เสด็จอาจะรู้สึกผิดหวังและโกรธแค้นหรือไม่?
เขาต้องเ็ปมากเพียงใด?
‘หลังจากที่เสด็จอาจากไป ข้าก็ไม่เคยได้พบเขาเลยสักครั้ง’
ในปีสุดท้ายของรัชศกเทียนโหย่ว อ๋องอวิ๋นเมิ่งอยู่ห่างจากเมืองอวิ๋นเมิ่งและมีชื่อเสียงโด่งดังที่ชายแดน แต่จู่ๆ เขากลับสิ้นพระชนม์ในสนามรบโดยไม่มีใครคาดคิด หลังจากนั้นไม่นานฮ่องเต้เฉิงกวงก็ตอย่างกะทันหัน ท้ายที่สุดไท่จื่ออวิ๋นหานก็กลายเป็ผู้เดียวที่สามารถสืบทอดราชบัลลังก์ได้
อวิ๋นจื่อจำข้อความในหนังสือประวัติศาสตร์ได้อย่างชัดเจน
ตอนอยู่ในวังนางไม่เคยสงสัยในความถูกต้องของหนังสือประวัติศาสตร์เลย
แต่ตอนนี้เมื่อนางได้ยินคำบอกเล่าจากผู้อื่นหรือนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต กลับมีเสียงเล็กๆ ในใจบอกนางว่าเื่ราวในอดีตอาจไม่จริงและไม่ถูกต้อง บางทีสิ่งที่อยู่เื้ัอาจซับซ้อนกว่าที่เห็น
“เ้ารู้จักเสด็จอาดีหรือไม่?” อวิ๋นจื่อถาม
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนเองจะต้องทำความรู้จักบิดาผู้ให้กำเนิดด้วยวิธีนี้
“ท่านลุงอวิ๋นเซียวเป็คนสมบูรณ์แบบ ครั้งหนึ่งข้าเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็บุตรีของเขา แต่ความจริงก็คือความจริง มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“แล้วเ้าช่วยข้าเพราะเขาใช่หรือไม่?” อวิ๋นจื่อถามอย่างเขินอาย
“ใช่ แต่ก็ไม่เชิง” ซูเจินกล่าวเบาๆ
“เ้าช่วยกล่าวตรงไปตรงมาหน่อยได้หรือไม่?”
“ข้ายังตรงไปตรงมาไม่พออีกหรือ?”
“แน่นอนว่ายังไม่พอ เ้าช่วยข้าเพราะเหตุผลใดกันแน่? เหตุใดเ้าไม่กล่าวออกมาตรงๆ?” อวิ๋นจื่อกล่าวด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ข้าไม่ใช่คนไร้สมองเหมือนเ้า ข้าต้องเรียบเรียงความคิดในหัว เ้าช่วยใช้สมองหน่อยได้หรือไม่?” ซูเจินกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบข้าสิ” อวิ๋นจื่อพึมพำ
“ตอนแรกข้าตัดสินใจช่วยเ้าเพราะท่านลุงอวิ๋นเซียว ต่อมาข้าพบว่าเ้าคล้ายกับข้าเมื่อหลายปีก่อน นั่นเป็เหตุผลที่ข้าตัดสินใจช่วยเ้า” ซูเจินกล่าวเบาๆ
“นี่คือเหตุผลเช่นใดกัน?” นางถามเสียงดัง
เหตุผลของซูเจินฟังดูไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย ถ้าจะบอกว่าอีกฝ่ายช่วยนางเพราะนางเป็บุตรีของเสด็จอาย่อมฟังดูสมเหตุสมผลกว่า แต่นางกับซูเจินจะคล้ายกันได้อย่างไร?
“ข้าคล้ายเ้าตรงไหน?” อวิ๋นจื่อถามเบาๆ
นางมองว่าซูเจินเป็หนึ่งในคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่นางรู้จัก นับว่านางประเมินอีกฝ่ายไว้สูงมาก
ซูเจินยิ้ม “เหตุใดเ้าถึงไม่คิดว่าที่ข้าดุด่าเ้าเป็เพราะที่ผ่านมาข้าไม่ชอบเ้า?”
