หลัวจิ่งกับรองแม่ทัพของเขาก็คุ้มครองสองพี่น้องสกุลหูมาด้วยตลอดทาง
“อ่า... ตอนนี้ยังไม่ต้องหรอก รอผ่านไปอีกสองวันค่อยว่ากันเถอะ” เจินจูรีบโบกมือ หากโหยวอวี่เวยรู้ว่านางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เกรงว่าคงวิ่งมาทันทีทันใดแน่ ตอนนี้นางไม่มีเวลาเล่นสนุกกับโหยวอวี่เวย
กู้ฉีพยักหน้า เขาลังเลอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยปากถามขึ้น “น้องสาวเจินจู เหตุใดจึงไม่เห็นพวกหลางเจียงหลัวเลยล่ะ?”
หลัวจิ่งมีความแค้นไม่ยอมอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับองค์ไท่จื่อ กู้ฉีกลัวว่าเขาจะเกิดอารมณ์ชั่ววูบเกินไป กระทำการที่น่าใอะไรออกมา แล้วโยงพี่น้องสกุลหูเข้าไปด้วย
เจินจูเงยหน้ามองเขา นางรู้ ความสามารถระดับกู้ฉี สืบเื้ัของหลัวจิ่งออกมาได้ไม่ยากเลย นางจึงไม่ได้ลุกลี้ลุกลนแต่กลับยิ้มอย่างใจเย็น
“พวกเขามีธุระเลยออกไปข้างนอกแล้ว พี่ชายกู้อู่ ฐานะของเขาคิดๆ ไปท่านคงสืบออกมาได้แล้วกระมัง หวังว่าท่านจะช่วยปกปิดไว้สักหน่อย อย่างไรเสียบางเื่ที่เผยออกสู่ภายนอกไปแล้วคงจะจัดการได้ยาก”
กู้ฉีพยักหน้า เขาย่อมรู้อย่างแน่นอน เขาแค่อยากจะเตือนนางสักหน่อยเท่านั้น
“การเฝ้าระวังที่วังหลวงตำหนักขององค์ไท่จื่อนั้นแ่าเป็อย่างมาก ข้างกายองค์ไท่จื่อยิ่งเป็คนที่มีฝีมือสูงเสียดเมฆ ไม่ว่าจุดประสงค์ที่พวกเ้าเข้าเมืองหลวงมาจะเป็เพราะอะไรก็ตาม ทางที่ดีที่สุดคือต้องดูสถานการณ์ตรงหน้าให้ออก อย่ากระทำการด้วยความใจร้อนเกินไป ข้ากลัวว่าพวกเขาจะเกี่ยวพันพวกเ้าเข้าไปลำบากด้วย”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ ไม่อยากให้สกุลหูตกลงไปในคลื่นแห่งการแก้แค้นของสกุลหลัวจริงๆ
เจินจูยิ้มบางๆ ซาบซึ้งใจอยู่ข้างใน นางเชื่อว่าเขาหวังดีต่อนาง
“พี่ชายกู้อู่ ท่านโปรดวางใจ ข้าตระหนักได้ว่าควรทำอย่างไร”
คำพูดกล่าวถึงจุดนี้ หัวข้อสนทนาก็หยุดลง ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ มีบางคำที่ควรบอกกล่าวอย่างอ้อมค้อมแล้วก็ควรพอ ไม่จำเป็ต้องเอ่ยตรงไปตรงมามากเกินไปนัก
กู้ฉีกับสองพี่น้องคุยเล่นกันเื่ทัศนียภาพและความโดดเด่นละแวกเมืองหลวงเล็กน้อย พอเหลือบไปเห็นว่าเวลาค่ำมืดแล้ว หลัวจิ่งยังไม่มีเค้าลางว่าจะกลับมา เขาจึงลุกขึ้นยืนกล่าวอำลา
เจินจูมาส่งเขาออกจากประตู มองเงากายที่พาดเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่หายไปตรงหัวมุม จึงหมุนกายกลับเข้าห้องพักไป
