“อ้อ? คุยเื่อันใดกันเล่า?”
“เสี่ยวโหวเหฺยบอกว่าจะรับพ่อแม่และน้องสาวของซินเป่ามาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ต่อไป...ต่อไปหากซินเป่ามีอนาคต จะปลดปล่อยสัญญาทาสของเขา ให้เขาเป็พลเมืองเ้าค่ะ”
พ่อบ้านจี้ถึงกับตกตะลึง คำพูดของผิงอันเขาย่อมกระจ่างแจ้ง ทาสสามารถเปลี่ยนกลับไปเป็พลเมือง ผู้ใดเล่าจะไม่ชมชอบยินดี? เมื่อความเป็ทาสค้ำคออยู่ ย่อมไม่มีทรัพย์สมบัติเป็ของตนเอง ซื้อเรือนข้างนอกไม่ได้ จะซื้อที่นาก็ไม่ได้ หากเป็ทาสที่พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ใครเล่าจะไม่อยากไถ่ตัวเอง
แต่เมื่อทำหนังสือขายตัวแล้ว ขอเพียงแค่เ้านายไม่ยอมปล่อยตัว ตนเองก็ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะขอไถ่ตัว
“เื่เหล่านี้เสี่ยวโหวเหฺยจะเป็ผู้ตัดสินใจเองได้เช่นใดกันเล่า?” พ่อบ้านจี้เอ่ยขึ้น “เสี่ยวโหวเหฺยเพิ่งจะอายุห้าขวบ ครอบครัวของซินหมัวมัวเป็คนของเหล่าฮูหยิน จะมาฝั่งนี้หรือไม่นั้น ยังคงเป็เหล่าฮูหยินที่จะเป็ผู้ตัดสินใจอยู่ดี”
“แต่เสี่ยวโหวเหฺยย่อมเติบโตเป็ผู้ใหญ่” ผิงอันพูด “ท่านปู่ ข้าเรียนหนังสือเขียนหนังสือมาั้แ่ยังเล็ก ย่อมไม่้าเป็บ่าวอีกต่อไป ต่อให้ข้าเป็บ่าว ข้าก็ได้แต่คิดว่าตนเองนั้นไม่เหมือนผู้อื่น แต่ถ้าได้ชื่อว่าเป็ทาส ต่อให้ไม่เหมือนกันเพียงใด ก็เป็ได้แค่ความคิดความเข้าใจของตนเองเท่านั้น สุดท้ายก็ยังคงเป็บ่าวรับใช้อยู่นั่นเอง”
“เช่นนั้นความหมายของเ้าคือ?”
“หากข้าจงรักภักดีต่อเสี่ยวโหวเหฺยเพียงผู้เดียว เสี่ยวโหวเหฺยจะปลดสัญญาทาสของข้าหรือไม่เ้าคะ?” ผิงอันถาม
“สัญญาขายตัวของเ้าอยู่ในมือของเสี่ยวโหวเหฺยหรือ?” พ่อบ้านจี้ถามกลับ
ผิงอันส่ายหน้า
แต่นางก็ยังเอ่ยอย่างไม่ยอมถอดใจว่า “แต่เสี่ยวโหวย่อมต้องเจริญเติบโตเป็ผู้ใหญ่ ท่านปู่ ต่อไปข้าไม่อยากแต่งกับบ่าวรับใช้ ข้าอยากจะหาคนที่มีความรับผิดชอบออกไปอยู่เรือนข้างนอกด้วยกัน ต่อให้ที่นั่นจะเก่าหรือชำรุดทรุดโทรมก็ไม่เป็กระไร อย่างน้อยมันก็คือบ้านของพวกเรา และเป็บ้านของพวกเราเท่านั้น”
พ่อบ้านจี้ถอนใจเฮือกหนึ่ง ตบมือของผิงอันเบาๆ “เ้าไม่มีเวลาพอที่จะรอให้เสี่ยวโหวเหฺยเติบใหญ่แล้ว” พ่อบ้านจี้กล่าวประโยคนี้จบก็ขึ้นรถม้าจากไป
หลี่จงิและข้ารับใช้นำสัตว์ปีกทั้งหมดไปปล่อยเลี้ยงไว้ด้วยกัน แต่เขาไม่รู้ว่าหลี่ลั่วเลี้ยงสัตว์ปีกเหล่านี้ไว้เพื่อการใด “โหวเหฺย ท่านเลี้ยงไว้ในเล้าเพื่อนำมาทำเป็อาหารใช่หรือไม่ขอรับ?”