“แต่ถ้าข้าไม่มีเ้าคอยดุด่าในอดีต ข้าจะเป็เช่นในวันนี้ได้อย่างไร?” หญิงสาวกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ
หัวใจของซูเจินรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย
ความรู้สึกนี้เขาไม่ได้ััมาหลายปีแล้ว
“ใน่สองปีที่ผ่านมา เ้าอยู่ในสำนักชิงซานมีความสุขดีหรือไม่?” ซูเจินเปลี่ยนเื่อย่างกะทันหัน
“พอใช้ได้ ท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อข้าเป็อย่างดี เพราะชิงซีเป็คนฝากฝังข้ากับเขา เหตุใดจู่ๆ จึงถามเช่นนี้?” อวิ๋นจื่อถามขณะหยิบกิ่งไม้แห้งใส่ในกองไฟ
“ไม่มีอะไร จู่ๆ ข้าก้อนึกถึงเื่นี้ขึ้นมาได้ ข้ารู้ว่าจูเหยาไม่กล้าสร้างความลำบากให้เ้า แต่ข้าก็ยังอยากได้ยินคำตอบจากปากของเ้าอยู่ดี” ซูเจินกล่าวเบาๆ
“อันที่จริงเ้าเป็ห่วงข้ามากใช่หรือไม่?” อวิ๋นจื่อถามด้วยเสียงแ่เบา “เดิมทีข้าคิดว่าเ้าจะสนใจเย่เช่อมากกว่าข้าเสียอีก”
“แล้วมันแตกต่างกันตรงไหน?” ซูเจินกล่าวพลางมองไปที่ดวงดาวบนท้องฟ้า
ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้าอันมืดมิด
อวิ๋นจื่อมองตาม ทันใดนั้นนางก็เห็นดาวตก นางจึงพึมพำว่า “คนดีอีกคนได้จากไปแล้ว”
ด้วยเหตุผลบางอย่างซูเจินรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงจนน่าใ
คนดีที่ว่าอาจเป็แม่ทัพเจิ้นหนาน มีบางอย่างเกิดขึ้นหรือไม่?
แต่ความคิดนี้ก็หายไปในพริบตา
“แน่นอนว่าย่อมแตกต่าง” อวิ๋นจื่อกล่าว “เ้ารู้จักเย่เช่อมานาน เ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับเขา การที่เ้าเป็ห่วงเขาย่อมเป็เื่สมเหตุสมผล แต่ข้ากลับแตกต่างออกไป ก่อนที่ข้าจะเดินทางมายังเมืองหยงโจว เ้าและข้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“ไม่” ซูเจินปฏิเสธ “ข้ารู้จักเ้าเมื่อนานมาแล้ว นานกว่าที่ข้ารู้จักเย่เช่อเสียอีก แต่นั่นเป็เพราะเ้าไม่รู้จักข้า” เสียงของเขาเบาหวิวและไร้ตัวตนเหมือนดวงดาวในเก้า์ ซูเจินสังเกตเห็นว่าอวิ๋นจื่อกำลังตั้งใจฟัง และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเป็พิเศษ
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้าเป่าขลุ่ยให้เ้าฟังดีหรือไม่?”