“คุณชาย อุปนิสัยระมัดระวังตัวของหลัวจิ่งสูงอย่างยิ่ง สะบัดกำลังคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังทิ้งหลุดไปหมดแล้ว พรุ่งนี้ต้องตามต่อหรือไม่ขอรับ?” เฉินเผิงเฟยรายงานเสียงเบา
กู้ฉีไม่พูดไม่จาอยู่พักหนึ่ง “ไม่ต้องแล้ว พวกเขาวรยุทธ์ไม่ธรรมดา แม้ตามไป ก็ถูกพบได้ง่าย เ้าส่งคนมาคุ้มครองพี่น้องสกุลหูก็พอ”
“ขอรับ ข้าน้อยรับทราบ” เฉินเผิงเฟยรับคำสั่ง
วันต่อมาท้องฟ้าของเมืองหลวงมีเกล็ดหิมะปลิวว่อน
เจินจูตื่นขึ้นมาในผ้านวมอันอบอุ่น บิดเอวยืดี้เีแล้วจึงชำเลืองเห็นเสี่ยวเฮยที่อยู่ข้างผ้านวมของนาง
เฮ้ เ้าแมวนี่ นับวันยิ่งเอาแต่ใจตัวเองยิ่งนัก เมื่อคืนไม่รู้ว่าไปเล่นถึงที่ไหนจนฟ้าสว่างแล้วถึงเพิ่งกลับมา และยังวิ่งมานอนบนผ้านวมนางอีก
เสี่ยวเฮยบิดตัวพลิกอย่างเกียจคร้าน และหลับฝันหวานต่อ
กลางคืนกำลังวังชาเต็มเปี่ยม กลางวันหลับเป็ตาย เหอะๆ ไม่แปลกใจเลยที่ล้วนเรียกกันว่าแมวกลางคืน [3]
เจินจูข้ามมันไปอย่างระมัดระวัง ลงจากเตียงสวมเสื้อผ้าและล้างหน้าแปรงฟัน
ออกมาจากประตูห้องเห็นบนทางเดินในเขตที่พัก มีหิมะสีขาวดูนุ่มนวลกระจายไปทั่ว
ท่ามกลางท้องฟ้า เกล็ดหิมะสีขาวพร่างพราวลอยพลิ้วบางเบา
เจินจูยื่นมือออกไปรับเกล็ดหิมะที่ร่วงลงมา ััเย็นเยือกทำให้นางอดยิ้มขึ้นอย่างเสียไม่ได้
หลัวจิ่งเปิดประตูห้องออก สายตาจับจ้องอยู่บนกายของนางไม่ไหวติง
วันนี้นางสวมเสื้อกันหนาวสองชั้นลวดลายสีพระจันทร์เข้ม ้าเย็บขนสัตว์สีขาวเทาดูอบอุ่นและน่ารัก นางยืนอยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะปลิวว่อน คิ้วเข้มโค้งเรียวยาว สันจมูกงดงามริมฝีปากดังแต้มสี ผิวใสคล้ายชิ้นหยก ช่างงดงามละเอียดอ่อนไร้ตำหนิ ดังเทพธิดาในภาพวาดที่ทำให้คนใฝ่ฝันจะได้มาครอง
เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออก นางจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเงากายของเขาสะท้อนเข้าในดวงตาสีดำเงางามดุจสีหมึก
นางยิ้มสว่างไสวขึ้น หัวใจของหลัวจิ่งเต้นรัวเร็วทันที
“ยู่เซิง เมื่อวานกลับมาตอนไหนหรือ?”
เสียงใสไพเราะดังเข้าหู หลัวจิ่งกะพริบตาหนึ่งที จึงได้สติกลับคืนมา
“กลับมาได้มืดค่ำไปหน่อย เลยไม่ได้ทำเสียงดังรบกวนพวกเ้า เ้านอนได้สบายดีหรือไม่?”
“อื้ม ดีมาก” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
’แอ๊ด’ ประตูห้องด้านข้างเปิดออก ผิงอันะโออกมา
“พี่ชายยู่เซิง อรุณสวัสดิ์! ท่านพี่ วันนี้เราจะไปไหนหรือ?”