หลี่ลั่วยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างมีนัยแอบแฝง
หลี่จงิส่ายหน้า เสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้กับเหล่าโหวเหฺยไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว เสี่ยวโหวเหฺยนั้นดูแล้วเหมือนจิ้งจอกน้อยอย่างไรอย่างนั้น แต่เหล่าโหวเหฺยไม่เหมือนจิ้งจอกนี่สิ
“ท่านอาหลี่ ท่านรู้เื่สุขภาพของฉีอ๋องหรือไม่?” หลี่ลั่วพลันถามขึ้น
สุขภาพร่างกายของฉีอ๋องหรือ? หลี่จงิส่ายหน้า “เื่นี้ข้าไม่ทราบขอรับ ไฉนโหวเหฺยจึงถามเช่นนี้เล่า?”
“เมื่อวานตอนที่อยู่ในวังหลวงข้าได้ยินฉีอ๋องพูดกับองค์ชายสามว่าเขาจะมีชีวิตได้ไม่เกินยี่สิบปี” หลี่ลั่วอธิบาย “วันนี้ฉีอ๋องมาอวยพรให้ข้า ข้าได้ดูอาการป่วยของเขาแล้ว และขอให้เขาให้เืมาเล็กน้อย ข้าสงสัยว่าเขาต้องพิษ สาเหตุที่เขามีอายุไม่เกินยี่สิบปีก็เพราะพิษในร่างกายยังไม่ได้ขับออกไปให้หมด หากเป็อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะส่งผลร้ายต่อการมองเห็นและการได้ยิน ปฏิกิริยาโต้ตอบเชื่องช้าลง สมองก็จะกลายเป็โง่เขลา อวัยวะภายในเสียหาย หมดสติ และตายไปในที่สุด”
หลี่จงิฟังแล้วถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด “ไฉนเสี่ยวโหวเหฺยจึงรู้เื่เกี่ยวอาการเหล่านี้เล่า? หรือว่าหมอหลวงเองก็ตรวจไม่พบสาเหตุขอรับ?”
ในยุคสมัยโบราณนั้นไม่ได้มีกฎระเบียบเกี่ยวกับการใช้โลหะหนักถึงขั้นที่คนในยุคโบราณไม่รู้ว่าโลหะหนักคืออะไร แล้วจะแก้อย่างไร? ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าพิษนี้ไม่ใช่พิษธรรมดาสามัญทั่วไป และไม่ใช่ว่าใช้ยาถอนพิษเพียงแค่เม็ดเดียวก็สามารถถอนพิษได้แล้ว
“ใต้หล้านี้มีพิษมากมายที่หมอหลวงเองก็ตรวจหาไม่พบ อีกทั้งพิษชนิดนี้หากอยู่ในร่างกายเป็เวลานานจะซึมเข้าไปในกระแสเื เรียกว่า พิษตะกั่วในเื”
พิษตะกั่วในเืหรือ? หลี่จงิฟังแล้วไม่เข้าใจ
“ที่จริงแล้วข้ายังไม่ค่อยแน่ใจเท่าใดนัก” หลี่ลั่วพูดขึ้นอีก “วันนี้ในขณะที่ฉีอ๋องให้เืมา ข้าได้เลียชิมเล็กน้อย จึงได้ข้อสันนิษฐานออกมาเช่นนี้”
อะไรนะ? หลี่จงิสะดุ้งใ ต้องรู้ว่าหัวใจของท่านอาผู้นี้นั้นไม่ค่อยแข็งแรง รับเื่เช่นนี้ไม่ไหว แม้ฐานะของฉีอ๋องจะสูงส่งแต่ในใจของหลี่จงิแล้วนั้นฉีอ๋องไม่สำคัญเท่ากับหลี่ลั่ว “เช่นนั้นคุณชายต้องพิษแล้วใช่หรือไม่ขอรับ? คุณชาย ไฉนท่านจึงไม่ระวังตัวเลยขอรับ?”