หลังจากที่พูดจบ เสียงขลุ่ยอันไพเราะก็ดังขึ้น
“รูปร่างสง่างามราวกับห่านหงส์บิน พริ้วไหวดุจัว่ายน้ำ
ใบหน้าเปล่งประกายราวกับดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วง
ร่างกายเขียวชอุ่มราวกับต้นสนสีเขียวในฤดูใบไม้ผลิ
ปรากฏและหายไปเป็ครั้งคราวเหมือนเมฆบางเบาที่ห่อหุ้มดวงจันทร์เอาไว้
ล่องลอยและไม่แน่นอนเหมือนลมที่พัดหวนและหิมะที่หมุนวน
เมื่อมองไกลๆ แลดูสว่างและใสสะอาดเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า
เมื่อมองใกล้ๆ แลดูสดใสเหมือนดอกบัวที่กำลังผลิบานท่ามกลางเกลียวคลื่นเขียวขจี
รูปร่างปานกลาง ส่วนสูงพอดี ไหล่แคบ เอวบาง และลำคอเรียวระหง ไม่ทาแป้งแต้มชาด
ผมยาวเหมือนน้ำตกผา์ คิ้วยาวโก่งและเรียว ริมฝีปากสีแดงสดชุ่มชื้น
ฟันขาว ดวงตาสดใสมองไปข้างหน้า ลักยิ้มหวานใต้แก้ม
ท่วงท่าสง่างามมากเสน่ห์ มารยาทอ่อนโยนเงียบสงบ
อารมณ์นุ่มนวลอ่อนโยน คำพูดคำจาเหมาะสมน่ารื่นรมย์
เครื่องแต่งกายงดงามไม่มีใครเทียบได้ ตัวตนและรูปลักษณ์เหมือนภาพเขียน
สวมสร้อยสดใสพร้อมจี้หยกเนื้องาม เครื่องประดับทอง เงิน และหยกอยู่บนศีรษะ
ประดับประดาด้วยไข่มุกแวววาวทั่วทั้งตัว สวมรองเท้าเดินทางที่มีลวดลายและกระโปรงสีหมอก
ส่งกลิ่นหอมจางๆ ของดอกกล้วยไม้
ทันใดนั้นก็เคลื่อนไหวเบาๆ เดินเล่นชมดอกไม้ข้างทาง
ต้นหอมหมื่นลี้อยู่ด้านขวา ยื่นมือออกไปที่ชายหาดและแม่น้ำ
เด็ดต้นหญ้าริมน้ำมาเชยชม”
เสียงขลุ่ยของหญิงสาวหยุดลงทันที
ทันใดนั้นซูเจินก็เป่าใบไม้
“ยอมทิ้งที่ต่ำปีนขึ้นสูง แม้ว่าก้าวย่างจะเคลื่อนไป
ความรักที่เหลืออยู่ยังคงอ้อยอิ่ง จินตนาการถึงฉากการพบกันเป็ครั้งคราว
เมื่อมองย้อนกลับไปและมองไปข้างหน้าก็ยิ่งเศร้าหมอง
ด้วยความหวังว่าลั่วเซินจะปรากฏตัวอีกครั้ง
เขาแล่นเรือทวนน้ำอย่างสิ้นหวัง
ล่องเรือในแม่น้ำลั่วที่ยาวจนลืมวันคืน
แต่ความรู้สึกโหยหายังคงอยู่และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
ข้านอนไม่หลับทั้งคืน ร่างกายถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งจนรุ่งสาง
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสั่งคนใช้ให้เตรียมม้า
เดินเท้าไปตามถนนกลับไปทางทิศตะวันออก
แต่เมื่อถือบังเหียนไว้ในมือและยกแส้ขึ้นเพื่อเฆี่ยนม้า
กลับรู้สึกหลงทาง อืดอาด และยึดติด
หาทางออกไม่พบ”
อวิ๋นจื่อรู้สึกประหลาดใจ นางถามว่า “เ้าเป่าเพลงนี้ได้อย่างไร? เสด็จอาสอนเ้าหรือ?”
ซูเจินส่ายหน้า “ข้าแอบเรียนรู้อย่างลับๆ ฮ่องเต้เซิ่งหยวนซึ่งในตอนนั้นเป็เพียงองค์ชายเคยเล่นเพลงนี้ที่เมืองหยงโจว”
ทันใดนั้นขลุ่ยในมือของหญิงสาวก็ร่วงลงพื้น
อดีตแบบใดกันที่ทำให้ปัจจุบันกลายเป็เช่นนี้?
เกิดอะไรขึ้นระหว่างบิดาผู้ให้กำเนิดกับบิดาบุญธรรมของนาง?
ความโกรธเคืองและความคับแค้นใจของคนรุ่นก่อนจะจบลงในรุ่นนางหรือไม่?
เหตุใดนางจึงรู้สึกโศกเศร้าเช่นนี้?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้