เขาวิ่งมาถึงข้างกายเจินจูด้วยความตื่นเต้นดีใจ เมื่อคืนท่านพี่กล่าวไว้แล้ว ว่าวันนี้จะเดินเล่นละแวกเมืองหลวง
“พวกเ้าจะออกไปไหน? วันนี้หิมะยังตกอยู่ รอให้หิมะหยุดแล้วค่อยออกไปเถอะ” หลัวจิ่งเดินเข้ามาใกล้พร้อมกล่าวโน้มน้าวพวกนาง เขามีเื่ที่ต้องไปจัดการ สองวันนี้จึงเจียดเวลาออกมาอยู่เป็เพื่อนพวกนางไม่ได้ เขารู้สึกผิดอยู่ในใจเล็กน้อย
“ไม่เป็ไร วันนี้ไปเยี่ยมชมวัดต้าเอินที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหลวงกัน เ้าไปทำธุระเ้าเถอะ ข้ากับผิงอันจะให้หลิวอี้นำทางไปก็พอ” สิ่งสำคัญคือ จุดประสงค์ของการมาเมืองหลวงในฤดูหนาวนี้ ไม่ใช่การมาเพื่อเที่ยวเล่นสนุก
หลังจิ่งพยักหน้าและกล่าวกำชับ “วัดต้าเอินไกลอยู่บ้างเล็กน้อย แม้ความสงบเรียบร้อยภายในเมืองหลวงจะไม่แย่ แต่ชานเมืองก็ไม่แน่นัก พวกเ้าพาผู้คุ้มกันไปด้วยให้เพียงพอ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าเดินเล่นนานเกินไป ระวังเป็หวัดเข้า”
เจินจูยิ้มขึ้นฉับพลัน ที่แท้คนที่คอยโอบอุ้มตัวเองด้วยความเ็าอยู่เสมอ ก็มีด้านที่พูดไม่หยุดเพียงนี้ด้วยเช่นกัน อื้ม... เมื่อถูกคนเป็ห่วงเป็ใยก็รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก
หลัวจิ่งถูกรอยยิ้มกว้างของนางทำให้เก้อเขิน จึงตีใบหน้าดุเข้มขึ้นทันที
“รู้แล้ว! รู้แล้ว!” เจินจูรีบยิ้มเอาใจเขา
ไม่กี่คนร่วมทานอาหารเช้าด้วยกัน แล้วเริ่มแยกย้ายกันไปทำธุระ
หลัวจิ่งกับหลัวสือซานออกไปได้ไม่นาน เจินจูกับผิงอันก็นั่งอยู่บนรถม้า พาผู้คุ้มกันสิบคนมุ่งหน้าไปวันต้าเอินที่มีชื่อเสียงของต้าสยา
เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยถูกทิ้งอยู่ในห้อง เจินจูอยากให้พวกมันอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ให้ดึงดูดความสนใจคนเข้า ประจวบเหมาะพอดีที่ทั้งสองตัวต่างก็หมอบกลางวันและออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ตอนกลางวันจะได้นอนอย่างสบายใจด้วย
หิมะตกถนนลื่น หลิวอี้จึงเร่งรถม้าเดินทางอยู่บนถนนใหญ่อย่างเชื่องช้า เจินจูเลิกม่านรถออกครึ่งหนึ่ง ระหว่างทางเพลิดเพลินกับทัศนียภาพถนนอันใหญ่โตงดงามของเมืองหลวง
สมกับที่เป็เมืองหลวงเก่าของประวัติศาสตร์อันยาวนานนัก ขนาดร้านรวงสองข้างทางถนน ก็ยังไม่ใช่เมืองทั่วไปจะเทียบได้เลย
แม้ท้องฟ้ายังมีหิมะปลิวว่อนอยู่ แต่ภายนอกและภายในร้านค้าแต่ละร้านก็ยังคงมีคนกับรถม้าเข้าออกไม่น้อยดังเดิม
รถม้าควบผ่านถนนใหญ่ฝั่งตะวันออก เลี้ยวเข้าตรอกแห่งหนึ่ง แม้เป็ตรอกถนนแต่ผิวถนนกลับกว้างขวาง สองฝั่งล้วนเป็ที่อาศัยส่วนตัวที่ไม่ธรรมดาและเงียบสงบ ทั้งยังมีสถานที่จำหน่ายสินค้าที่เป็อาคารสองชั้นสามชั้นไม่กี่หลัง ปะปนอยู่ระหว่างนั้นเป็ระยะๆ ด้วย
“เอ๊ะ?” เงากายคุ้นตาใครคนหนึ่งสะท้อนเข้าสู่สายตาของนาง
เชิงอรรถ
[1] นายท่านกั๋วกง คือ คำเรียกของผู้ดำรงตำแหน่งเจิ้นกั๋วกง
[2] ความสัมพันธ์ตื้นเขิน คือ การเจอหน้ากันเพียงยิ้มทักทาย ผงกศีรษะให้กัน
[3] แมวกลางคืน คือ แมวที่มีลักษณะนิสัยคึกคักในตอนกลางคืน ซึ่งเป็คำพ้องเสียงของนกเค้าแมว และยังหมายถึงพวกชอบนอนดึกอีกด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้