พอกระวนกระวายใจ จะเรียกโหวเหฺยหรือคุณชายก็แยกไม่ออกเสียแล้ว
หลี่ลั่วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจยิ่งนัก “ข้าชอบที่ท่านอาหลี่เรียกข้าว่าคุณชายมากกว่า” หลี่ลั่วรู้ดีว่าการที่จะให้หลี่จงิเรียกขานชื่อของตนนั้นเป็ไปไม่ได้ “แต่ท่านอาหลี่วางใจได้ พิษชนิดนี้แค่เลียเพียงเล็กน้อยไม่ทำให้ต้องพิษด้วยหรอกขอรับ พิษชนิดนี้แบ่งออกเป็สองชนิด คือแบบเรื้อรังและแบบเฉียบพลัน หากมีอาการเรื้อรังแสดงว่าได้รับพิษมาไม่มาก แต่หากมีอาการเฉียบพลันแสดงว่าได้รับพิษมาเป็จำนวนมาก ฉีอ๋องได้รับพิษมาในปริมาณมากทว่ากลับไม่ได้ทำให้ถึงตาย แสดงให้เห็นว่าสำหรับการใช้พิษชนิดนี้แล้วฝ่ายตรงข้ามค่อนข้าง...” พูดถึงตรงนี้หลี่ลั่วพลันแอบสะดุ้งในใจ หากมีคนผู้หนึ่งที่มีความชำนาญในพิษตะกั่วขนาดนี้ เช่นนั้นคนผู้นั้น...
คงไม่มีเื่บังเอิญขนาดนี้หรอกน่า? หรือว่าในการย้อนมิติข้ามเวลามาที่นี่ เขายังมาพบเพื่อนจากบ้านเกิดเดียวกัน...และยังเป็เพื่อนร่วมอาชีพอีกเสียด้วย?
“โหว...คุณชาย ท่านรู้เื่เหล่านี้ได้อย่างไรกันขอรับ?” หลี่จงิถาม ในระยะเวลาสี่ปีที่อยู่ที่นั่น เมื่อผ่าน่ระยะเวลาหนึ่งเขาจะไปสอดแนมดูความเป็อยู่ของหลี่ลั่วครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าคุณชายฉลาดเฉลียว ปูพื้นฐานเร็วกว่าผู้อื่น ทุกครั้งที่เขาได้ยินคุณชายท่องหนังสืออย่างคล่องแคล่ว เขาก็ล้วนดีใจกับเหล่าโหวเหฺยไปด้วย
หลี่จงิเข้าใจหลี่ซวี่ดี แม้ตัวจะเป็แม่ทัพ แต่ตัวตนจริงๆ ของหลี่ซวี่อยากจะเป็ผู้ที่มีความรู้ เป็ปัญญาชน สาเหตุที่หลี่เหล่าไท่เหฺยชมชอบหลี่ฮุยแต่กลับไม่ชมชอบหลี่ซวี่ผู้ซึ่งเป็บุตรชายในสมรส ก็มิใช่ด้วยเหตุที่ว่าหลี่ฮุยเรียนหนังสือเก่งหรอกหรือ? ดังนั้นเมื่อเห็นหลี่ลั่ว หลี่จงิจึงคิดว่าเหล่าโหวเหฺยในชาตินี้คงไม่เสียดายอันใดอีกแล้ว
“เป็หนังสือแพทย์ที่พี่ฉางเฉิงช่วยข้ารวบรวมมาได้เขียนเอาไว้” หลี่ลั่วตอบ
“หา...เป็หนังสือวิชาแพทย์เ่าั้หรือ...” หลี่จงิอ่านไม่เข้าใจ
หลี่ลั่วรู้ว่าเขานั้นไม่รู้จักตัวอักษร เพราะเขาเป็เพียงแค่ขอทานคนหนึ่ง ต่อมาได้ไปเข้าร่วมกองทัพ และจากนั้นก็ได้มารู้จักตัวหนังสืออีกเพียงไม่กี่ตัว “ท่านอาหลี่วางใจเถิด ต่อให้ข้ามีความมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ก็ไม่กล้าเอาชีวิตของฉีอ๋องมาล้อเล่น”
“คุณชายมีความคิดเป็ของตน อีกทั้งยังเป็คนหนักแน่น ข้าติดตามและอยู่กับคุณชายมาระยะหนึ่งจนกระจ่างแจ้งในตัวท่านนานแล้วขอรับ” หากไม่ใช่เพราะว่าหลี่ลั่วเป็เด็กน้อยอายุเพียงห้าขวบ หลี่จงิก็คงเชื่อไปนานแล้วว่าเขาเป็ผู้ที่ผ่านพิธีสวมกวานแล้ว
“ข้าไม่มีข้อเรียกร้องมากมาย ขอเพียงคนที่ข้าเชื่อใจนั้นเชื่อใจข้าอย่างไร้เงื่อนไขก็เพียงพอแล้ว” หลี่ลั่วจับมือของหลี่จงิ “ท่านอาหลี่ ท่านเป็เสมือนบิดาของข้า ท่านเป็พี่น้องของบิดาข้า ก็คือท่านอาแท้ๆ ของข้า ในเมืองหลวงที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ผู้ที่ข้าเชื่อใจมีท่านเพียงคนเดียวนะขอรับ”
“คุณชาย” หลี่จงิเป็จอมยุทธ์คนหนึ่ง ความซาบซึ้งในใจนั้นเขาไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ทว่ากระบอกตาของเขาขึ้นสีแดงก่ำ...ซาบซึ้งใจยิ่งนัก ไม่ได้ เขาจะน้ำตาไหลต่อหน้าคุณชายไม่ได้
ทหารผู้มีเกียรติยศเป็ถึงราชองครักษ์ขั้นห้า ครั้งแรกที่ปรากฏกายต่อหน้าหลี่ลั่วนั้นเขาเป็ชายชาติทหารที่น่าเกรงขาม แต่เมื่อถูกความซาบซึ้งกระทบจิตใจเข้าก็กลายเป็คนอ่อนแอปวกเปียกได้เช่นกัน
หลี่ลั่วมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ จึงไม่ได้รู้เื่ราวที่เกิดขึ้นในจวนโหวเลยแม้แต่น้อย หลายวันมานี้ที่มาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน สิ่งเดียวที่หลี่ลั่วทำก็คือเลี้ยงสัตว์ปีก เขาใช้เืของกู้จวิ้นเฉินผสมเข้ากับอาหารของสัตว์เ่าั้ แล้วให้สัตว์ปีกเ่าั้กิน อวัยวะภายในของสัตว์ไม่เหมือนกับของมนุษย์ แข็งแรงสู้อวัยวะภายในของมนุษย์ไม่ได้ เมื่อผ่านไปได้ประมาณสองวัน ไก่ตัวหนึ่งก็ออกอาการให้เห็น
ในหลายวันมานี้หยวนโม่ได้ลงบันทึกสัตว์ปีกที่นำไปทำเป็อาหารเอาไว้อย่างชัดเจน เหตุผลที่นางถูกหลี่ลั่วคัดเลือกให้มาที่นี่ ก็เพื่อมาทำการลงบันทึกอาการของสัตว์ปีกเหล่านี้ แม้ว่าทุกคนจะไม่เข้าใจ แต่บ่าวไพร่ในเรือนโฉวงจี๋นั้นเชื่อฟังคำสั่งของหลี่ลั่วอย่างไร้ข้อกังขา
จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงเช้าวันที่สอง สาวใช้แรงงานเข้ามาให้อาหารเช้า ในขณะที่มีหยวนโม่คอยสังเกตอาการอยู่อีกด้านหนึ่งก็พบว่ามีไก่ตัวหนึ่งออกอาการอย่างชัดเจน
“รีบไปเชิญเสี่ยวโหวเหฺยมาที่นี่เร็วเข้า” หยวนโม่รีบสั่งการ
“เ้าค่ะ” สาวใช้แรงงานรีบไปทันที
เมื่อหลี่ลั่วมาถึงเขาก็เข้าไปในเล้า หยวนโม่รีบติดตามเข้าไปด้วย แล้วยังมีหลี่ฉางเฉิง หลี่ฉางสือ และซินเป่าที่ติดตามเข้าไปดัวยกัน ส่วนหลี่จงิผู้รับผิดชอบความปลอดภัยของหมู่บ้านนั้นกำลังพาบ่าวรับใช้ออกลาดตระเวนอยู่บริเวณรอบๆ หมู่บ้าน
เล้าที่เลี้ยงสัตว์ปีกนั้นสกปรกมาก อีกทั้งยังเหม็น ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่แม่นางเช่นหยวนโม่จะเข้าไป ดังนั้นหลี่ฉางเฉิงจึงเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางหยวนโม่ มิสู้เ้าส่งสมุดบันทึกให้ข้าลงบันทึก ส่วนเ้ารออยู่ด้านนอกดีหรือไม่?”
หยวนโม่พูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “เสี่ยวโหวเหฺยฐานะสูงส่งเช่นนี้ยังไม่รังเกียจเื่เหล่านี้ ข้าที่เป็เพียงสาวใช้จะรังเกียจได้เช่นใดกัน? อีกอย่าง การติดตามเสี่ยวโหวเหฺยทำให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมายเ้าค่ะ”
หลี่ลั่วเดินไปจนถึงข้างหน้าไก่ที่ล้มลงนอนบนพื้น เขาตรวจดูดวงตาของไก่ สายตาดูเลื่อนลอย การมองเห็นไม่มีจุดหมาย อีกทั้งยังส่งเสียงร้องเรียกไม่หยุด มีท่าทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งที่มุมปากของมันยังมีบางสิ่งไหลออกมา นั่นก็คือสิ่งที่มันอาเจียนออกมา
“บันทึกอาการทั้งหมดไว้ จากนั้นให้แยกไก่ตัวนี้ออกมาเลี้ยงต่างหาก” หลี่ลั่วพูด
“เ้าค่ะ”
แต่ใน่บ่ายของวันนั้นอาการของไก่ตัวนี้กลับหนักหนาสาหัสลงไปอีก การเดินของมันเป็ไปอย่างเชื่องช้ายิ่งนัก ท่าทางของมันดูทรมานมาก และเมื่อยิ่งได้เห็นสิ่งที่มันขับถ่ายออกมา...
“หยวนโม่ ไปสั่งให้ห้องครัวเตรียมเต้าหู้ผัดเปลือกกุ้ง กระเทียมผัดเห็ดหูหนู และก็นมวัวที”
“เ้าค่ะ”
อาหารเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งของที่หลี่ลั่วได้สั่งให้ทางห้องครัวตระเตรียมไว้ในสองวันนี้ ดังนั้นสิ่งของเหล่านี้จึงถูกยกเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลี่ลั่วให้สาวใช้แรงงานป้อนอาหารเหล่านี้ให้ไก่ตัวนั้นกิน ไม่ว่าไก่ตัวนั้นจะ้ากินหรือไม่ก็ให้ป้อนเข้าไป แล้วยังให้กินนมวัวตามไปอีกด้วย
“ฉางเฉิง ไปนำปลาปักเป้าที่ข้าซื้อไว้ออกมา นำกรรไกรหนึ่งเล่มกับมีดเล็กหนึ่งเล่มมาให้ข้าด้วย” หลี่ลั่วพูดอีก
“ขอรับ”
เมื่อฉางเฉิงนำปลาปักเป้าเข้ามานั้น ซินหมัวมัวก็ได้ตามเข้ามาด้วย “เสี่ยวโหวเหฺย ปลาชนิดนี้ล้วนมีพิษเ้าค่ะ ท่าน...ท่านไม่มีปัญหาแน่นะเ้าคะ?” ใจของซินหมัวมัวนั้นตุ้มๆ ต่อมๆ
นี่เป็ปลาที่หลี่จงิเจาะจงออกไปหาซื้อจากชาวประมงที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ปลาที่มีพิษประเภทนี้ ยามปกติเมื่อชาวประมงจับได้ก็มักจะปล่อยทิ้งไป นางไม่รู้จริงๆ ว่าโหวเหฺยซื้อมาเพื่อทำอันใด ในใจนั้นหวาดกลัวยิ่งนัก
หลี่ลั่วพูด “ต่อให้ไปััถูกมัน ไม่ได้กินลงไปก็ไม่ทำให้คนตายได้ หมัวมัวไม่ต้องกังวล”
หลี่ลั่วพูดไปพร้อมกับกรีดปลาปักเป้าอย่างระมัดระวัง พิษของปลาปักเป้าอยู่ที่กล้ามเนื้อ หนัง และรังไข่สามที่เท่านั้น หลี่ลั่วดึงเอาสิ่งเหล่านี้ออกมา เก็บไว้เพียงกล้ามเนื้อและรังไข่ “ที่เหลือเอาไปเผาทิ้งเถิด” ความจริงแล้วเนื้อของมันก็อร่อยดี แต่หลี่ลั่วไม่อยากทำให้พวกเขาใไปมากกว่านี้
“ขอรับ”
จากนั้นหลี่ลั่วก็นำเนื้อมาหั่นออกเป็ชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนไก่ตัวนั้นด้วยมือของตนเอง เนื่องจากอวัยวะภายในของสัตว์นั้นเปราะบางมาก เขาจึงไม่รู้ว่าไก่ตัวนี้จะรับไหวหรือไม่ แต่ถ้าตายไปก็คือตายไป หากช่วยชีวิตมันกลับมาได้ ก็แสดงให้เห็นว่าพิษตะกั่วในเืของกู้จวิ้นเฉินนั้นไม่ต้องสงสัยแล้ว
วันถัดมา มีสัตว์ปีกอีกสามตัวต้องพิษ และในขณะเดียวกันไก่ตัวเมื่อวานก็ได้ตายลง ที่จริงแล้วสำหรับมนุษย์นั้นพิษของปลาปักเป้าแค่กินลงไปก็คือถูกพิษ แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต นอกเสียจากว่าจะกินเข้าไปในปริมาณมาก เพียงแต่ว่าไก่นั้นอ่อนแอเกินไป
หลี่ลั่วทำเหมือนกับไก่ตัวแรก ในยุคสมัยโบราณไม่มีข้อมูลวัตถุดิบอะไรมากมาย ได้แต่ใช้วิธีการนี้ซึ่งเป็วิธีการที่ง่ายที่สุด
ทว่าในวันเดียวกันนั้นเอง สัตว์ทดลองทั้งสามตัวก็ตายลงอีก สัตว์ทดลองทั้งสี่ตัวไม่มีแล้ว นี่เพิ่งผ่านไปได้สามวันเท่านั้น สำหรับสัตว์ปีกที่ไม่แสดงอาการระหว่างการทดลองนั้น หลี่ลั่วยังคงเลี้ยงมันด้วยอาหารที่ผสมกับเืที่มีพิษต่อไป
คนที่อยู่ข้างกายของหลี่ลั่วต่างก็รู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล และเืหนึ่งถ้วยของกู้จวิ้นเฉิน หลังจากผ่านไปสี่วันก็ใช้หมดแล้ว เืหนึ่งถ้วย ต่อให้ใช้น้อยเพียงใด และต่อให้เป็เพียงสัตว์ปีกก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี แต่เมื่อผ่านไปอีกสี่วันสัตว์ปีกที่เหลืออีกหกตัวก็แสดงอาการออกมา
สัตว์ปีกทั้งหกตัวนี้ทนอยู่ได้อีกสี่วัน นั่นก็แสดงว่าภูมิต้านทานของมันดีกว่าสี่ตัวแรก
ต่อไปก็ได้แต่หวังว่าไก่หกตัวนี้จะถูกรักษาจนหาย
จนกระทั่งมาถึงวันที่แปด หยวนโม่ก็ได้ร้องเรียกอย่างดีใจ “เสี่ยวโหวเหฺย ฟื้นขึ้นมาแล้ว เป็ดฟื้นขึ้นมาแล้วเ้าค่ะ”
หลี่ลั่วที่ยังนอนอยู่ถูกหยวนโม่เรียกจนตื่น เขาขยี้ตาที่พร่ามัว “เป็ดยังไม่ตาย หรือว่าตายแล้วแต่ฟื้นคืนชีพได้กัน?”